คริปโตพลัส

ศูนย์รวมความรู้คริปโต เคล็ดลับลงทุน และอัปเดตราคาเหรียญแบบเรียลไทม์

ความรู้คริปโตและวิเคราะห์ราคา

เจาะลึกเทคโนโลยีการเงิน: มีอะไรบ้าง เปลี่ยนชีวิตคุณ?

เอาล่ะครับเพื่อนๆ เคยสงสัยกันไหมว่า เดี๋ยวนี้เวลาจะทำอะไรเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ทำไมมันง่ายแค่ปลายนิ้วจัง? โอนเงินผ่านแอป จ่ายบิล สแกนจ่ายค่ากาแฟ หรือแม้แต่ซื้อหุ้น ลงทุนกองทุน ก็ทำได้บนมือถือหมดเลย ชีวิตสะดวกสบายขึ้นเยอะ แต่เคยหยุดคิดไหมว่าเบื้องหลังความสะดวกสบายเหล่านี้มันคืออะไรกันแน่? แล้วไอ้คำที่ได้ยินบ่อยๆ อย่าง “ฟินเทค” หรือ เทคโนโลยีการเงิน มีอะไรบ้าง นะ? วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจเรื่องนี้กันแบบง่ายๆ สไตล์คนคุยกัน รับรองว่าอ่านจบแล้วจะร้องอ๋อเลยทีเดียว

ลองนึกภาพตามนะครับ สมัยก่อนถ้าเราจะโอนเงินที ต้องบึ่งไปธนาคาร กรอกเอกสาร รอคิว บางทีรอเป็นชั่วโมงเหงื่อตกกีบ แต่เดี๋ยวนี้เป็นไง? แค่หยิบมือถือขึ้นมา กดแอปธนาคาร จิ้มๆ ไม่กี่ที เงินก็ลอยไปถึงปลายทางแล้ว นี่แหละครับ ตัวอย่างง่ายๆ ของสิ่งที่เรียกว่า “ฟินเทค” (Fintech) ซึ่งมันก็คือการเอา “เทคโนโลยี” (Technology) มาผสมโรงกับเรื่อง “การเงิน” (Finance) เพื่อทำให้บริการต่างๆ มันเจ๋งขึ้น เร็วขึ้น สะดวกขึ้น แล้วก็เข้าถึงง่ายขึ้นกว่าเดิม เหมือนเราอัปเกรดจักรยานเก่าๆ ให้กลายเป็นสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ายังไงยังงั้นเลย เป้าหมายหลักๆ ก็คือการทลายกำแพงความยุ่งยากซับซ้อนของการเงินแบบเดิมๆ ให้ทุกคนสามารถจัดการเรื่องเงินได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ก็ตาม

ทีนี้ คำถามสำคัญคือ แล้วเจ้า เทคโนโลยีการเงิน มีอะไรบ้าง ล่ะ? มันไม่ได้มีแค่แอปธนาคารบนมือถืออย่างเดียวนะครับ จริงๆ แล้วมันแตกแขนงออกไปได้หลากหลายมาก ลองมาดูกันคร่าวๆ ว่ามีอะไรเด็ดๆ บ้างที่เราอาจจะเคยใช้หรือเคยได้ยินชื่อกันมา

เริ่มจากพี่ใหญ่ที่เราคุ้นเคยกันดีที่สุด ก็คือ เทคโนโลยีธนาคาร (Banking Technology) หรือพวก Mobile Banking, Internet Banking ทั้งหลายแหล่ นี่คือด่านแรกที่ทำให้เรารู้จักกับฟินเทคเลยก็ว่าได้ ช่วยให้เราจัดการบัญชี โอนเงิน จ่ายบิล เช็กยอด ได้เองตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ต้องง้อสาขาเหมือนแต่ก่อน สะดวกสบายสุดๆ ไปเลย

ต่อมาคือ ระบบการชำระเงิน (Payment Technology) อันนี้ก็ฮิตไม่แพ้กัน ลองนึกถึงตอนเดินตลาดนัด หรือเข้าร้านสะดวกซื้อสิครับ เดี๋ยวนี้แทบไม่ต้องควักเงินสดกันแล้ว แค่เปิดแอปฯ สแกน QR Code ปุ๊บ จ่ายเงินเรียบร้อย หรือพวก E-Wallet ต่างๆ อย่าง TrueMoney Wallet, Rabbit LINE Pay ที่เราใช้เติมเงิน จ่ายค่าโน่นค่านี่ หรือแม้แต่บัตรเครดิต บัตรเดบิต ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีนี้เหมือนกัน มันช่วยผลักดันให้สังคมเราก้าวเข้าสู่ยุคไร้เงินสด (Cashless Society) มากขึ้นเรื่อยๆ

ขยับมาดูเรื่องการลงทุนกันบ้าง กับ เทคโนโลยีจัดการการลงทุน (Investment Management) สมัยนี้ใครๆ ก็เข้าถึงการลงทุนได้ง่ายขึ้นเยอะ ไม่ต้องมีเงินเป็นล้านก็เริ่มลงทุนได้แล้ว ผ่านแอปพลิเคชันซื้อขายกองทุนรวม หรือหุ้นต่างๆ แถมยังมีตัวช่วยสุดล้ำอย่าง Robo Advisor หรือหุ่นยนต์ที่ปรึกษาการลงทุน ที่ใช้ AI มาช่วยวิเคราะห์และจัดพอร์ตให้เราตามความเสี่ยงที่รับได้อีกด้วย ใครที่เคยคิดว่าการลงทุนเป็นเรื่องไกลตัว หรือซับซ้อนเกินไป ลองเปิดใจศึกษาเทคโนโลยีกลุ่มนี้ดู อาจจะเจอช่องทางสร้างความมั่งคั่งใหม่ๆ ก็ได้นะ

สำหรับคนที่มีไอเดียธุรกิจเจ๋งๆ แต่ขาดเงินทุน ฟินเทคก็มีทางออกมาให้ นั่นคือ แพลตฟอร์มคราวด์ฟันดิง (Crowdfunding Platforms) เปรียบเสมือนตลาดนัดออนไลน์ที่เชื่อมคนมีไอเดีย (ผู้ประกอบการ) กับคนมีเงิน (นักลงทุน) ให้มาเจอกัน ใครมีโครงการน่าสนใจก็มานำเสนอ เพื่อระดมทุนจากคนจำนวนมากไปต่อยอดความฝันให้เป็นจริงได้ เป็นอีกหนึ่งช่องทางหาเงินทุนที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจหน้าใหม่

แล้วก็มีกลุ่มที่หวือหวาและเป็นที่พูดถึงกันเยอะมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นั่นคือ สกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) และเทคโนโลยีเบื้องหลังอย่าง บล็อกเชน (Blockchain) หลายคนคงเคยได้ยินชื่อ Bitcoin, Ethereum กันมาบ้าง พวกนี้คือตัวอย่างของเงินดิจิทัลที่ไม่ได้มีรัฐบาลไหนมารับรอง แต่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ในการทำธุรกรรม แม้จะยังมีความผันผวนสูงและมีความเสี่ยงที่ต้องศึกษาให้ดี แต่มันก็เป็นนวัตกรรมที่อาจจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของระบบการเงินในอนาคตได้เลยทีเดียว

นอกจากนี้ ยังมี เทคโนโลยีประกันภัย (Insurtech) ที่เข้ามาช่วยให้การซื้อ เปรียบเทียบ และเคลมประกัน ทำได้ง่ายและรวดเร็วขึ้นผ่านช่องทางออนไลน์ มีการใช้ AI มาช่วยคำนวณเบี้ยประกันที่เหมาะสมกับแต่ละคน หรือวิเคราะห์ความเสี่ยงได้แม่นยำขึ้น และสุดท้ายคือ ซอฟต์แวร์การเงินสำหรับองค์กร (Enterprise Financial Software) อันนี้อาจจะดูไกลตัวผู้บริโภคทั่วไปหน่อย แต่ก็สำคัญมากสำหรับภาคธุรกิจ เพราะมันคือโปรแกรมหรือเครื่องมือที่ช่วยให้บริษัทต่างๆ จัดการเรื่องบัญชี การเงิน เงินเดือน ภาษี ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดข้อผิดพลาด และประหยัดเวลาไปได้เยอะ

เห็นไหมครับว่า เทคโนโลยีการเงิน มีอะไรบ้าง ที่ใกล้ตัวเรากว่าที่คิดเยอะเลย มันแทรกซึมอยู่ในชีวิตประจำวันของเราไปแล้ว แต่แน่นอนว่าเหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ ฟินเทคเองก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่เราควรรู้ไว้

ข้อดีที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือ ความสะดวกสบาย รวดเร็ว และเข้าถึงง่าย อย่างที่เล่าไปตอนต้น ไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกรรม การลงทุน หรือการหาข้อมูลทางการเงิน มันง่ายและเร็วกว่าเดิมมากจริงๆ ลดค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียม หลายๆ บริการฟินเทคมีค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่า หรือไม่มีเลยเมื่อเทียบกับบริการแบบดั้งเดิม ทำให้เราประหยัดเงินไปได้อีก มีบริการทางการเงินที่หลากหลายมากขึ้น ฟินเทคทำให้เกิดบริการใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะกลุ่มมากขึ้น เช่น สินเชื่อออนไลน์ระหว่างบุคคล (P2P Lending) ที่เชื่อมคนอยากกู้กับคนอยากให้กู้โดยตรง หรือแพลตฟอร์มลงทุนทางเลือกต่างๆ ที่เมื่อก่อนอาจเข้าถึงได้ยาก ใช้เทคโนโลยีทันสมัย ฟินเทคหลายตัวนำเทคโนโลยีล้ำๆ อย่าง AI, Blockchain หรือ Biometrics (การยืนยันตัวตนด้วยลายนิ้วมือหรือใบหน้า) มาใช้ ซึ่งช่วยเพิ่มทั้งประสิทธิภาพและความปลอดภัย

แต่ในทางกลับกัน ข้อเสียหรือความเสี่ยงก็มีอยู่ไม่น้อย ที่ต้องระวังเป็นพิเศษคือ ช่องทางใหม่ๆ ในการหลอกลวง ความสะดวกสบายและรวดเร็วของโลกออนไลน์ก็เป็นดาบสองคม เปิดช่องให้มิจฉาชีพสร้างกลโกงรูปแบบใหม่ๆ มาหลอกเอาเงินหรือข้อมูลส่วนตัวของเราได้ง่ายขึ้น เราจึงต้องมีสติ รู้เท่าทัน และระมัดระวังตัวอยู่เสมอ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ข้อมูลทางการเงินของเราที่อยู่บนแพลตฟอร์มต่างๆ ก็มีความเสี่ยงที่จะถูกแฮกหรือรั่วไหลได้ หากผู้ให้บริการมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ไม่ดีพอ ความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์ม โดยเฉพาะแพลตฟอร์มใหม่ๆ ที่เราอาจยังไม่คุ้นเคย ต้องตรวจสอบให้ดีว่ามีความน่าเชื่อถือ ได้รับการกำกับดูแลอย่างถูกต้องหรือไม่ ก่อนจะตัดสินใจใช้บริการหรือใส่เงินเข้าไป อาจส่งผลกระทบต่อการจ้างงาน ในบางภาคส่วน เช่น พนักงานสาขาธนาคาร อาจมีความต้องการน้อยลง เมื่อคนหันไปใช้บริการผ่านช่องทางดิจิทัลมากขึ้น แม้ว่าในอีกด้านหนึ่ง ฟินเทคก็จะสร้างงานใหม่ๆ ในสายเทคโนโลยีขึ้นมาทดแทนก็ตาม

แล้วในบ้านเราล่ะ สถานการณ์ฟินเทคเป็นอย่างไรบ้าง? ต้องบอกว่าประเทศไทยเราก็ไม่น้อยหน้าใครนะครับ ฟินเทคกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วมากๆ ได้รับแรงหนุนทั้งจากภาครัฐ อย่างธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ที่พยายามส่งเสริมและวางกฎเกณฑ์ให้เหมาะสม และจากพฤติกรรมของผู้บริโภคเองที่เปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ มากขึ้น สังเกตได้จากอัตราการใช้สมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ตที่สูงลิ่ว

การชำระเงินแบบดิจิทัลนี่เห็นชัดสุดๆ เลย ไม่ว่าจะเป็น PromptPay ที่แทบทุกคนมี หรือ E-Wallet เจ้าต่างๆ ที่แข่งกันออกโปรโมชันดึงดูดลูกค้า การพัฒนามาตรฐาน QR Code กลางที่ทำให้เราสแกนจ่ายข้ามแอปข้ามธนาคารได้สะดวกขึ้น การใช้ Biometrics เช่น สแกนหน้าหรือลายนิ้วมือ เพื่อยืนยันตัวตนเวลาทำธุรกรรมผ่าน Mobile Banking ก็กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว รวมถึงระบบ National Digital Identity (NDID) ที่กำลังพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการยืนยันตัวตนดิจิทัลที่น่าเชื่อถือ ก็จะยิ่งช่วยสนับสนุนให้การทำธุรกรรมออนไลน์ต่างๆ ปลอดภัยและคล่องตัวยิ่งขึ้นไปอีก

นอกจากการชำระเงินแล้ว ปรากฏการณ์ฟินเทคอื่นๆ ที่มาแรงในระดับโลกและเริ่มเห็นในไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ก็มี อย่าง สินเชื่อออนไลน์ระหว่างบุคคล (Peer-to-Peer Lending หรือ P2P Lending) ที่เป็นแพลตฟอร์มตัวกลางให้คนทั่วไปมาขอกู้และให้กู้ยืมเงินกันเองโดยตรง ไม่ต้องผ่านสถาบันการเงินแบบเดิมๆ ซึ่งอาจช่วยให้ผู้กู้เข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น และผู้ให้กู้ก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น (แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงที่สูงขึ้นเช่นกัน!) การระดมทุนจากฝูงชน (Crowdfunding) อย่างที่เล่าไปก่อนหน้า ก็เริ่มมีแพลตฟอร์มในไทยให้บริการมากขึ้น เป็นอีกทางเลือกสำหรับธุรกิจ SME หรือสตาร์ทอัพในการหาแหล่งเงินทุน

ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของภาพใหญ่ที่เรียกว่า นวัตกรรมทางการเงิน (Financial Innovation) ซึ่งก็คือการคิดค้น พัฒนา และนำเสนอผลิตภัณฑ์ บริการ กระบวนการ หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาในโลกการเงิน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน ลดความเสี่ยง สร้างมูลค่าเพิ่ม และที่สำคัญคือตอบสนองความต้องการของผู้คนและธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยนั่นเอง ฟินเทคที่เราคุยกันมาทั้งหมด ก็ถือเป็นส่วนสำคัญของนวัตกรรมทางการเงินในยุคดิจิทัลนี้

มองย้อนกลับไปในอดีต นวัตกรรมทางการเงินก็มีมาเรื่อยๆ นะครับ ไม่ใช่เพิ่งมีแค่ยุคฟินเทค อย่างบัตรเครดิตใบแรกที่เกิดขึ้นมา ก็ถือเป็นนวัตกรรมที่เปลี่ยนวิธีการใช้จ่ายของผู้คนไปเลย หรือการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ (Securitization) กองทุนรวมที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้เหมือนหุ้น (ETF) พวกนี้ก็ล้วนเป็นนวัตกรรมที่เกิดขึ้นมาก่อนยุคอินเทอร์เน็ตเฟื่องฟูซะอีก แต่สิ่งที่ทำให้ฟินเทคในปัจจุบันมันทรงพลังและเปลี่ยนแปลงโลกการเงินได้รวดเร็วขนาดนี้ ก็คือพลังของเทคโนโลยีดิจิทัล อินเทอร์เน็ต และสมาร์ทโฟน ที่ทำให้ทุกคนเข้าถึงนวัตกรรมเหล่านี้ได้ง่ายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เอาล่ะครับ เล่ามาถึงตรงนี้ หวังว่าเพื่อนๆ คงจะพอเห็นภาพรวมแล้วว่า เทคโนโลยีการเงิน มีอะไรบ้าง และมันเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตเราอย่างไรบ้างนะครับ ฟินเทคเหมือนเครื่องมือชิ้นใหม่ที่ทรงพลัง มันช่วยให้ชีวิตเราสะดวกสบายขึ้น จัดการเรื่องเงินได้ง่ายขึ้น เปิดโอกาสใหม่ๆ ทั้งในการใช้จ่าย การออม การลงทุน หรือแม้แต่การทำธุรกิจ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็มาพร้อมกับความเสี่ยงและความท้าทายใหม่ๆ ที่เราต้องเรียนรู้และปรับตัวให้ทัน

ดังนั้น ข้อแนะนำสุดท้ายที่อยากฝากไว้ก็คือ จงเปิดรับและเรียนรู้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้ แต่อย่าลืมที่จะใช้งานมันอย่างมีสติและรอบคอบ ศึกษาข้อมูลให้เข้าใจถ่องแท้ก่อนตัดสินใจใช้บริการใดๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนหรือการกู้ยืมเงิน ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของผู้ให้บริการเสมอ ตั้งรหัสผ่านที่คาดเดาได้ยาก ไม่บอกข้อมูลส่วนตัวหรือรหัส OTP กับใครง่ายๆ เปรียบเทียบค่าธรรมเนียมและเงื่อนไขต่างๆ ให้ดี

⚠️ คำเตือนสำคัญ: ก่อนตัดสินใจใช้บริการฟินเทคใหม่ๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการลงทุนหรือกู้ยืม ควรศึกษาข้อมูลให้ดี ประเมินความเสี่ยงที่ตัวเองรับไหว และอย่าหลงเชื่อคำโฆษณาชวนเชื่อที่การันตีผลตอบแทนสูงเกินจริง หรือข้อเสนอที่ดูดีเกินไปจนน่าสงสัย การลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ

โลกการเงินกำลังหมุนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วด้วยพลังของเทคโนโลยี การเข้าใจว่า เทคโนโลยีการเงิน มีอะไรบ้าง และเรียนรู้วิธีใช้ประโยชน์จากมันอย่างชาญฉลาดและปลอดภัย จะเป็นทักษะสำคัญที่ช่วยให้เราก้าวทันโลกและจัดการการเงินส่วนบุคคลได้อย่างมั่นคงและมั่งคั่งยิ่งขึ้นในอนาคตครับ!

LEAVE A RESPONSE