เคยได้ยินคำว่า “ขุดบิทคอยน์” ไหมครับ? ฟังดูเหมือนการไปขุดหาแร่มีค่าในเหมืองใต้ดินเลยใช่ไหมครับ แต่มันไม่ใช่แบบนั้นเลยสักนิดเดียว โลกของบิทคอยน์ (Bitcoin) มันเป็นโลกดิจิทัลล้วนๆ ครับ การ ขุดบิทคอยน์ ก็เลยเป็นกระบวนการที่ใช้พลังงานคอมพิวเตอร์มหาศาลมา “ขุด” เหรียญดิจิทัลตัวใหม่ และทำหน้าที่เป็นเหมือนยามรักษาความปลอดภัย ตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมบนเครือข่ายที่ไม่ขึ้นกับใคร หรือที่เราเรียกกันว่า บล็อกเชน (Blockchain)

ลองนึกภาพตามนะครับ เวลาใครคนหนึ่งจะส่งบิทคอยน์ไปให้อีกคน ธุรกรรมนั้นไม่ได้ไปผ่านธนาคารกลางหรือหน่วยงานใดๆ เลย แต่มันจะถูกส่งไปอยู่ในกลุ่มของธุรกรรมที่เรียกว่า “บล็อก” แทน แล้วบรรดา “นักขุด” นี่แหละครับ ที่เป็นเหมือนนักบัญชีดิจิทัล พวกเขาใช้คอมพิวเตอร์ที่มีพลังประมวลผลสูงลิ่ว แข่งกันแก้ปัญหาสมการคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนโคตรๆ เพื่อให้ได้สิทธิ์เป็นคนแรกในการ “ปิดบล็อก” หรือยืนยัน (Confirm) ธุรกรรมในบล็อกนั้น เมื่อมีคนทำสำเร็จ บล็อกนั้นก็จะถูกนำไปต่อเข้ากับบล็อกก่อนหน้า เป็นเหมือนโซ่ยาวๆ ที่บันทึกทุกธุรกรรมตั้งแต่บิทคอยน์ถือกำเนิดมา นี่แหละครับคือ บล็อกเชน ที่มีลักษณะโปร่งใส แก้ไขได้ยากมากๆ เพราะถ้าใครคิดจะไปแก้ไขข้อมูลในบล็อกเก่าสักบล็อก ตัวรหัสเฉพาะ (Hash) ของบล็อกนั้นจะเปลี่ยนไปทันที และจะส่งผลกระทบให้รหัสของบล็อกที่ตามมาเปลี่ยนทั้งหมด ทำให้จับได้ทันทีว่ามีการพยายามดัดแปลง
การแข่งขันแก้สมการนี่แหละครับคือกลไกสำคัญที่เรียกว่า Proof-of-Work (กลไกการพิสูจน์โดยใช้พลังงาน) มันถูกออกแบบมาให้ใช้พลังงานสูงมากๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ใครคนใดคนหนึ่งเข้ามาควบคุมเครือข่ายได้ง่ายๆ ความยากของสมการนี้จะถูกปรับไปเรื่อยๆ ให้การสร้างบล็อกใหม่ใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 10 นาที การทำงานหนักนี้มีรางวัลตอบแทนครับ นักขุดที่แก้สมการสำเร็จและต่อบล็อกใหม่ได้ก่อน จะได้รับ “รางวัลต่อบล็อก” (Block Reward) เป็นบิทคอยน์ที่เพิ่งถูกสร้างขึ้นมาใหม่ พร้อมกับได้รับค่าธรรมเนียม (ค่าธรรมเนียมธุรกรรม) จากธุรกรรมที่อยู่ในบล็อกนั้นด้วย
จุดเด่นและจุดที่น่าสนใจมากๆ อย่างหนึ่งของระบบบิทคอยน์ก็คือการมีปริมาณจำกัดเหมือนทองคำจริงๆ คือมีเพียง 21 ล้านเหรียญเท่านั้น ไม่เหมือนกับสกุลเงินทั่วไป (สกุลเงิน Fiat) ที่รัฐบาลสามารถพิมพ์เพิ่มได้เรื่อยๆ และเพื่อให้บิทคอยน์หายากขึ้นเรื่อยๆ รางวัลต่อบล็อกที่นักขุดได้จะลดลงครึ่งหนึ่งในทุกๆ ประมาณ 4 ปี หรือทุกๆ 210,000 บล็อก เหตุการณ์นี้เรียกว่า Bitcoin Halving (Halving – รางวัลลดครึ่งหนึ่ง) ครั้งล่าสุดเพิ่งจะเกิดขึ้นไปเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2024 ที่ผ่านมานี้เอง ทำให้รางวัลต่อบล็อกลดลงจาก 6.25 BTC เหลือเพียง 3.125 BTC ต่อบล็อก การที่เหรียญใหม่เข้าสู่ระบบช้าลงนี้เองที่เป็นแรงกดดันให้ราคาบิทคอยน์มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในระยะยาว ตามหลักอุปสงค์อุปทานครับ

แต่เหรียญทองดิจิทัลนี้ไม่ได้ ขุดบิทคอยน์ ง่ายๆ เหมือนแต่ก่อนแล้วนะครับ ในยุคแรกๆ สมัยที่ซาโตชิ นาคาโมโตะ (Satoshi Nakamoto) สร้างบิทคอยน์ขึ้นมา แค่ใช้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทั่วไป (CPU หรือ GPU การ์ดจอ) ก็อาจจะ ขุดบิทคอยน์ ได้แล้ว แต่พอเวลาผ่านไป เครือข่ายใหญ่ขึ้น คนเข้ามา ขุดบิทคอยน์ เยอะขึ้น การแข่งขันก็สูงขึ้น ปัญหาสมการยากขึ้น นักขุดก็ต้องอัปเกรดอุปกรณ์ตาม ปัจจุบันนี้ การ ขุดบิทคอยน์ กลายเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องใช้เครื่องขุดเฉพาะทางที่เรียกว่า ASIC (Application-Specific Integrated Circuit) ซึ่งเป็นเครื่องที่ออกแบบมาเพื่อแก้สมการของบิทคอยน์โดยเฉพาะ มีพลังประมวลผล หรือ Hashrate (พลังคำนวณ) สูงกว่าการ์ดจอหลายเท่าตัว แต่ราคาก็แพงหูฉี่ แถมยังกินไฟมหาศาลตลอด 24 ชั่วโมง ต้นทุนหลักของการ ขุดบิทคอยน์ ในวันนี้ไม่ใช่แค่ค่าเครื่อง แต่คือ “ค่าไฟฟ้า” ที่ต้องจ่ายทุกเดือนเลยครับ บางทีถ้าค่าไฟแพงเกินไป เช่น เกิน 0.06 ดอลลาร์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง อาจจะทำให้การ ขุดบิทคอยน์ ไม่คุ้มทุนได้เลย โดยเฉพาะช่วงที่ราคาบิทคอยน์ตกต่ำ (ตลาดหมี)
ความผันผวนของราคาบิทคอยน์เองก็เป็นอีกปัจจัยเสี่ยงสำหรับนัก ขุดบิทคอยน์ เพราะรายได้จากการ ขุดบิทคอยน์ คือเหรียญบิทคอยน์ ดังนั้นมูลค่าของรายได้จึงขึ้นอยู่กับราคาตลาด ณ ขณะนั้น ถ้าตลาดดี ราคาสูง นักขุดก็ยิ้มออก แต่ถ้าตลาดแย่ ราคาดิ่ง การลงทุนก้อนโตทั้งค่าเครื่องค่าไฟก็อาจจะกลายเป็นขาดทุนได้ การ ขุดบิทคอยน์ ในยุคนี้จึงเป็นการลงทุนที่ต้องใช้เงินทุนสูง มีความเสี่ยง และต้องบริหารจัดการต้นทุนโดยเฉพาะค่าไฟฟ้าให้ดีมากๆ ครับ

นอกจากเรื่องเศรษฐศาสตร์แล้ว อีกประเด็นที่ถูกพูดถึงบ่อยๆ คือผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม) เพราะการใช้พลังงานไฟฟ้ามหาศาลเพื่อมา ขุดบิทคอยน์ นั้นสูงกว่าระบบชำระเงินแบบดั้งเดิมอย่างมาก มีข้อมูลเปรียบเทียบ (อ้างอิงข้อมูลจาก XRP Ledger) ว่าบิทคอยน์ใช้ไฟฟ้าถึง 951.58 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อชั่วโมง ในขณะที่เงินสดใช้เพียง 0.044 กิโลวัตต์ชั่วโมง และมาสเตอร์การ์ดใช้เพียง 0.0006 กิโลวัตต์ชั่วโมง นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เกิดข้อถกเถียงและข้อกังวลต่างๆ ตามมาครับ
แล้วสถานะทางภาษีในประเทศไทยล่ะ? สำหรับรายได้ที่เกิดจากการ ขุดบิทคอยน์ โดยตรงนั้น ตามข้อมูล ณ ต้นปี 2565 ที่ผ่านมา รายได้ส่วนนี้ *ยังไม่ถือเป็นเงินได้* ที่ต้องนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามกฎหมายไทยนะครับ ซึ่งแตกต่างจากกำไรจากการขายบิทคอยน์ที่ต้องเสียภาษี อย่างไรก็ตาม เรื่องภาษีเป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของ กรมสรรพากร ในอนาคตก็เป็นไปได้ว่าอาจมีข้อกำหนดใหม่ๆ ออกมาครับ
สำหรับคนที่ฟังมาถึงตรงนี้แล้วยังรู้สึกว่าการ ขุดบิทคอยน์ น่าสนใจ อยากจะลองโดดเข้ามาในโลกนี้บ้าง ถ้าไม่อยากลงทุนซื้อเครื่อง ASIC แพงๆ มาตั้งเองที่บ้าน (ซึ่งต้องรับมือทั้งความร้อน เสียงดัง และค่าไฟมหาศาล) ก็ยังมีทางเลือกอื่นๆ เช่น การเข้าร่วมกลุ่มนักขุด (Pool Mining) คือการรวมพลังประมวลผลของนักขุดรายย่อยหลายๆ คนเข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มโอกาสในการแก้ปัญหาและได้รับรางวัล เมื่อได้รางวัลมาก็จะแบ่งกันตามสัดส่วนพลังขุดที่ส่งเข้ามา หรืออีกวิธีคือ การเช่ากำลังขุด (Cloud Mining) อันนี้ง่ายที่สุดครับ คือจ่ายเงินเช่ากำลังประมวลผลจากผู้ให้บริการรายใหญ่ๆ เราไม่ต้องยุ่งกับเรื่องอุปกรณ์หรือค่าไฟเลย แต่ก็ต้องระวังผู้ให้บริการที่ไม่น่าเชื่อถือ และศึกษาเรื่องค่าธรรมเนียมกับสัญญาให้ดีครับ
สรุปแล้ว โลกของ การขุดบิทคอยน์ ในวันนี้ได้ก้าวข้ามจากการเป็นแค่งานอดิเรกเล็กๆ ด้วยคอมพิวเตอร์ส่วนตัว มาสู่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ต้องอาศัยเงินลงทุนมหาศาล เทคโนโลยีเฉพาะทาง และการบริหารจัดการต้นทุน โดยเฉพาะค่าไฟฟ้าที่เข้มงวดมากๆ ครับ มันคือฟันเฟืองสำคัญที่ขับเคลื่อนและรักษาความปลอดภัยของเครือข่ายบิทคอยน์ แต่มันก็มาพร้อมกับต้นทุนที่สูงขึ้นเรื่อยๆ และความท้าทายทางเศรษฐศาสตร์และสิ่งแวดล้อม
⚠️ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังคิดจะเริ่มต้น ขุดบิทคอยน์ หรือลงทุนในอุปกรณ์ขุด โปรดจำไว้ว่านี่เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงมาก ทั้งจากราคาบิทคอยน์ที่ผันผวน ต้นทุนค่าไฟฟ้าที่อาจสูงขึ้น และความยากในการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นตลอดเวลา ควรทำการบ้านอย่างละเอียด ประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทนที่คาดหวังให้รอบคอบ และที่สำคัญที่สุดคือ ตรวจสอบเรื่องค่าไฟฟ้าในพื้นที่ของคุณให้ดีก่อนตัดสินใจนะครับ เพราะเงินทุนอาจจมไปกับอุปกรณ์ หรือค่าไฟที่พุ่งกระฉูดจนไม่คุ้มกับเหรียญที่ ขุดบิทคอยน์ ได้มาเลยก็เป็นได้ครับ