10,000 บาทมาแน่! ทำความรู้จัก “กระเป๋าเงินดิจิทัล” ใช้ยังไงให้คุ้มค่า ปลอดภัย
เหมือนรออะไรบางอย่างที่กำลังจะมาถึงใช่ไหมครับ? ช่วงนี้กระแส “โครงการเติมเงิน 10,000 บาท” ของรัฐบาลนี่มาแรงจริงๆ ครับ ได้ยินข่าวทุกวันว่าเมื่อไหร่จะได้ใช้ แล้วไอ้ “กระเป๋าเงินดิจิทัล” ที่ว่าเนี่ย มันคืออะไรกันแน่ ทำไมถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญของโครงการนี้ วันนี้ผมในฐานะคอลัมนิสต์การเงินที่ชอบเอาเรื่องยากๆ มาเล่าให้ฟังง่ายๆ จะขออาสาพาไปทำความเข้าใจแบบถึงพริกถึงขิงกันเลยครับ
เรื่องมันเริ่มจากรัฐบาลเขาอยากกระตุ้นเศรษฐกิจครับ โดยเฉพาะเศรษฐกิจระดับชาวบ้านร้านตลาดนี่แหละ เขาเลยคิดโครงการนี้ขึ้นมา เหมือนเป็นการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบโดยตรง เป้าหมายหลักๆ ก็เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพให้พี่น้องประชาชน และที่สำคัญมากๆ คือการส่งเสริมให้เงินหมุนเวียนอยู่ในพื้นที่ 878 อำเภอทั่วประเทศ ไม่ให้เงินไหลไปกระจุกตัวที่ไหนที่เดียว ตรงนี้แหละครับที่น่าสนใจ เพราะเขาหวังว่ามันจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตคนในชุมชน สร้างงาน สร้างอาชีพเล็กๆ น้อยๆ ขึ้นมาได้ และยังเป็นการวางรากฐานให้ประเทศไทยก้าวสู่ “รัฐบาลดิจิทัล” ที่ทำธุรกรรมออนไลน์กับภาครัฐได้ง่ายขึ้นในอนาคตด้วยนะ
ทีนี้หลายคนก็สงสัยว่า แล้วใครบ้างล่ะที่มีสิทธิ์ได้เงิน 10,000 บาทนี้ เพื่อนผมชื่อสมชายก็มาถามผมเหมือนกันครับว่า “เฮ้ย! ฉันจะได้มั้ยเนี่ย” ผมก็ต้องอธิบายคุณสมบัติให้ฟังแบบนี้ครับ ง่ายๆ คือต้องเป็นคนไทย มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน อายุ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปตอนปิดรับลงทะเบียน ที่สำคัญคือเรื่องรายได้และเงินฝากครับ สำหรับปีภาษี 2566 รายได้ต้องไม่เกิน 840,000 บาทต่อปี และเงินฝากรวมทุกบัญชีที่มีอยู่ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 ต้องไม่เกิน 500,000 บาท อันนี้รวมหมดนะ ทั้งออมทรัพย์ ประจำ กระแสรายวัน ยกเว้นบัญชีร่วมครับ นอกจากนี้ก็ต้องไม่เคยติดคุก หรือถูกตัดสิทธิ์/เรียกเงินคืนจากโครงการรัฐอื่นๆ มาก่อน ก็ลองเช็กกันดูนะครับว่าเข้าเกณฑ์ไหม

ขั้นตอนการรับสิทธิ์ก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิดครับ ทางรัฐบาลเขาให้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันชื่อว่า “ทางรัฐ” ซึ่งเป็นแอปฯ ของภาครัฐนั่นแหละ ถ้าใครเคยลงทะเบียนแอปฯ “ทางรัฐ” ไว้แล้วก็แค่เข้าไปยืนยันสิทธิ์ ส่วนใครที่ยังไม่เคยใช้ ก็ต้องดาวน์โหลดแอปฯ มาลงทะเบียนก่อนครับ จากนั้นค่อยไปลงทะเบียนโครงการนี้อีกที ช่วงเวลาลงทะเบียนสำคัญมากครับ จดไว้เลยนะ คือตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม ไปจนถึง 15 กันยายน 2567 ครับ อย่าพลาดนะครับ ถ้าเข้าเกณฑ์แล้วก็เตรียมตัวให้พร้อมเลย ท่านรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายพิชัย ชุณหวชิร) ก็ออกมาย้ำแล้วว่า โครงการนี้กำลังเดินหน้า ประชาชนอย่างเราๆ ก็ต้องเตรียมตัวเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจครั้งนี้กัน
ก่อนจะไปถึงเรื่องเงิน 10,000 บาท เรามาทำความรู้จัก “กระเป๋าเงินดิจิทัล” กันก่อนดีกว่า เพราะมันคือหัวใจหลักของโครงการนี้เลยครับ ลองนึกภาพง่ายๆ มันก็คือกระเป๋าสตางค์เวอร์ชันดิจิทัลนั่นแหละ แทนที่เราจะพกเงินสด พกบัตรเครดิต บัตรเดบิตในกระเป๋าจริงๆ เราก็เก็บข้อมูลพวกนี้ไว้ในแอปพลิเคชันบนมือถือ หรือในคอมพิวเตอร์นี่แหละครับ เจ้า “กระเป๋าเงินดิจิทัล” หรือที่บางคนเรียกว่า “กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์” (E-Wallet) เนี่ย มันช่วยให้ชีวิตเราง่ายขึ้นเยอะเลยครับ ไม่ต้องกลัวลืมกระเป๋าสตางค์ ไม่ต้องพกเงินสดเยอะๆ อยากจ่ายเงินซื้อของออนไลน์ หรือจะเดินเข้าร้านค้าแล้วจ่ายเงิน แค่เอาโทรศัพท์ไปสแกน หรือแตะก็ได้แล้วครับ เหมือนมีกระเป๋าเวทมนตร์ที่อยู่ในมือถือเราตลอดเวลา สะดวก รวดเร็ว ที่สำคัญคือลดความเสี่ยงในการสัมผัสเงินสดในช่วงที่มีโรคระบาดด้วยนะ
“กระเป๋าเงินดิจิทัล” นี่ก็มีหลายแบบหลายประเภทครับ เหมือนกระเป๋าสตางค์จริงก็มีแบบสั้น แบบยาว แบบคลัทช์ อะไรประมาณนั้นแหละครับ ถ้าแบ่งตามการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ก็จะมี “กระเป๋าร้อน” (Hot Wallet) ที่เชื่อมเน็ตตลอดเวลา สะดวก ใช้เร็ว เหมาะกับเงินที่เราใช้บ่อยๆ เช่น โมบายล์ วอลเล็ต (Mobile Wallet) ที่อยู่ในแอปฯ มือถือนี่แหละครับ กับ “กระเป๋าเย็น” (Cold Wallet) ที่ไม่เชื่อมเน็ตเลย อันนี้ปลอดภัยสูง เหมาะกับการเก็บสินทรัพย์ดิจิทัลจำนวนมากๆ ระยะยาว เหมือนเก็บเพชรเก็บพลอยไว้ในตู้เซฟน่ะครับ ส่วนถ้าแบ่งตามผู้ให้บริการ ก็มีทั้งของบริษัทเทคโนโลยีดังๆ อย่าง แอปเปิล เพย์ (Apple Pay), กูเกิล เพย์ (Google Pay), ซัมซุง เพย์ (Samsung Pay), เพย์พาล (PayPal), อาลีเพย์ (Alipay), วีแชท เพย์ (WeChat Pay) หรือจะเป็นของธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆ รวมถึงกระเป๋าเงินสำหรับ คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) โดยเฉพาะก็มีครับ แล้วแต่ว่าเราจะเอาไปใช้ทำอะไร

เบื้องหลังความสะดวกสบายของ “กระเป๋าเงินดิจิทัล” มันมีเทคโนโลยีหลายอย่างทำงานร่วมกันครับ ที่เราเห็นบ่อยๆ เวลาจะจ่ายเงินก็คือ คิวอาร์โค้ด (QR Code) ใช่ไหมครับ แค่ใช้กล้องมือถือสแกนก็จ่ายเงินได้แล้ว หรือบางทีก็ใช้การแตะที่เครื่องรับชำระ อันนี้ใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า เอ็นเอฟซี (NFC หรือ Near Field Communication) หรือบางเครื่องรุ่นเก่าหน่อยก็ใช้ เอ็มเอสที (MST หรือ Magnetic Secure Transmission) จำลองแถบแม่เหล็กบัตรได้ด้วยครับ แล้วสำหรับพวก “กระเป๋าเงินดิจิทัล” ที่เกี่ยวกับ คริปโตเคอร์เรนซี หรือโทเค็นดิจิทัลต่างๆ ก็จะมีเทคโนโลยี บล็อกเชน (Blockchain) มาช่วยเรื่องความปลอดภัยและความโปร่งใสของการทำธุรกรรมครับ ซึ่งเทคโนโลยีพวกนี้แหละคือพื้นฐานสำคัญที่จะผลักดันให้เกิด “เศรษฐกิจดิจิทัล” อย่างเต็มรูปแบบ
หลายคนอาจกังวลเรื่องความปลอดภัย “เอาเงินไปไว้ในมือถือเนี่ยนะ จะไม่โดนแฮกเหรอ?” ต้องบอกว่า “กระเป๋าเงินดิจิทัล” เขาพัฒนาระบบความปลอดภัยมาเยอะพอสมควรครับ มีระบบเข้ารหัสข้อมูล มีการยืนยันตัวตนหลายชั้น ทั้งการตั้งรหัส พิน (PIN), การใช้ลายนิ้วมือ หรือการสแกนใบหน้า แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือตัวเราเองครับ เราต้องเลือกใช้บริการจากผู้ให้บริการที่น่าเชื่อถือ ระมัดระวังในการใช้งาน ไม่ไปกดลิงก์แปลกๆ ไม่บอกรหัสให้ใคร และสำหรับคนที่ใช้ “กระเป๋าเงินดิจิทัล” ที่เก็บ คริปโตเคอร์เรนซี ต้องระวังเรื่อง ไพรเวต คีย์ (Private Key) ให้ดี ต้องสำรองและเก็บไว้ในที่ปลอดภัยที่สุดครับ

นอกเหนือจากโครงการรัฐบาลแล้ว “กระเป๋าเงินดิจิทัล” ก็มีประโยชน์มากๆ สำหรับธุรกิจต่างๆ ด้วยครับ ลองคิดดูนะ ถ้าเราเป็นเจ้าของร้านค้า การรับชำระเงินผ่าน “กระเป๋าเงินดิจิทัล” มันสะดวก ลูกค้าก็จ่ายง่ายขึ้น ไม่ต้องคอยทอนเงิน ไม่ต้องกลัวเรื่องเงินปลอม ลดต้นทุนในการจัดการเงินสด แถมยังลดความเสี่ยงจากการทุจริตอีกต่างหาก แล้วสมัยนี้คนใช้ “กระเป๋าเงินดิจิทัล” เยอะขึ้นเรื่อยๆ การรับชำระแบบนี้ก็ช่วยขยายฐานลูกค้าให้ร้านได้ด้วยนะ ทำให้ร้านดูทันสมัยขึ้น และยังสามารถเก็บข้อมูลการทำธุรกรรมเพื่อเอามาวิเคราะห์ ปรับปรุงธุรกิจได้อีกต่างหาก ซึ่งตรงนี้แหละครับที่ไปตอบโจทย์เป้าหมายของโครงการ 10,000 บาท ที่อยากให้ร้านค้ารายย่อยในชุมชนแข็งแรงขึ้น
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดๆ ในประเทศไทยก็มีโปรเจกต์เกี่ยวกับ “กระเป๋าเงินดิจิทัล” ที่น่าสนใจนะครับ อย่างเช่น Rubie Wallet ที่พัฒนาโดย SCB 10X ซึ่งเป็นบริษัทในเครือธนาคารไทยพาณิชย์ เขาเอามาทดสอบใน Regulatory Sandbox ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงาน ก.ล.ต. โดยเน้นการใช้งานสำหรับชาวต่างชาติที่เดินทางมาไทย ให้สามารถแปลงสกุลเงินดิจิทัลอย่าง สเตเบิลคอยน์ (Stablecoin) เป็นเงินบาทดิจิทัล (THBX) เพื่อนำไปใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการได้ โปรเจกต์นี้มีการนำนวัตกรรม Purpose Bound Money (PBM) มาใช้กำหนดวัตถุประสงค์การใช้เงินได้ด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยี “กระเป๋าเงินดิจิทัล” กำลังถูกนำมาประยุกต์ใช้และพัฒนานวัตกรรมทางการเงินในบ้านเราอย่างจริงจังครับ
สรุปง่ายๆ โครงการ 10,000 บาท เป็นเหมือนตัวเร่งปฏิกิริยาให้คนไทยจำนวนมากได้ลองใช้ “กระเป๋าเงินดิจิทัล” เป็นครั้งแรก ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีนะครับ เพราะมันคือเทรนด์การเงินยุคใหม่ที่จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตเรามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะโครงการนี้จะมีผลต่อเศรษฐกิจมากน้อยแค่ไหน แต่สิ่งหนึ่งที่ได้แน่นอนคือ คนไทยจะได้รู้จักและคุ้นเคยกับ “กระเป๋าเงินดิจิทัล” มากขึ้นครับ
ดังนั้น ถ้าคุณเข้าเกณฑ์ได้รับสิทธิ์ ก็เตรียมตัวลงทะเบียนผ่านแอป “ทางรัฐ” ได้เลยตามวันเวลาที่กำหนดครับ ส่วนใครที่ยังไม่เคยใช้ “กระเป๋าเงินดิจิทัล” เลย ไม่ว่าจะเป็นของธนาคารต่างๆ แอปฯ จ่ายเงิน หรือแม้แต่กระเป๋าสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ นี่อาจเป็นโอกาสที่ดีที่จะเริ่มเรียนรู้และลองใช้งานดูครับ มันสะดวกสบายกว่าที่คิดเยอะเลย
⚠️ อย่างไรก็ตาม การทำธุรกรรมดิจิทัลทุกอย่าง ไม่ใช่แค่ “กระเป๋าเงินดิจิทัล” นะครับ ต้องมีสติและระมัดระวังเสมอ ตรวจสอบข้อมูลให้ดีก่อนทุกครั้ง ไม่ว่าจะจ่ายเงิน โอนเงิน หรือรับเงิน อย่าหลงเชื่ออะไรง่ายๆ ที่อ้างว่าเป็นโครงการรัฐบาลแล้วให้กดลิงก์แปลกๆ ถ้าสงสัยตรงไหน ถามศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน โทร 1111 กด 1 ได้เลยครับ หรือดูข้อมูลที่เว็บไซต์โครงการ digitalwallet.go.th เพื่อความถูกต้องและปลอดภัยครับ ขอให้ทุกคนใช้ “กระเป๋าเงินดิจิทัล” อย่างมีความสุขและปลอดภัยครับ!