คริปโตพลัส

ศูนย์รวมความรู้คริปโต เคล็ดลับลงทุน และอัปเดตราคาเหรียญแบบเรียลไทม์

การขุดเหรียญและเครื่องมือหาเงิน

ไขความลับเครื่องขุดบิทคอยน์: ลงทุนแล้วรวยจริงหรือ?

เพื่อนสนิทชื่อมะปราง เดินหน้าตาตื่นมาถามผมวันก่อนครับ “พี่ๆ หนูเห็นข่าวบิทคอยน์ราคาขึ้นเอาๆ แล้วก็ได้ยินคนพูดเรื่อง ‘ขุดบิทคอยน์’ กันเยอะแยะ มันคืออะไรเหรอ แล้วเราแค่ซื้อคอมพิวเตอร์แรงๆ มาต่อเน็ตตั้งไว้ก็ขุดได้เงินเหมือนมีคนสร้างให้ฟรีๆ เลยจริงดิ?”

ฟังคำถามมะปรางแล้ว ผมก็อมยิ้มนะ เพราะนี่คือเรื่องที่หลายคนสงสัย ไม่ใช่แค่คนเพิ่งเข้าวงการคริปโต แต่แม้แต่คนที่อยู่ในตลาดมาพักใหญ่ก็ยังตามเทคโนโลยีไม่ค่อยทันอยู่ดี ว่าด้วยเรื่อง “เครื่องขุดบิทคอยน์” หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า เครื่องขุด นี่แหละครับ มันไม่ใช่แค่คอมพิวเตอร์ธรรมดา แต่มันคือหัวใจสำคัญในการสร้างบิทคอยน์ใหม่ๆ และยืนยันการทำธุรกรรมทั้งหมดบนเครือข่ายบล็อกเชน (Blockchain) ของบิทคอยน์ ซึ่งเป็นเหมือนสมุดบัญชีกลางดิจิทัลขนาดใหญ่ที่ทุกคนตรวจสอบได้

ย้อนกลับไปสมัยบิทคอยน์เพิ่งเกิดใหม่ๆ สักสิบกว่าปีที่แล้วนั่นน่ะ การขุดบิทคอยน์ยังใช้แค่คอมพิวเตอร์ทั่วไปที่มีซีพียู (CPU) แรงๆ ก็พอแล้วครับ แต่พอเวลาผ่านไป จำนวนคนที่อยากขุดเยอะขึ้น ความยากในการขุดก็เพิ่มขึ้นตาม กลไกของบิทคอยน์มันถูกออกแบบมาให้ยากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อควบคุมปริมาณและสร้างความปลอดภัย พอ CPU เริ่มไม่ไหว ก็ขยับไปใช้การ์ดจอแรงๆ (GPU) เหมือนที่พวกคอเกมใช้กันนั่นแหละ การ์ดจอมันประมวลผลเรื่องตัวเลขได้ดีกว่า CPU เยอะเลยครับ แต่นั่นก็ยังไม่สุด เพราะการแข่งขันมันสูงมาก จนต้องมีอุปกรณ์เฉพาะทางที่เกิดมาเพื่อสิ่งนี้โดยเฉพาะ นั่นคือ “เครื่องขุดเฉพาะทาง” หรือ ASIC (เอสิก) ย่อมาจาก Application-Specific Integrated Circuit เจ้าตัวนี้แหละคือ “เครื่องขุด” ตัวจริงเสียงจริงสำหรับบิทคอยน์ในยุคปัจจุบัน เพราะมันถูกออกแบบมาให้ทำงานเดียวคือ ขุดบิทคอยน์ ซึ่งมันทำได้ดีกว่า GPU ทั่วไปเป็นร้อยเป็นพันเท่าครับ

แล้วเจ้า เครื่องขุด ASIC นี่มันทำงานยังไง? อธิบายแบบง่ายที่สุดเลยนะ เหมือน เครื่องขุด ทุกเครื่องบนโลกกำลังแข่งกันแก้โจทย์คณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนมากๆ ที่เรียกว่า Proof of Work (กลไกการพิสูจน์การทำงาน) ใครที่คำนวณเจอคำตอบได้ก่อน ก็จะได้สิทธิ์เป็นคนยืนยันชุดการทำธุรกรรมล่าสุด (เรียกว่า “บล็อก”) เอาไปต่อเข้ากับบล็อกก่อนหน้าบนบล็อกเชน และเป็นผู้ได้รับรางวัลเป็นบิทคอยน์ก้อนใหม่ครับ ความเร็วในการคำนวณของ เครื่องขุด นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่า “แรงขุด” หรือ “อัตราแฮช” (Hashrate) ยิ่งมีแรงขุดสูง ก็เหมือนมีโอกาสเดาสุ่มคำตอบได้มากกว่าคู่แข่งคนอื่นๆ ทำให้มีโอกาสได้รับรางวัลบิทคอยน์มากกว่านั่นเอง

แต่ฟังดูเหมือนจะรวยง่ายๆ แค่ซื้อ เครื่องขุด มาตั้งใช่ไหมครับ? บอกเลยว่าความเป็นจริงมันมีอะไรมากกว่านั้นเยอะครับ การลงทุนใน เครื่องขุด ถือเป็นการลงทุนที่มีต้นทุนสูงและมีความเสี่ยง เพราะต้นทุนหลักๆ ไม่ใช่แค่ “ราคาเครื่องขุด” ตัวเครื่องเพียวๆ เท่านั้นนะ แต่ยังมี “ค่าไฟฟ้า” ที่เป็นรายจ่ายต่อเนื่องมหาศาลมากๆ ยิ่ง เครื่องขุด รุ่นใหม่ๆ ยิ่งมีแรงขุดสูง แต่ก็มักจะกินไฟสูงตามไปด้วย การคำนวณจุดคุ้มทุนหรือ “ระยะเวลาคืนทุน” (Payback Period) จึงเป็นเรื่องสำคัญสุดๆ คือต้องดูว่ากำไรที่ได้จากการขุดแต่ละวัน จะใช้เวลากี่วันถึงจะเท่ากับเงินค่า เครื่องขุด ที่เราลงทุนไป ยิ่งคืนทุนไวก็ยิ่งดี

แล้ว เครื่องขุด รุ่นไหนน่าสนใจในปี 2025 นี้ล่ะ? จากข้อมูลที่ผมรวบรวมมา (อ้างอิงจากแหล่งข้อมูลอย่าง DepositPhotos และ Cryptodrilling Team) ตลาด เครื่องขุด บิทคอยน์ยังคงพัฒนาไปเรื่อยๆ ครับ รุ่นใหม่ๆ จะเน้นไปที่การเพิ่ม “แรงขุด” ให้สูงขึ้น ขณะเดียวกันก็พยายามลด “การใช้พลังงาน” ต่อหน่วยแรงขุดลง หรือที่เราเรียกว่าเพิ่ม “ประสิทธิภาพพลังงาน” (Energy Efficiency) วัดเป็นหน่วย J/TH (Joule per Terahash) คือใช้พลังงานกี่จูลในการคำนวณ 1 Terahash ยิ่งตัวเลขนี้ต่ำยิ่งแปลว่ายิ่งประหยัดไฟสำหรับแรงขุดที่เท่ากัน

ลองดูตัวอย่าง เครื่องขุด บิทคอยน์ยอดนิยมบางรุ่นในปี 2025 ที่หลายคนพูดถึงกันนะครับ อย่างตัวท็อปๆ ที่คนเล็งกันก็มี Bitmain Antminer S21 Pro ตัวนี้แรงขุดโหดมาก ทะลุ 180 TH/s กินไฟประมาณ 3,450W ราคาเปิดตัวตอนแรกก็อยู่ราวๆ 5,200 ดอลลาร์สหรัฐฯ ลองคำนวณคร่าวๆ ที่ค่าไฟต่างประเทศสัก 0.24 ดอลลาร์/kWh อาจจะทำกำไรเฉลี่ยต่อวันได้ประมาณ 19.18 ดอลลาร์สหรัฐฯ และใช้เวลาคืนทุนราว 271 วัน

ขยับลงมาหน่อยก็มี MicroBT WhatsMiner M60S แรงขุด 165 TH/s กินไฟ 3,300W ราคาประมาณ 4,800 ดอลลาร์สหรัฐฯ กำไรต่อวันราว 17.37 ดอลลาร์สหรัฐฯ คืนทุนประมาณ 276 วัน จะเห็นว่าใกล้เคียง S21 Pro เลยครับ หรือจะเป็น Canaan AvalonMiner A1366 Pro ราคาเบาลงอีกนิด 3,900 ดอลลาร์สหรัฐฯ แรงขุด 140 TH/s กินไฟ 3,220W ตัวนี้กำไรต่อวันจะลดลงมาหน่อย เหลือประมาณ 12.16 ดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ระยะเวลาคืนทุนขยับไปเป็น 321 วัน

แล้วรุ่นเก่าหน่อยอย่าง Bitmain Antminer S19j Pro+ ที่เคยเป็นรุ่นฮิต ราคาตอนนี้อาจจะเหลือแค่ 1,900 ดอลลาร์สหรัฐฯ แรงขุด 104 TH/s กินไฟ 3,100W ตัวนี้กำไรต่อวันจะน้อยกว่ารุ่นใหม่ๆ เยอะครับ เหลือประมาณ 4.55 ดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ระยะเวลาคืนทุนยาวออกไปถึงประมาณ 417 วันครับ เห็นไหมครับว่าแม้ราคาเครื่องจะถูกกว่า แต่ถ้าประสิทธิภาพพลังงานสู้รุ่นใหม่ไม่ได้ หรือแรงขุดต่างกันเยอะ กำไรต่อวันก็จะน้อยลง และทำให้คืนทุนช้าลงไปด้วย

นอกจากประสิทธิภาพด้านแรงขุดและการใช้พลังงานแล้ว ปัจจัยอื่นๆ ในการเลือก เครื่องขุด ก็สำคัญไม่แพ้กันครับ เช่น ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ความทนทาน การซ่อมบำรุง (เพราะ เครื่องขุด มันทำงานหนักตลอด 24 ชั่วโมง) และเรื่องเสียงรบกวนครับ เครื่องขุด ASIC ส่วนใหญ่เสียงดังมากนะครับ เหมือนเครื่องดูดฝุ่นหลายๆ ตัวทำงานพร้อมกันเลย เสียงดังราวๆ 70-75 เดซิเบลเลยทีเดียว ถ้าจะตั้งที่บ้านต้องหาที่เก็บดีๆ หรือไม่ก็ต้องยอมรับเรื่องเสียงดังให้ได้

เดี๋ยวนี้ เครื่องขุด ตัวท็อปๆ ยังพัฒนาไปถึงขั้นใช้ระบบ “ระบายความร้อนด้วยน้ำ” (Water cooling / Hydrocooling) ด้วยนะครับ อย่าง Bitmain Antminer S21 Hyd รุ่นนี้แรงขุดถึง 355 TH/s แต่ใช้การระบายความร้อนด้วยน้ำ ซึ่งช่วยให้ เครื่องขุด ทำงานได้เสถียรขึ้น และอาจจะเสียงเบาลงกว่ารุ่นที่ใช้พัดลมปกติ แต่แน่นอนว่ามีต้นทุนและระบบติดตั้งที่ซับซ้อนกว่า

นอกจากบิทคอยน์แล้ว ตลาด เครื่องขุด ยังมีสำหรับเหรียญคริปโตอื่นๆ อีกหลายสกุลเลยนะครับ ที่เรียกว่า Altcoin อย่างเหรียญ Kaspa (แคสปา) ที่ฮิตขึ้นมาพักใหญ่ ก็ใช้ เครื่องขุด เฉพาะของมัน เช่น Bitmain Antminer KS3 หรือเหรียญที่ใช้อัลกอริทึมอื่นๆ อย่าง Ethereum Classic (ETC) หรือ RavenCoin (RVN) ที่เคยขุดด้วยการ์ดจอ ตอนนี้ก็เริ่มมี เครื่องขุด ASIC ออกมาแล้วเหมือนกัน อย่าง Bitmain Antminer L7 ที่ขุด Litecoin และ Dogecoin พร้อมกันได้ ก็เป็นอีกตัวอย่างของ เครื่องขุด Altcoin ครับ ซึ่งแต่ละเหรียญก็ใช้อัลกอริทึมและ เครื่องขุด ที่แตกต่างกันออกไป

สำหรับในประเทศไทยเอง สำหรับคนที่สนใจแต่ไม่สะดวกซื้อ เครื่องขุด มาตั้งเองที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพื้นที่ ค่าไฟ หรือการดูแลรักษา ก็มีผู้ให้บริการ “บริการวาง เครื่องขุด” ในไทยด้วยนะครับ เหมือนเราซื้อ เครื่องขุด แล้วเอาไปฝากเขาดูแลให้ โดยเราจ่ายค่าบริการรายเดือน ซึ่งมักจะรวมทั้ง “ค่าไฟฟ้า” ที่เขาไปดีลมาได้ถูกกว่าเราจ่ายเอง “ค่าวาง/ดูแล” รักษา เครื่องขุด ให้ทำงานได้ต่อเนื่อง และบางทีก็รวม “ประกันซ่อม” เครื่องขุด เสียด้วย

ยกตัวอย่างจากผู้ให้บริการเจ้าหนึ่งในไทย (อ้างอิงข้อมูลจาก MiningPro) เขาเสนอบริการ เครื่องขุด ยอดนิยมอย่าง Bitmain Antminer S21 (รุ่น 200TH หรือ 195TH) หรือรุ่นเก่าหน่อยอย่าง S19j Pro (104TH) โดยคิดค่าบริการรายเดือน สมมติว่ารายได้ที่ขุดได้ต่อเดือน (จาก เครื่องขุด S21) อยู่ที่ราว 6,xxx บาท แต่ค่าไฟฟ้าต่อเดือนอาจจะประมาณ 10,xxx บาท บวกค่าวางดูแลอีก 1,000 บาท และประกันซ่อมอีก 1,000 บาทต่อเดือน รวมแล้วต้นทุนต่อเดือนอาจจะสูงกว่ารายได้ที่ขุดได้ในช่วงเวลานั้นๆ ครับ (ตัวเลขนี้เป็นเพียงตัวอย่าง ณ ช่วงเวลาหนึ่ง และอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามราคาบิทคอยน์ ความยากในการขุด และค่าไฟจริง) นี่แสดงให้เห็นว่าการขุดไม่ได้การันตีกำไรเสมอไป ต้องดูหลายปัจจัยมากๆ

⚠️ ฟังมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะเห็นตัวเลขกำไรต่อวันที่ดูดีของบางรุ่น แล้วรู้สึกตื่นเต้น แต่อย่าเพิ่งรีบร้อนตัดสินใจครับ การลงทุนใน เครื่องขุด มีความเสี่ยงที่ต้องรู้และเข้าใจอย่างลึกซึ้ง!

1. **ความผันผวนของราคาบิทคอยน์:** กำไรที่คุณได้มาคือบิทคอยน์ ถ้าวันไหนราคาบิทคอยน์ร่วง ต้นทุนค่าไฟที่จ่ายเป็นเงินบาทเท่าเดิมอาจจะสูงกว่ามูลค่าบิทคอยน์ที่ขุดได้ซะอีก กลายเป็นขาดทุนทันที
2. **ความยากในการขุดที่เพิ่มขึ้น:** เครือข่ายบิทคอยน์จะปรับความยากในการแก้โจทย์โดยอัตโนมัติทุกๆ ประมาณ 2 สัปดาห์ ถ้ามีคนเข้ามาขุดเยอะขึ้น หรือ เครื่องขุด รุ่นใหม่ๆ ที่แรงกว่าเดิมเข้ามาในระบบเยอะๆ ความยากในการขุดก็จะเพิ่มขึ้น ทำให้ เครื่องขุด ตัวเดิมของเราได้บิทคอยน์น้อยลง ทั้งๆ ที่ใช้ไฟเท่าเดิม
3. **ค่าไฟฟ้า:** นี่คือต้นทุนมหาศาลจริงๆ ครับ ยิ่งตั้ง เครื่องขุด หลายเครื่อง กินไฟรวมกันเป็นหลายสิบกิโลวัตต์ คำนวณค่าไฟให้ละเอียดถี่ถ้วนมากๆ ก่อนตัดสินใจ
4. **อายุและการเสื่อมสภาพของ เครื่องขุด:** เครื่องขุด ASIC ทำงานหนักตลอดเวลา มีโอกาสเสียหรือประสิทธิภาพลดลงได้ และเทคโนโลยีก็ก้าวหน้าเร็วมาก เครื่องขุด รุ่นใหม่ๆ ออกมาเรื่อยๆ ทำให้ เครื่องขุด รุ่นเก่าอาจจะตกยุคและไม่คุ้มค่าที่จะขุดต่อไป

สรุปแล้ว การลงทุนใน เครื่องขุด ไม่ใช่แค่การซื้ออุปกรณ์มาตั้งแล้วรอรับเงินครับ มันเหมือนการทำธุรกิจขนาดเล็กๆ ที่ต้องมีการศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด ทั้งเรื่อง “ราคาเครื่องขุด” สเปก “แรงขุด” “การใช้พลังงาน” ที่จะกระทบ “ค่าไฟฟ้า” อย่างจัง การคำนวณ “ระยะเวลาคืนทุน” ที่แม่นยำ และที่สำคัญคือ ต้องบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนของ “ราคาบิทคอยน์” และการเปลี่ยนแปลงของ “ความยากในการขุด” ให้ได้

สำหรับมะปราง หรือใครก็ตามที่กำลังมองหาช่องทางสร้างรายได้จากโลกคริปโต การขุดบิทคอยน์ด้วย เครื่องขุด อาจจะเป็นทางเลือกหนึ่ง แต่ต้องยอมรับว่ามันต้องใช้เงินลงทุนก้อนใหญ่ มีความเสี่ยงสูง และต้องมีความรู้ความเข้าใจเชิงเทคนิคพอสมควร ไม่ใช่แค่เสียบปลั๊กแล้วรวยนะครับ ถ้าเงินทุนไม่สูงมาก หรือรับความเสี่ยงเรื่องราคาบิทคอยน์ที่ผันผวนมากๆ ไม่ได้เต็มที่ การ “ขุด” ด้วย เครื่องขุด อาจจะยังไม่ใช่จังหวะที่ดีที่สุด

แต่อย่างน้อย การได้เรียนรู้เรื่องราวเบื้องหลังของ เครื่องขุด เหล่านี้ ก็ทำให้เราเข้าใจมากขึ้นว่าบิทคอยน์ที่เราเห็นซื้อขายกันอยู่ทุกวันนี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร และเบื้องหลังความมั่นคงปลอดภัยของเครือข่ายบล็อกเชนมันมีอะไรซ่อนอยู่บ้าง ซึ่งสิ่งเหล่านี้แหละครับคือความรู้ที่สำคัญในโลกการเงินยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีที่เราทุกคนควรทำความเข้าใจไว้ครับ

LEAVE A RESPONSE