เหมืองขุดบิทคอยน์: ขุมทรัพย์หรือหลุมดำ? เจาะลึกโอกาสและความเสี่ยงที่คุณต้องรู้
คุณผู้อ่านที่รักครับ วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่อง “ขุดบิทคอยน์” (Bitcoin Mining) หรือที่เรียกเท่ๆ ว่า “เหมืองขุดบิทคอยน์” (Bitcoin Mining Farm) กันครับ หลายคนอาจเคยได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับเหมืองดิจิทัลเหล่านี้อยู่บ่อยๆ ทั้งเรื่องรวยเร็ว ลงทุนสูง หรือแม้แต่เรื่องจับกุมการลักลอบใช้ไฟฟ้า! ฟังดูน่าตื่นเต้นเหมือนยุคตื่นทองสมัยก่อนเลยใช่ไหมครับ แต่เหมืองบิทคอยน์ยุคใหม่นี้ไม่ได้ขุดหาทองคำจากใต้ดินนะครับ แต่เป็นการ “ขุด” เหรียญดิจิทัลอย่างบิทคอยน์จาก “โลกออนไลน์” ที่ซับซ้อนกว่านั้นเยอะเลยครับ
ลองนึกภาพตามนะครับ สมมติว่าเพื่อนสนิทของคุณชื่อ “น้องพลอย” มาถามคุณว่า “เฮ้ยแก! เห็นว่ามีคนเอาคอมพิวเตอร์มาตั้งเรียงๆ กันเยอะๆ แล้วมันได้เงินบิทคอยน์ด้วยหรอ? มันคืออะไรอะ? แล้วเราจะรวยเหมือนเขาได้ไหม?” คำถามนี้ฟังดูเหมือนง่าย แต่เบื้องหลังมันซับซ้อนกว่าที่คิดครับ วันนี้ในฐานะคอลัมนิสต์สายการเงินที่อยากให้ทุกคนเข้าใจโลกการลงทุนแบบง่ายๆ ผมจะพาไปเจาะลึกเรื่อง `เหมืองขุดบิทคอยน์` ตั้งแต่ต้นจนจบเลยครับ รับรองว่าอ่านแล้วจะร้องอ๋อ!

**ไขปริศนาเหมืองขุดบิทคอยน์: สรุปง่ายๆ ว่ามันคืออะไร?**
ก่อนอื่นเลย เหมืองขุดบิทคอยน์ ไม่ได้มีคนงานถือจอบถือเสียมเดินกันขวักไขว่นะครับ แต่เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยเครื่องจักรประสิทธิภาพสูงคล้ายๆ ตู้คอมพิวเตอร์ที่วางเรียงกันเป็นร้อยเป็นพันเครื่อง เครื่องเหล่านี้ทำงานหนักตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อ “แก้โจทย์คณิตศาสตร์เข้ารหัส” ที่ซับซ้อนมากๆ ครับ ฟังดูเหมือนเรียนเลขในห้องเรียนใช่ไหมครับ แต่มันเป็นเลขที่ไม่ธรรมดา! ใครแก้ได้ก่อนก็มีสิทธิ์ “ยืนยันธุรกรรม” ต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนเครือข่ายบิทคอยน์ และสิ่งที่ได้ตอบแทนกลับมาคือ “รางวัล” เป็นบิทคอยน์ที่เพิ่งถูกสร้างขึ้นมาใหม่นั่นเอง
บิทคอยน์ถือกำเนิดขึ้นในปี 2009 โดยบุคคลหรือกลุ่มปริศนาที่ใช้นามแฝงว่า “ซาโตชิ นากาโมโตะ” จุดเด่นของบิทคอยน์คือมันไม่ใช่สกุลเงินแบบที่เราคุ้นเคยกัน ที่รัฐบาลหรือธนาคารกลางพิมพ์ออกมาเท่าไหร่ก็ได้ จนบางทีก็ทำให้เกิดเงินเฟ้อจนค่าเงินอ่อนลง แต่บิทคอยน์ถูกออกแบบมาให้มีปริมาณจำกัดอยู่ที่ 21 ล้านเหรียญเท่านั้นครับ ซึ่งนี่แหละที่ทำให้มันกลายเป็น “ทองคำดิจิทัล” ที่น่าสนใจ และการขุดบิทคอยน์ก็คือหัวใจสำคัญที่ทำให้เหรียญใหม่ๆ ถือกำเนิดขึ้นและรักษาความปลอดภัยของเครือข่ายเอาไว้ครับ จากสมัยแรกๆ ที่ใช้คอมพิวเตอร์ส่วนตัวขุดกันเล่นๆ มาจนถึงยุคที่ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะทางอย่างหน่วยประมวลผลกราฟิก หรือที่รู้จักกันในชื่อ `GPU` และวงจรรวมเฉพาะงาน หรือ `ASICs` นั่นแหละครับ นี่คือวิวัฒนาการของ `เหมืองขุดบิทคอยน์` ที่เราเห็นกันในปัจจุบัน
**เบื้องหลังการทำงาน: ไขรหัสลับสู่บิทคอยน์**
คุณอาจสงสัยว่า แล้วไอ้ “การแก้โจทย์คณิตศาสตร์” ที่ว่ามันคืออะไรกันแน่? กลไกที่อยู่เบื้องหลังการขุดบิทคอยน์เรียกว่า `กลไกพิสูจน์การทำงาน` หรือ `Proof-of-Work (PoW)` ครับ ลองจินตนาการดูนะครับว่าทุกๆ การโอนบิทคอยน์ไปมาทั่วโลกจะถูกรวมกลุ่มกันเป็นเหมือน “สมุดบันทึก” เล่มเล็กๆ ที่เราเรียกว่า `บล็อก` หน้าที่ของนักขุดคือการนำข้อมูลในบล็อกเหล่านี้มาเข้ารหัสให้กลายเป็น “รหัสลับ” สั้นๆ ที่เรียกว่า `แฮช` ครับ
และนี่คือความท้าทายครับ นักขุดจะต้องแข่งกันหารหัสแฮชที่ถูกต้อง โดยที่รหัสแฮชนั้นจะต้องมีคุณสมบัติพิเศษบางอย่าง เช่น ต้องขึ้นต้นด้วยเลขศูนย์หลายๆ ตัวติดต่อกัน ยิ่งมีเลขศูนย์เยอะยิ่งยาก การแข่งขันนี้ใช้พลังประมวลผลมหาศาล ใครที่ถอดรหัสนี้ได้สำเร็จก่อน ก็เปรียบเสมือนเป็น “ผู้ชนะ” ครับ จะได้รับสิทธิ์ในการนำบล็อกธุรกรรมที่ตัวเองตรวจสอบแล้วไป “ผนึก” ต่อท้ายบล็อกเดิมที่อยู่ในระบบ `บล็อกเชน` (Blockchain) (ซึ่งเปรียบเสมือนห่วงโซ่ของสมุดบันทึกทั้งหมด) การทำแบบนี้ไม่เพียงแต่ยืนยันความถูกต้องของธุรกรรม แต่ยังเป็นการป้องกันการปลอมแปลงข้อมูลได้อีกด้วยครับ และผู้ชนะก็จะได้รับ `รางวัล` เป็นบิทคอยน์ที่สร้างขึ้นมาใหม่ พร้อมกับค่าธรรมเนียมจากการทำธุรกรรมเหล่านั้นด้วย

ความเจ๋งอีกอย่างของบิทคอยน์คือ “ความยากในการขุด” ครับ ระบบถูกออกแบบมาให้ปรับความยากของการแก้โจทย์อยู่ตลอดเวลา เพื่อให้มั่นใจว่าโดยเฉลี่ยแล้ว จะมีบล็อกใหม่ถูกสร้างขึ้นทุกๆ ประมาณ 10 นาที ไม่ว่าจะจำนวนนักขุดจะมากแค่ไหนก็ตาม นี่เป็นกลไกที่ควบคุมปริมาณบิทคอยน์ที่จะถูกสร้างออกมาในระบบ ไม่ให้มันพุ่งพรวดพราดจนล้นตลาด
และที่พลาดไม่ได้เลยคือ “ปรากฏการณ์ Bitcoin Halving” ครับ นี่คือเหตุการณ์สำคัญที่จะเกิดขึ้นทุกๆ ประมาณ 4 ปี เปรียบเสมือนการ “ลดค่าเหนื่อย” ของนักขุดลงครึ่งหนึ่งครับ ครั้งล่าสุดที่ `Bitcoin Halving` เกิดขึ้นคือเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2024 ที่ผ่านมา ทำให้รางวัลที่นักขุดได้รับต่อบล็อกลดลงจาก 6.25 บิทคอยน์ เหลือเพียง 3.125 บิทคอยน์เท่านั้น! การลดรางวัลนี้สร้างแรงกดดันโดยตรงต่อ “กำไร” ของนักขุด ทำให้บางรายที่ต้นทุนสูงอยู่แล้วอาจต้องถอนตัว แต่ในอีกมุมหนึ่ง มันก็เป็นกลไกสำคัญที่ทำให้บิทคอยน์หายากขึ้น และเชื่อว่าจะเป็นแรงผลักดันให้ `ราคาบิทคอยน์` สูงขึ้นในระยะยาวครับ เพราะเมื่อของหายากขึ้น ความต้องการก็มักจะสูงตามไปด้วยนั่นเอง
**อยากเป็นเจ้าของเหมืองบ้าง? ปัจจัยสู่ความร่ำรวย**
จากที่ฟังมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจเริ่มตาลุกวาว “ถ้าขุดแล้วได้บิทคอยน์มาง่ายๆ แบบนี้ ฉันก็อยากมีเหมืองเป็นของตัวเองบ้าง!” อย่าเพิ่งรีบลงทุนนะครับ การลงทุนใน `เหมืองขุดบิทคอยน์` ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ครับ เหมือนการจะเปิดโรงงานผลิตอะไรสักอย่าง เราก็ต้องมีเครื่องจักร มีวัตถุดิบ และมีที่ทางถูกไหมครับ
สำหรับ `เหมืองขุดบิทคอยน์` ปัจจัยสำคัญที่จะชี้เป็นชี้ตายว่าคุณจะ “กำไร” หรือ “ขาดทุน” มีดังนี้ครับ:
1. **เครื่องขุดที่ทรงพลัง:** อย่างที่บอกไปครับว่ายุคนี้การจะใช้คอมพิวเตอร์บ้านๆ มาขุดคงไม่ไหวแล้ว คุณจำเป็นต้องมี `เครื่องขุดเฉพาะทาง (ASICs)` ที่ออกแบบมาเพื่อการขุดบิทคอยน์โดยเฉพาะ ซึ่งเครื่องพวกนี้มีราคาแพงและกินไฟมหาศาลครับ แม้จะยังใช้หน่วยประมวลผลกราฟิก หรือ `GPU` ได้ แต่ประสิทธิภาพและต้นทุนก็ไม่คุ้มค่ากับการแข่งขันในปัจจุบันแล้วครับ
2. **ค่าไฟฟ้า…ตัวแปรสำคัญที่สุด!** นี่คือ “ต้นทุนหลัก” ของการทำ `เหมืองขุดบิทคอยน์` เลยครับ เครื่องขุดเหล่านี้ต้องทำงานตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ กินไฟราวกับกำลังเปิดเครื่องปรับอากาศทั้งตึกพร้อมๆ กัน นักขุดมืออาชีพมักจะเสาะหาพื้นที่ที่มี “澳幣:ค่าไฟฟ้า” ถูกแสนถูก ยิ่งถูกเท่าไหร่ยิ่งดี โดยมีคำแนะนำว่าควรจะต่ำกว่า 0.06 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ถึงจะพอมีลุ้นทำกำไรได้แม้ในสภาวะตลาดที่ `ราคาบิทคอยน์` ไม่ได้สูงปรี๊ด หรือที่เรียกว่า `ตลาดหมี` ครับ ลองนึกภาพดูสิครับว่าถ้าค่าไฟแพงกว่า `รางวัล` ที่ขุดได้ คุณคงต้องควักเนื้อจ่ายค่าไฟอยู่ร่ำไป
3. **อินเทอร์เน็ตที่เสถียร:** เหมืองขุดต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อรับข้อมูลธุรกรรมและส่งผลการประมวลผล การที่อินเทอร์เน็ตหลุดบ่อยๆ ก็เหมือนการหยุดงานกะทันหัน ทำให้เสียโอกาสในการขุดไปครับ

นอกจากปัจจัยข้างต้นแล้ว การขุดบิทคอยน์ยังแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบหลักๆ ครับ คือ:
* **การขุดแบบเดี่ยว (Solo Mining):** คุณใช้กำลังประมวลผลของคุณเองเพื่อแก้โจทย์ ใครแก้ได้คนแรกก็รับ `รางวัล` ไปคนเดียวเต็มๆ ฟังดูน่าตื่นเต้นใช่ไหมครับ แต่โอกาสที่จะแก้ได้เองคนเดียวในยุคนี้ที่การแข่งขันสูงลิบลิ่ว ก็เปรียบเสมือนถูกหวยรางวัลที่ 1 เลยทีเดียวครับ
* **การขุดแบบรวมกลุ่ม (Mining Pool):** นี่คือวิธีที่นักขุดส่วนใหญ่นิยมทำกันครับ คือการที่นักขุดทั่วโลกรวมพลังกำลังขุดของตัวเองเข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มโอกาสในการแก้โจทย์ให้สำเร็จ เมื่อมีใครในกลุ่มแก้โจทย์ได้ `รางวัล` ที่ได้ก็จะถูกนำมาแบ่งสรรปันส่วนกันตามสัดส่วนกำลังขุดที่แต่ละคนมี การทำแบบนี้จะทำให้คุณได้รับผลตอบแทนที่สม่ำเสมอและคาดการณ์ได้มากกว่า แม้จะได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ก็ดีกว่าไม่ได้เลยครับ
ส่วนเรื่องผลตอบแทนทางการเงิน อย่างที่บอกไปแล้วครับว่านักขุดจะได้ `รางวัล` เป็นบิทคอยน์ใหม่และ `ค่าธรรมเนียม` จากธุรกรรม ยิ่ง `ราคาบิทคอยน์` สูงเท่าไหร่ นักขุดก็ยิ่งมี `กำไร` มากขึ้นเท่านั้นครับ หลายคนมองว่าการลงทุนใน `เหมืองขุดบิทคอยน์` เป็นการลงทุนระยะยาวที่น่าสนใจ และยังช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับ `พอร์ตการลงทุน` ของเราได้อีกด้วย
ไม่ใช่แค่บริษัทต่างชาติเท่านั้นนะครับ บริษัทจดทะเบียนใน `ตลาดหลักทรัพย์` ของไทยหลายแห่งก็สนใจกระโดดเข้าสู่ธุรกิจ `เหมืองขุดบิทคอยน์` เช่นกันครับ ตัวอย่างเช่น:
* **บริษัท ซิก้า อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) (ZIGA)** ได้ตั้งบริษัทลูกชื่อ `บริษัท ซิก้า เอฟซี จำกัด` และเริ่มรับมอบ `เครื่องขุดบิทคอยน์` จำนวน 400 เครื่อง โดยเริ่มรับรู้ `รายได้` ตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2565 (2022) ครับ
* **บริษัท โคแมนซี่ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (COMAN)** ก็จัดตั้งบริษัทย่อย `บริษัท โคแมน คริปโต จำกัด` เพื่อลงทุนในธุรกิจนี้ด้วย `澳幣:ทุนจดทะเบียน` 60 ล้านบาท
* **บริษัท ยูไนเต็ด เพาเวอร์ ออฟ เอเชีย จำกัด (มหาชน) (UPA)** สั่งซื้อ `เครื่องขุดคริปโทเคอร์เรนซี` มูลค่ากว่า 440 ล้านบาท และไปติดตั้ง `เหมืองขุดบิทคอยน์` ที่ สปป.ลาว โดยตั้งเป้าจะติดตั้งให้ครบ 4,000 เครื่องภายในเดือนเมษายน 2565 (2022)
* **บริษัท เอสซีไอ อีเลคตริค จำกัด (มหาชน) (SCI)** และ **บริษัท จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) (JTS)** ก็เป็นอีกสองบริษัทที่ประกาศลงทุนในธุรกิจนี้ โดย JTS มีแผนลงทุนเพิ่มรวม 8,100 เครื่องเลยทีเดียวครับ นี่แสดงให้เห็นว่าธุรกิจ `เหมืองขุดบิทคอยน์` ในไทยนั้นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ครับ
**เหมืองบิทคอยน์ในไทย: เส้นบางๆ ระหว่างถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย**
ในประเทศไทย `เหมืองขุดบิทคอยน์` นั้นมีทั้งด้านที่เป็น `การลงทุน` ที่ถูกต้องและเรื่องราวของ `การกระทำผิดกฎหมาย` ครับ
ประเด็น `ภาษี` เป็นเรื่องที่หลายคนสงสัย `รายได้` ที่เกิดจากการขุดบิทคอยน์ในปัจจุบันยัง “ไม่ถือเป็นเงินได้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้” ในประเทศไทยครับ แต่ก็ต้องจับตาดู `กรมสรรพากร` อย่างใกล้ชิด เพราะกฎเกณฑ์เหล่านี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคตครับ
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่น่าเป็นห่วงและถูกพูดถึงอย่างมากคือ `ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม` ครับ เพราะการขุดบิทคอยน์ใช้ `พลังงานไฟฟ้า` มหาศาลจริงๆ ทำให้เกิดความกังวลเรื่องการปล่อย `ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์` และภาระ `ค่าไฟฟ้า` ของประเทศครับ
และนี่คือประเด็นร้อนที่มักเป็นข่าวใหญ่ครับ คือ `การลักลอบใช้ไฟฟ้า` ในการตั้ง `เหมืองขุดบิทคอยน์` ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและสร้างความเสียหายให้กับประเทศอย่างมากครับ
* ยกตัวอย่างเช่น `ตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.)` เคยบุกทลายแหล่งขุดบิทคอยน์ที่ลักลอบใช้ไฟหลวงนานกว่า 2 เดือน สร้างความเสียหายกว่า 5 ล้านบาท และยึด `เครื่องขุดบิทคอยน์` ได้ถึง 652 เครื่อง มูลค่ากว่า 200 ล้านบาทเลยทีเดียวครับ
* หรือกรณีดังที่ `กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI)` ร่วมกับ `การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)` ดำเนิน “ปฏิบัติการรื้อเหมืองขุดบิทคอยน์ลับ” หรือ `Bitforge Operation` เข้าตรวจค้นโกดัง 3 แห่งใน `จังหวัดสมุทรสาคร` ที่ใช้เป็นสถานที่ลักลอบใช้ไฟฟ้าเพื่อตั้ง `เหมืองขุดเงินดิจิทัล` ผิดกฎหมาย คาดการณ์ว่าดำเนินการมาแล้วประมาณ 3 ปี สร้างความเสียหายให้รัฐกว่า 500 ล้านบาท และยึด `เครื่องขุดสกุลเงินดิจิทัล` ได้รวมทั้งสิ้น 1,788 เครื่องเลยทีเดียวครับ การกระทำแบบนี้ไม่เพียงทำให้รัฐสูญเสีย `รายได้` มหาศาล แต่ยังกระทบต่อ `เสถียรภาพ` ทาง `เศรษฐกิจ` และ `พลังงาน` ของประเทศโดยรวมอีกด้วยครับ
**สรุป: จะขุดทองดิจิทัล หรือขุดหลุมพราง?**
เป็นอย่างไรบ้างครับสำหรับเรื่องราวของ `เหมืองขุดบิทคอยน์` ที่ผมนำมาเล่าให้ฟังกันในวันนี้ จะเห็นว่ามันเป็นธุรกิจที่มีทั้งโอกาสอันหอมหวานและ `ความเสี่ยง` ที่แฝงอยู่ไม่น้อยเลยครับ สำหรับใครที่สนใจอยากจะกระโดดเข้าสู่โลกของ `เหมืองขุดบิทคอยน์` หรือ `สินทรัพย์ดิจิทัล` นี้ ผมมีข้อคิดและคำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ ทิ้งท้ายไว้ให้ครับ:
1. **ศึกษาให้ลึกซึ้ง:** อย่าเพิ่งเชื่อตามกระแสครับ `เทคโนโลยี` ของบิทคอยน์และ `บล็อกเชน` เป็นเรื่องที่ซับซ้อน การเข้าใจหลักการทำงาน กลไก `Proof-of-Work` และ `Bitcoin Halving` จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้นครับ
2. **รู้ต้นทุน รู้ความเสี่ยง:** `澳幣:ค่าไฟฟ้า` เป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจนี้ และ `ราคาบิทคอยน์` ก็มีความผันผวนสูงมาก ควรประเมินต้นทุนและผลตอบแทนอย่างรอบคอบ ไม่ใช่แค่ดู `รางวัล` ที่จะได้ แต่ต้องดูค่าใช้จ่ายทั้งหมดด้วย
3. **ถูกกฎหมายไว้ก่อน:** การลักลอบใช้ไฟฟ้าไม่ใช่แค่เรื่องผิดกฎหมาย แต่ยังเสี่ยงต่อการถูกจับกุมและยึดทรัพย์ รวมถึงสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศอย่างมหาศาลครับ หากคิดจะลงทุน ควรทำอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และติดตามกฎระเบียบต่างๆ จาก `กรมสรรพากร` หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่เสมอ
4. **ลงทุนเท่าที่เสียได้:** เหมือนกับการลงทุนอื่นๆ ครับ `สินทรัพย์ดิจิทัล` มีความผันผวนสูง ไม่เหมาะกับเงินเก็บทั้งชีวิต หรือเงินที่คุณจำเป็นต้องใช้ในเร็วๆ นี้ครับ
`เหมืองขุดบิทคอยน์` เปรียบเสมือนเกมหมากรุกที่มีความซับซ้อน ทั้งต้องใช้ความรู้ทาง `เทคโนโลยี` ความเข้าใจใน `เศรษฐกิจ` และความอดทน `นักลงทุน` ที่ฉลาดคือผู้ที่เข้าใจกฎของเกม เล่นอย่างรอบคอบ และรู้จักบริหาร `ความเสี่ยง` ครับ
⚠️ **คำเตือน:** การลงทุนใน `เหมืองขุดบิทคอยน์` หรือ `สินทรัพย์ดิจิทัล` มี `ความเสี่ยง` สูงมาก เนื่องจาก `ราคาบิทคอยน์` มี `ความผันผวน` ที่รุนแรง และ `澳幣:ต้นทุนการดำเนินงาน` โดยเฉพาะ `澳幣:ค่าไฟฟ้า` ก็สูงเช่นกัน หาก `澳幣:เงินลงทุน` ของคุณมี `澳幣:สภาพคล่อง` ไม่สูง หรือคุณยังไม่เข้าใจธุรกิจนี้อย่างถ่องแท้ ควรประเมิน `ความเสี่ยง` และศึกษา `ข้อมูล` อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ ไม่เช่นนั้น `เหมืองขุดบิทคอยน์` ที่คุณฝัน อาจกลายเป็นหลุมพรางที่ดูดเงินคุณไปหมดก็เป็นได้ครับ ขอให้ทุกท่านลงทุนอย่างชาญฉลาดและรอบคอบนะครับ