คริปโตพลัส

ศูนย์รวมความรู้คริปโต เคล็ดลับลงทุน และอัปเดตราคาเหรียญแบบเรียลไทม์

การขุดเหรียญและเครื่องมือหาเงิน

แรงขุด MH/s กี่บาท? เจาะลึกโลกขุด Bitcoin มือใหม่ต้องรู้!

ช่วงนี้เพื่อนสนิทของผมคนหนึ่งที่ชื่อ “ต้า” ซึ่งมักจะอินเทรนด์กับเรื่องเทคโนโลยีอยู่เสมอ บังเอิญมาปรึกษาผมด้วยหน้าตาที่ค่อนข้างเครียดปนสับสน ต้าเล่าว่า “เฮ้ยแก! ฉันเอาการ์ดจอ RTX 3060 Ti 8GB ที่เคยใช้เล่นเกมมาลองขุดบิทคอยน์ผ่านโปรแกรม NiceHash ดูนะ กะว่าจะลองหาค่าขนม แต่ทำไมมันได้เงินแค่วันละ 7 บาท 73 สตางค์เองฟระ? แรงขุดก็ขึ้นอยู่ 9.183 กิกะแฮชต่อวินาที (GH/s) นะ แล้วก็เห็นขุดได้บิทคอยน์ประมาณ 0.00001100 บิทคอยน์ต่อวัน นี่มันเรื่องปกติรึเปล่า แล้วไอ้ แรงขุด mh/s กี่บาท เนี่ย มันเกี่ยวอะไรกันไหม? สรุปว่ามันคุ้มไหมเนี่ย?”

ผมนั่งฟังต้าเล่าด้วยรอยยิ้มเบาๆ ก่อนจะอธิบายให้ต้าฟังว่า “ต้านายไม่ได้โดดเดี่ยวหรอกนะ คำถามที่นายถามเนี่ย มีนักขุดมือใหม่ หรือแม้แต่คนอยากลองเล่นอย่างนายเนี่ย สงสัยกันเยอะมาก” ตลาดการขุดบิทคอยน์วันนี้มันเปลี่ยนไปเยอะมากแล้ว ไม่ใช่แค่การ์ดจอแรงๆ ก็ทำเงินได้เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ แต่ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า “การขุดบิทคอยน์” เนี่ย มันคืออะไรกันแน่ และทำไมนายถึงได้เงินน้อยขนาดนั้น

**ขุดบิทคอยน์ ไม่ใช่ขุดทอง: ไขปริศนาเบื้องหลังโลกดิจิทัล**

หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า “การขุดบิทคอยน์” แล้วจินตนาการไปถึงการใส่หมวกนิรภัย ถือพลั่วไปขุดดินหาทองคำ แต่มันไม่ใช่แบบนั้นเลยครับ ในโลกของคริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency – สกุลเงินดิจิทัล) การขุดบิทคอยน์เปรียบเสมือนการเป็น “ผู้ตรวจสอบบัญชี” หรือ “นักคณิตศาสตร์” ประจำเครือข่ายของบิทคอยน์นั่นเอง

ลองนึกภาพว่า บิทคอยน์ก็เหมือนสมุดบัญชีเล่มใหญ่มากๆ ที่ทุกคนในโลกสามารถมองเห็นได้ (แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของบัญชีไหน) เวลาที่มีคนทำธุรกรรมซื้อขาย โอนบิทคอยน์กัน ข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งเข้ามาในสมุดบัญชีกลาง ที่เรียกว่า `บล็อกเชน` (Blockchain) หรือ “ห่วงโซ่ของข้อมูล” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ ไม่มีใครเป็นเจ้าของคนเดียว ทุกคนช่วยกันบันทึกและตรวจสอบ นี่แหละคือหัวใจสำคัญของความโปร่งใสและปลอดภัยของบิทคอยน์

หน้าที่ของ “นักขุด” ก็คือการแข่งขันกันแก้โจทย์คณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนมากๆ เพื่อที่จะเป็นคนแรกที่ตรวจสอบและบันทึกธุรกรรมชุดใหม่ลงใน `บล็อก` (Block) หรือ “หน้ากระดาษบัญชี” จากนั้นก็ผนึกบล็อกนั้นเข้ากับ `บล็อกเชน` ที่มีอยู่เดิมให้ถูกต้องและปลอดภัย กระบวนการนี้เรียกว่า `พิสูจน์การทำงาน` (Proof of Work) ครับ พอใครแก้โจทย์สำเร็จเป็นคนแรก เครือข่ายก็จะมอบ “รางวัลบล็อก” (Block Reward) เป็นบิทคอยน์ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ รวมถึง “ค่าธรรมเนียมธุรกรรม” (Transaction Fees) ที่คนทำธุรกรรมจ่ายให้ เป็นการตอบแทนความพยายามในการช่วยดูแลเครือข่ายให้ปลอดภัยและเป็นระเบียบ นี่คือที่มาของบิทคอยน์ใหม่ๆ ที่หมุนเวียนเข้ามาในระบบ และทำให้นักขุดมีรายได้นั่นเอง

ทีนี้ **แรงขุด** หรือ `แฮชเรต` (Hashrate) นี่แหละคือหัวใจสำคัญ มันคือหน่วยวัด “กำลังในการคำนวณ” หรือ “ความเร็วในการแก้โจทย์คณิตศาสตร์” ของเครื่องขุด ยิ่งมี `แฮชเรต` สูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะแก้โจทย์ได้สำเร็จก่อนใครเพื่อน และได้รับรางวัลมากขึ้นเท่านั้น หน่วยวัด `แฮชเรต` ก็มีหลายแบบครับ ตั้งแต่ กิโลแฮชต่อวินาที (kH/s), เมกะแฮชต่อวินาที (MH/s), กิกะแฮชต่อวินาที (GH/s) ไปจนถึง เทระแฮชต่อวินาที (TH/s) ซึ่งเป็นหน่วยที่ใหญ่มากๆ ที่เราจะพูดถึงต่อไป

**ความจริงที่เจ็บปวด: ทำไมการ์ดจอถึง “ขุดไม่ขึ้น” แล้ว?**

กลับมาที่คำถามของต้า ที่ว่า แรงขุด mh/s กี่บาท ถึงจะได้เงินแค่วันละ 7 บาท 73 สตางค์ด้วยการ์ดจอ RTX 3060 Ti ที่มี `แรงขุด` 9.183 GH/s (เทียบเท่า 9,183 MH/s) ต้องบอกเลยว่า “นี่คือเรื่องปกติในโลกของการขุดบิทคอยน์ยุคปัจจุบันครับ!” และน่าจะน้อยจนไม่คุ้มค่าไฟฟ้าด้วยซ้ำไป

คุณอาจจะสงสัยว่าทำไมมันถึงได้น้อยขนาดนี้ ทั้งที่การ์ดจอก็แพงและแรงไม่ใช่เล่น? ก็เพราะว่าโลกของการขุดบิทคอยน์นับวันยิ่งมีการแข่งขันที่สูงขึ้น และที่สำคัญคือ “ความยากในการขุด” (Mining Difficulty) ก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล พูดง่ายๆ คือ โจทย์คณิตศาสตร์ที่นักขุดต้องแก้มันซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งมีนักขุดเข้ามาร่วมแข่งขันมากเท่าไหร่ เครือข่ายก็จะปรับความยากให้สูงขึ้นไปอีก เพื่อรักษาระดับการสร้างบิทคอยน์ใหม่ให้คงที่ประมาณ 1 บล็อกทุกๆ 10 นาที เหมือนการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ยิ่งคนเก่งเยอะ ข้อสอบก็ยิ่งยากขึ้นนั่นแหละ

ในอดีตนานมาแล้ว สมัยบิทคอยน์ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แค่ใช้หน่วยประมวลผลกลาง (CPU – Central Processing Unit) ในคอมพิวเตอร์ทั่วไปก็ขุดได้แล้วครับ ต่อมาความยากเพิ่มขึ้น ก็ต้องขยับมาใช้หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU – Graphics Processing Unit) หรือ `การ์ดจอ` อย่างที่ต้าใช้ ซึ่งมีพลังคำนวณที่สูงกว่าซีพียูหลายเท่าตัว แต่ปัจจุบันนี้ ถึงแม้การ์ดจอจะแรงแค่ไหน มันก็ไม่สามารถสู้กับ `เครื่องขุดเฉพาะทาง` ที่เรียกว่า `เอสิก` (ASIC – Application-Specific Integrated Circuit) ได้เลย

ลองนึกภาพการแข่งขันวิ่งมาราธอนระยะไกลระดับโลกนะครับ การ์ดจอของคุณต้าก็เหมือนนักวิ่งที่มีรองเท้าวิ่งธรรมดาๆ ทั่วไป ถึงจะวิ่งเร็วแค่ไหน ก็คงสู้ `เครื่องขุดเอสิก` ซึ่งเปรียบเสมือนนักวิ่งมืออาชีพที่ใส่รองเท้าวิ่งไฮเทคระดับโลกที่ออกแบบมาเพื่อการวิ่งมาราธอนโดยเฉพาะ ไม่ได้เลยครับ มันถูกสร้างมาเพื่อแก้โจทย์บิทคอยน์โดยเฉพาะ ทำให้มีประสิทธิภาพด้านพลังงานและความเร็วในการคำนวณที่เหนือกว่า `จีพียู` หลายร้อยถึงหลายพันเท่าตัว ดังนั้น `แรงขุด` ของการ์ดจอเลยกลายเป็นเศษฝุ่นไปเลย เมื่อเทียบกับพลังการขุดของ `เอสิก`

**พลังที่แท้จริงของโลกการขุด: ส่อง `เครื่องขุดเอสิก`**

แล้ว `เครื่องขุดเอสิก` เนี่ยมันแรงขนาดไหนกันเชียว? เอาข้อมูลจากปี 2025 ที่ได้จาก CryptoDrilling Team มาเทียบให้เห็นภาพชัดๆ เลยนะครับ ตอนนี้ `เครื่องขุดเอสิก` ที่เป็นตัวท็อปในตลาด มี `แรงขุด` และประสิทธิภาพที่น่าทึ่งมากๆ

* **Bitmain Antminer S21 Pro:**
* ราคา: ประมาณ 5,200 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 180,000 – 190,000 บาท ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยน)
* `แรงขุด`: 180 `เทระแฮชต่อวินาที` (TH/s) ครับ! โอ้โห เทียบกับการ์ดจอ 9.183 GH/s ของต้าคือ 180,000 GH/s หรือแรงกว่าเป็นหมื่นๆ เท่าเลยทีเดียว
* การใช้ไฟฟ้า: 3,450 วัตต์
* ประสิทธิภาพพลังงาน: 19.2 จูลต่อเทระแฮช (J/TH) ยิ่งน้อยยิ่งประหยัดไฟ
* ผลการขุดต่อวัน: ประมาณ 0.00047 บิทคอยน์
* ค่าไฟฟ้าต่อวัน: ประมาณ 19.83 ดอลลาร์สหรัฐ (หากค่าไฟอยู่ที่ 0.24 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง)
* กำไรเฉลี่ยต่อวัน: ประมาณ 19.18 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 670-700 บาท)
* `ระยะเวลาคืนทุน`: ประมาณ 271 วัน (เกือบ 9 เดือน)

* **MicroBT Whatsminer M60S:**
* ราคา: ประมาณ 4,800 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 170,000 – 180,000 บาท)
* `แรงขุด`: 165 `เทระแฮชต่อวินาที` (TH/s)
* การใช้ไฟฟ้า: 3,300 วัตต์
* ประสิทธิภาพพลังงาน: 20.0 จูลต่อเทระแฮช (J/TH)
* ผลการขุดต่อวัน: ประมาณ 0.00043 บิทคอยน์
* ค่าไฟฟ้าต่อวัน: ประมาณ 18.32 ดอลลาร์สหรัฐ
* กำไรเฉลี่ยต่อวัน: ประมาณ 17.37 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 600-640 บาท)
* `ระยะเวลาคืนทุน`: ประมาณ 276 วัน (เกือบ 9 เดือนครึ่ง)

เห็นไหมครับว่า ด้วย `แรงขุด` ที่เป็นหลัก `เทระแฮชต่อวินาที` ซึ่งสูงกว่า `กิกะแฮชต่อวินาที` ของการ์ดจอหลายพันเท่า ทำให้ `เครื่องขุดเอสิก` สามารถทำกำไรได้หลักร้อยบาทต่อวัน ในขณะที่การ์ดจอของต้าได้แค่ 7 บาทกว่าๆ เท่านั้นเอง นี่คือความจริงที่ว่า แรงขุด mh/s กี่บาท นั้น มันขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่คุณใช้มากแค่ไหนนั่นเองครับ

**นอกจากอุปกรณ์: ตัวแปรสำคัญที่ทำให้การขุด “ไม่หมู” อย่างที่คิด**

แม้ `เครื่องขุดเอสิก` จะมีประสิทธิภาพสูงลิบ แต่การตัดสินใจลงทุนกับการขุดบิทคอยน์ ก็ยังมีปัจจัยอื่นที่เราต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่ใช่แค่เรื่องของ แรงขุด mh/s กี่บาท เพียงอย่างเดียวครับ

1. **ความผันผวนของราคาบิทคอยน์:** ราคาบิทคอยน์ในตลาดโลกนั้นขึ้นลงรุนแรงมากๆ ครับ บางวันขึ้นพรวด บางวันร่วงฮวบฮาบ ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลโดยตรงต่อรายได้และกำไรจากการขุดของเรา หากราคาบิทคอยน์ตกลงไปมากๆ กำไรที่เราคาดการณ์ไว้ก็อาจจะลดลง หรือบางทีอาจจะขาดทุนเลยก็ได้
2. **ค่าไฟฟ้า:** นี่คือตัวแปรสำคัญที่นักขุดในประเทศไทยต้องเจอเต็มๆ ครับ `เครื่องขุดเอสิก` ถึงจะประหยัดพลังงานในเชิงประสิทธิภาพ แต่ก็ยังกินไฟในปริมาณที่สูงอยู่ดี ต้นทุนค่าไฟฟ้าต่อวันหลายร้อยบาท หากค่าไฟฟ้าในประเทศสูงขึ้น หรือภาครัฐมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายค่าไฟฟ้า ก็จะส่งผลกระทบต่อ `กำไรเฉลี่ยต่อวัน` และ `ระยะเวลาคืนทุน` อย่างมีนัยสำคัญ
3. **ความยากในการขุดที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง:** อย่างที่บอกไปแล้วว่า ยิ่งมีคนเข้ามาขุดมาก ความยากก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น ทำให้คุณต้องใช้ `แรงขุด` มากขึ้นเพื่อที่จะได้บิทคอยน์เท่าเดิม หรืออาจจะได้น้อยลงถ้า `แรงขุด` ไม่เพิ่มตามตลาด
4. **การดูแลรักษาและค่าใช้จ่ายอื่นๆ:** เครื่องขุดต้องทำงานตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ ก็ย่อมมีการเสื่อมสภาพ ต้องการการบำรุงรักษา อาจจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการระบายความร้อน หรือค่าสถานที่ในการวางเครื่องขุดอีกด้วย

สรุปได้ว่า สำหรับคำถามของต้าที่ว่า แรงขุด mh/s กี่บาท กับการ์ดจอ RTX 3060 Ti แล้วได้เงินน้อยขนาดนี้ มันเป็นเรื่องปกติมากๆ ครับ เพราะยุคของการขุดบิทคอยน์ด้วยการ์ดจอได้ผ่านพ้นไปแล้ว `การ์ดจอ` เหมาะกับการนำไปเล่นเกม หรือใช้ในการทำงานด้านกราฟิกมากกว่าการนำมาขุดบิทคอยน์ในปัจจุบันครับ

**ทางออกและข้อควรพิจารณาก่อนตัดสินใจ**

สำหรับใครที่กำลังลังเลใจ หรือกำลังเจอปัญหาคล้ายๆ กับต้า ผมมีคำแนะนำแบบตรงไปตรงมาครับ

* **ถ้ามี `การ์ดจอ` อยู่แล้ว:** หากวัตถุประสงค์หลักคือการขุดบิทคอยน์เพื่อหวังกำไรเป็นกอบเป็นกำ ผมแนะนำให้พิจารณาหยุดการขุดบิทคอยน์ด้วยการ์ดจอครับ เพราะต้นทุนค่าไฟฟ้าอาจจะสูงกว่ารายได้ที่ได้รับในปัจจุบันมาก ทำให้ขาดทุนได้ ทางที่ดีคือลองนำ `การ์ดจอ` ไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น เช่น เล่นเกม ทำงานกราฟิก หรือพิจารณาขายต่อ เพื่อนำเงินไปลงทุนในรูปแบบอื่นที่เหมาะสมกว่า
* **ถ้ากำลังคิดจะลงทุนใน `เครื่องขุดเอสิก`:** การลงทุนใน `เครื่องขุดเอสิก` นั้น เป็นการลงทุนที่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ และมีความเสี่ยงสูง ควรพิจารณาอย่างรอบคอบดังนี้ครับ
* **เงินทุนตั้งต้น:** คุณมีเงินลงทุนเพียงพอที่จะซื้อ `เครื่องขุดเอสิก` ที่มีประสิทธิภาพสูง และรองรับค่าไฟฟ้าที่จะเกิดขึ้นตลอด `ระยะเวลาคืนทุน` หรือไม่?
* **ค่าไฟฟ้า:** ศึกษาและประเมินค่าไฟฟ้าที่คุณต้องจ่ายในระยะยาวให้ดี เพราะนี่คือต้นทุนดำเนินการหลักที่จะชี้วัดกำไรของคุณ
* **ความเข้าใจในตลาด:** คุณเข้าใจความผันผวนของราคาบิทคอยน์ และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงความยากในการขุดหรือไม่?
* **สภาพคล่อง:** หากคุณต้องใช้เงินในอนาคตอันใกล้ การลงทุนในเครื่องขุดที่ `ระยะเวลาคืนทุน` ยาวนาน อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก เพราะเงินจะจมอยู่กับอุปกรณ์ ไม่สามารถนำไปใช้จ่ายฉุกเฉินได้ทันที
* **เทคโนโลยีที่ก้าวหน้า:** เทคโนโลยี `เครื่องขุดเอสิก` พัฒนาเร็วมาก เครื่องที่วันนี้เป็นตัวท็อป พรุ่งนี้อาจล้าสมัยและทำกำไรได้น้อยลงเมื่อมีรุ่นใหม่ที่ดีกว่าออกมา

**⚠️ ข้อควรระวัง:** การลงทุนในการขุดบิทคอยน์ หรือในสินทรัพย์ดิจิทัลทุกประเภท มีความเสี่ยงสูงจากความผันผวนของราคาตลาด และการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยภายนอก ควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดและประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้งครับ

สุดท้ายนี้ หวังว่าเรื่องราวนี้จะช่วยให้ต้าและทุกท่านที่สงสัยเรื่อง แรงขุด mh/s กี่บาท ได้เข้าใจภาพรวมของโลกการขุดบิทคอยน์ในปัจจุบันได้ชัดเจนขึ้นนะครับ ตลาดนี้ไม่ใช่สนามเด็กเล่นอีกต่อไป แต่เป็นเวทีของนักลงทุนที่มีความพร้อมและเข้าใจความเสี่ยงอย่างถ่องแท้ครับ!

LEAVE A RESPONSE