คริปโตพลัส

ศูนย์รวมความรู้คริปโต เคล็ดลับลงทุน และอัปเดตราคาเหรียญแบบเรียลไทม์

การขุดเหรียญและเครื่องมือหาเงิน

กระเป๋าดิจิตอล: เปิดโลกการเงินใหม่ ไม่ใช่แค่เงินหมื่น!

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน พบกันอีกครั้งกับคอลัมน์การเงินที่อยากจะชวนคุยเรื่องใกล้ตัว แต่แอบซับซ้อนอย่าง “กระเป๋าดิจิทัล” ครับ

ช่วงนี้คงไม่มีใครไม่เคยได้ยินคำว่า “กระเป๋าดิจิทัล” ไม่ว่าจะจากข่าวรัฐบาล หรือเรื่องคริปโตฯ ที่ใครๆ ก็พูดถึงกันใช่ไหมครับ? บางคนถึงกับงงว่าสรุปแล้วมันคืออะไรกันแน่? มันคือเงินที่เราจะได้รับจากรัฐบาล หรือมันคือเทคโนโลยีล้ำๆ ที่พวกสายคริปโตฯ เขาใช้กัน? หรือมันคือแอปฯ ธนาคารที่เราใช้โอนเงินกันอยู่ทุกวันนี้?

วันนี้ผมจะขออาสาพาไปไขข้อข้องใจทั้งหมดแบบเข้าใจง่ายๆ สไตล์เพื่อนคุยเพื่อน ให้เห็นภาพรวมของโลก “กระเป๋าดิจิทัล” ที่กำลังหมุนรอบตัวเราอย่างรวดเร็วนี้ครับ จะได้ไม่หลงทาง และไม่พลาดโอกาสดีๆ ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีเหล่านี้ครับ

**เงินหมื่นกับ “กระเป๋าดิจิทัล” ของรัฐบาล: กระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้าให้คึกคัก**

เรื่องแรกที่ต้องพูดถึง คงหนีไม่พ้น “โครงการเติมเงิน หนึ่งหมื่นบาท ผ่าน กระเป๋าดิจิทัล” ของรัฐบาลที่กำลังเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์อยู่ในขณะนี้ครับ คุณผู้อ่านคงสงสัยว่า ทำไมต้องเป็น กระเป๋าดิจิทัล ไม่แจกเป็นเงินสด หรือโอนเข้าบัญชีธนาคารไปเลยล่ะ?

จริงๆ แล้วโครงการนี้มีเป้าหมายที่ใหญ่กว่าแค่การแจกเงินครับ รัฐบาลเขาตั้งใจจะ “กระตุ้นเศรษฐกิจ” ให้คึกคักตั้งแต่ระดับรากหญ้าเลยทีเดียว เหมือนเวลาที่เราเหวี่ยงหินลงไปในน้ำ แล้วเกิดคลื่นแผ่ขยายออกไป โครงการนี้ก็หวังให้เงินหนึ่งหมื่นบาทที่กระจายไปทั่ว 878 อำเภอทั่วประเทศนี้ ไปหมุนเวียนอยู่ในชุมชน สร้างงาน สร้างอาชีพ และบรรเทาภาระค่าครองชีพให้พี่น้องประชาชน รวมถึงวางรากฐาน “รัฐบาลดิจิทัล” ในอนาคตด้วยครับ

การรับสิทธิก็ไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อนอย่างที่คิดนะครับ สำหรับผู้ที่มีสมาร์ตโฟน แค่สมัครใช้งานแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ซึ่งเป็นซูเปอร์แอปสำหรับคนไทยที่พัฒนาโดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ก็รอลงทะเบียนรับสิทธิได้เลย ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม ถึง 15 กันยายน 2567 นี้ครับ ใครมีข้อสงสัยโทรสอบถามได้ที่ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน เบอร์ 1111 กด 1 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเข้าไปดูรายละเอียดที่เว็บไซต์ทางการ www.กระเป๋าเงินดิจิทัล.รัฐบาล.ไทย และ www.digitalwallet.go.th ได้เลยครับ

แล้วใครบ้างล่ะที่จะได้รับเงินก้อนนี้? ต้องบอกว่าโครงการนี้ไม่ได้แจกทุกคนนะครับ รัฐบาลมี “คุณสมบัติ” ชัดเจนเลยว่าต้องเป็นคนไทย อายุ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และที่สำคัญคือต้องมีรายได้ไม่เกิน 840,000 บาทต่อปีภาษี 2566 และมีเงินฝากรวมกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจไม่เกิน 500,000 บาท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 ครับ นอกจากนี้ก็มีข้อจำกัดเรื่องการใช้จ่ายด้วยนะครับ คือเงินจำนวน 10,000 บาทนี้จะถูกจำกัดการใช้ในรัศมี 4 กิโลเมตรจากที่อยู่ในบัตรประชาชนของคุณ (แต่ถ้าในรัศมีไม่มีร้านค้า ก็ขยายได้นะ ไม่ต้องกังวล) และต้องใช้ให้หมดภายใน 6 เดือนครับ ที่สำคัญคือเงินนี้จะถูก “เข้ารหัสผ่าน บล็อกเชน” เพื่อไม่ให้นำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ เช่น ซื้อสิ่งผิดกฎหมายครับ นี่คือภาพรวมของ กระเป๋าดิจิทัล ที่รัฐบาลใช้เป็นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจครับ

**กระเป๋าเงินดิจิทัล คืออะไรกันแน่? ไม่ใช่แค่เงินหมื่น แต่คือโลกใหม่แห่งการเงิน!**

เมื่อพูดถึง “กระเป๋าดิจิทัล” หรือ “กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์” (อี-วอลเล็ต) แล้ว คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงแอปฯ บนมือถืออย่าง TrueMoney Wallet หรือ Rabbit LINE Pay ใช่ไหมครับ? ซึ่งก็ถูกส่วนหนึ่งครับ เพราะมันคือแอปพลิเคชันที่ช่วยให้เราทำธุรกรรม ซื้อของออนไลน์ จ่ายเงินที่ร้านค้าได้ง่ายๆ ไม่ต้องพกเงินสดให้ยุ่งยาก

แต่ในโลกของ “สกุลเงินดิจิทัล” หรือ “คริปโตเคอร์เรนซี” คำว่า “กระเป๋าเงินดิจิทัล” (Digital Wallet) มีความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้นอีกนิดครับ มันไม่ใช่แค่ที่เก็บเงิน แต่เป็น “ตัวกลางอิเล็กทรอนิกส์” ที่ใช้ “เก็บรหัสส่วนตัว” (private key) ของเรา เพื่อให้เราสามารถเข้าถึงและทำธุรกรรมกับ “สินทรัพย์ดิจิทัล” อย่าง บิตคอยน์ หรือ อีเธอร์เรียม ที่อยู่บน “บล็อกเชน” ได้ครับ

ลองนึกภาพง่ายๆ ครับ กระเป๋าเงินดิจิทัลไม่ได้เก็บเงินคริปโตฯ ของเราไว้จริงๆ เหมือนกระเป๋าตังค์ที่ใส่ธนบัตรนะ แต่เงินคริปโตฯ มันอยู่บนโลกของ “บล็อกเชน” ที่เหมือนกับบัญชีแยกประเภทขนาดใหญ่ที่กระจายอยู่ทั่วโลก เจ้ากระเป๋าเงินดิจิทัลของเรานี่แหละครับ คือ “กุญแจ” ที่จะไขเข้าไปถึงเงินเหล่านั้นได้ ซึ่งกุญแจสำคัญที่สุดก็คือ “คีย์ส่วนตัว” ของเรานั่นเองครับ ถ้าคีย์ส่วนตัวหาย หรือหลุดไปอยู่ในมือคนอื่น ก็เหมือนกับคุณทำกุญแจบ้านหาย แถมโจรยังได้ไป ก็จบเห่เลยครับ เงินของคุณก็จะหายไปในพริบตา! ส่วน “คีย์สาธารณะ” หรือ “แอดเดรส” ก็เหมือนเลขที่บัญชีของเราครับ เอาไว้บอกคนอื่นเวลาเราจะรับเงิน

**ทำความรู้จัก “กระเป๋าร้อน” กับ “กระเป๋าเย็น”: เลือกใช้ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์**

กระเป๋าเงินดิจิทัลหลักๆ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ครับ คือ “กระเป๋าร้อน” (Hot Wallets) กับ “กระเป๋าเย็น” (Cold Wallets) ไม่ได้แปลว่าอันไหนร้อนอันไหนเย็นนะครับ แต่มันหมายถึงการ “เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต” ครับ

* **กระเป๋าร้อน (Hot Wallets):** พวกนี้คือ กระเป๋าที่ต้อง “เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต” ตลอดเวลาครับ สะดวกสบายในการใช้งาน ทำธุรกรรมได้รวดเร็วทันใจ เหมือนมีเงินในกระเป๋าเสื้อ หยิบใช้ได้ง่ายๆ แบ่งเป็นหลายแบบย่อยๆ ครับ
* **โมบายวอลเล็ต (Mobile Wallet):** คือแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟนที่เราคุ้นเคยกันดีครับ เช่น Coinbase Wallet หรือ Exodus พวกนี้ใช้งานง่าย พกพาสะดวก ทำธุรกรรมประจำวันได้ แต่ก็มีความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัยสูงกว่าแบบอื่นหน่อยครับ ถ้ามือถือหาย หรือโดนแฮ็ก ก็อาจสูญเงินได้
* **เดสก์ท็อปวอลเล็ต (Desktop Wallet):** เป็นโปรแกรมที่เราดาวน์โหลดมาติดตั้งบนคอมพิวเตอร์ครับ คีย์ส่วนตัวจะถูกเก็บไว้ในฮาร์ดไดรฟ์ของเครื่องเราเอง ปลอดภัยกว่ากระเป๋าออนไลน์ครับ เหมาะสำหรับเก็บเหรียญจำนวนไม่มาก และไม่ได้พกพาไปไหนมาไหน
* **เว็บ-เบส วอลเล็ต (Web-based Wallet):** คือกระเป๋าที่เข้าถึงผ่านเว็บไซต์ครับ สะดวกที่สุด เข้าได้จากทุกที่ที่มีอินเทอร์เน็ต แต่ความปลอดภัยจะขึ้นอยู่กับมาตรการของ “ผู้ให้บริการ” นั้นๆ ครับ ซึ่งก็อ่อนแอต่อการโจมตีแบบ “ฟิชชิ่ง” (Phishing) หรืออาชญากรรมไซเบอร์อื่นๆ ได้ง่ายครับ

* **กระเป๋าเย็น (Cold Wallets):** พวกนี้คือ กระเป๋าที่ไม่ต้อง “เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต” ครับ ถูกออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยสูงสุดในการเก็บสินทรัพย์ดิจิทัลจำนวนมากๆ เหมือนเงินในตู้เซฟธนาคารครับ
* **ฮาร์ดแวร์วอลเล็ต (Hardware Wallet):** เป็นอุปกรณ์เล็กๆ คล้ายแฟลชไดรฟ์ครับ หน้าตาไฮเทคหน่อยๆ เอาไว้เก็บ “คีย์ส่วนตัว” แบบออฟไลน์ครับ เป็นกระเป๋าที่ปลอดภัยที่สุดในปัจจุบันเลยก็ว่าได้ครับ เพราะไม่เสี่ยงถูกแฮ็กจากออนไลน์เลย แต่ก็มีราคาค่อนข้างสูงนะครับ ตัวอย่างเช่น Trezor หรือ Ledger
* **เพเพอร์วอลเล็ต (Paper Wallet):** ง่ายที่สุดแล้วครับ แค่ “เขียน” หรือ “พิมพ์” คีย์ส่วนตัวและคีย์สาธารณะลงบนกระดาษ แล้วเก็บไว้ในที่ปลอดภัยแบบออฟไลน์ครับ ปลอดภัยจากการโจมตีออนไลน์แน่นอน แต่ก็เสี่ยงหาย หรือโดนทำลายได้ง่ายครับ ถ้ากระดาษหายไป หรือโดนน้ำเปียกจนอ่านไม่ออก เงินของคุณก็จะหายไปด้วยทันทีครับ!

**ความปลอดภัยคือหัวใจของ “กระเป๋าดิจิทัล”: อย่าให้ใครรู้ “รหัสสิบสองคำ” ของคุณ!**

ไม่ว่าคุณจะเลือกใช้ “กระเป๋าดิจิทัล” ประเภทไหน สิ่งที่สำคัญที่สุดในโลกของสินทรัพย์ดิจิทัลคือ “การรักษาความปลอดภัย” ครับ เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่า “คีย์ส่วนตัว” คือกุญแจสำคัญของคุณ

ตอนที่คุณเปิดใช้งานกระเป๋าใหม่ครั้งแรก คุณจะได้รับ “รหัสการเข้ากระเป๋า สิบสองคำ” หรือที่เรียกว่า “วลีการกู้คืน” (Seed Wallet) ซึ่งเป็นเหมือนรหัสลับสุดยอดที่จะใช้ “กู้คืน” เงินของคุณได้ ถ้าอุปกรณ์ที่คุณใช้เก็บกระเป๋าเสียหายหรือสูญหายไปครับ คิดดูสิครับว่ามันสำคัญขนาดไหน? ถ้าใครรู้รหัส 12 คำนี้ เขาก็สามารถเข้าถึงเงินใน กระเป๋าดิจิทัล ของคุณได้ทันทีครับ!

**ดังนั้น สิ่งที่คุณควรทำคือ:**
1. **เปิดใช้งานในที่ลับตาคน:** ทำคนเดียว ไม่มีใครเห็น
2. **ห้ามเก็บในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์:** ห้ามถ่ายรูป ห้ามพิมพ์เก็บในคอมพิวเตอร์ หรือในมือถือเด็ดขาด! เพราะเสี่ยงโดนแฮ็กได้ง่ายๆ ครับ
3. **เขียนลงกระดาษหรือแผ่นเหล็ก:** แล้วเก็บไว้ในที่ปลอดภัย หลายๆ ที่ยิ่งดี เช่น แบ่ง 6 คำแรกไว้ที่หนึ่ง 6 คำหลังไว้ที่อีกที่หนึ่ง เหมือนแผนที่สมบัติที่แยกชิ้นส่วนไว้นั่นแหละครับ
4. **เปิดใช้ฟีเจอร์ความปลอดภัยทั้งหมด:** เช่น “การยืนยันตัวตนสองขั้นตอน” (Two-Factor Authentication) หรือ 2FA เพื่อเพิ่มเกราะป้องกันอีกชั้นครับ
5. **พิจารณาใช้ ฮาร์ดแวร์วอลเล็ต:** หากคุณมีสินทรัพย์ดิจิทัลจำนวนมาก แนะนำให้ใช้ กระเป๋าเย็น ประเภท ฮาร์ดแวร์วอลเล็ต เลยครับ ปลอดภัยที่สุดแล้ว

**นวัตกรรมการเงินล้ำๆ กับ “รูบี้ วอลเล็ต” โดย SCB 10X: สู่โลกการเงินดิจิทัลไร้พรมแดน**

นอกเหนือจาก “กระเป๋าดิจิทัล” ของรัฐบาล และประเภทของกระเป๋าเงินดิจิทัลทั่วไปแล้ว ในบ้านเราก็ยังมีนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ ที่น่าสนใจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องครับ หนึ่งในนั้นคือ “โครงการรูบี้ วอลเล็ต” ของ SCB 10X ที่ได้เข้าร่วมทดสอบภายใต้กรอบ “แซนด์บ็อกซ์” (Sandbox) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงาน ก.ล.ต. ครับ

“รูบี้ วอลเล็ต” เป็นแอปพลิเคชัน กระเป๋าเงินดิจิทัล ที่นำนวัตกรรมที่เรียกว่า “การใช้เงินที่มีวัตถุประสงค์จำเพาะ” หรือ “พีบีเอ็ม” (Purpose Bound Money) มาใช้ครับ ซึ่งก็คือการที่เราสามารถตั้งเงื่อนไขอัตโนมัติได้ว่าเงินที่ใช้จะถูกใช้ได้ที่ไหน ร้านค้าไหน หรือในพื้นที่ไหนเท่านั้น คล้ายๆ กับเงินโครงการรัฐบาลที่มีรัศมีจำกัดนั่นแหละครับ แต่ของ SCB 10X เขาใช้ “สเตเบิลคอยน์” ในการแปลงสกุลเงินดิจิทัลที่ผูกกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ให้เป็น “สกุลเงินบาทดิจิทัล” หรือ “ทีเอชบีเอ็กซ์” (THBX) แบบเรียลไทม์เพื่อชำระค่าสินค้าและบริการครับ

โครงการนี้มีขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับชาวต่างชาติที่มาเข้าร่วมงานสัมมนา “เดฟคอน สองพันห้าร้อยหกสิบเจ็ด” (DevCon 2024) ที่กรุงเทพฯ ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2567 ครับ ช่วยแก้ปัญหาการพกเงินสดเยอะๆ การต้องต่อคิวแลกเงิน หรือเสียค่าธรรมเนียมที่สูงกว่าการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศแบบดั้งเดิม นับเป็นก้าวสำคัญที่ผลักดันประเทศไทยให้เข้าใกล้โลกการเงินดิจิทัลไร้พรมแดนมากขึ้นครับ

**Coinbase Wallet และกระเป๋าเงินโอเพ่นซอร์ส: ทางเลือกสำหรับสายคริปโตฯ ตัวจริง**

สำหรับสายคริปโตฯ ตัวจริงจัง ก็มี กระเป๋าเงินดิจิทัล ชื่อดังอย่าง “Coinbase Wallet” ที่เป็นทั้งกระเป๋าเงินและเบราว์เซอร์ “เว็บสาม” (Web3) ที่สามารถเข้ากันได้กับ บล็อกเชน อย่าง อีเทอเรียม และ โซลานา ครับ ช่วยให้คุณสามารถดูแลจัดการเงินดิจิทัล, “เอ็นเอฟที” (NFT) หรือสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ ได้อย่างอิสระ แถมยังเข้าถึงแอปพลิเคชันแบบ “ไม่รวมศูนย์” (แดปส์ – dApps) ได้เป็นพันๆ แอปฯ เลยทีเดียวครับ Coinbase Wallet ยังได้รับรางวัลกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ดีที่สุดสำหรับมือใหม่ด้วยนะครับ เพราะใช้งานง่ายและปลอดภัย โดย คอยน์เบส จะไม่มีสิทธิ์เข้าถึงเงินทุนของผู้ใช้เลยครับ เพราะผู้ใช้ควบคุม “คีย์ส่วนตัว” ได้เองทั้งหมด

นอกจากนี้ ยังมี “กระเป๋าเงินโอเพ่นซอร์ส” (Open Source Wallet) ที่เป็นที่นิยมในหมู่ผู้ใช้งานที่ต้องการความโปร่งใสและความปลอดภัยสูงสุดครับ กระเป๋าประเภทนี้จะมี “รหัสต้นฉบับ” (source code) ที่เปิดเผยให้ใครๆ ก็ตามสามารถตรวจสอบ และมีส่วนร่วมได้อย่างอิสระ ทำให้มั่นใจได้ว่าไม่มีอะไรแอบแฝง และช่องโหว่ต่างๆ จะถูกระบุและแก้ไขได้อย่างรวดเร็วครับ ตัวอย่างเช่น Mycelium, MyEtherWallet (MEW) และ Electrum ซึ่งเป็นกระเป๋าที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนานในโลกของคริปโตเคอร์เรนซีครับ

**บทสรุป: โลกของ “กระเป๋าดิจิทัล” กำลังเปลี่ยนไป คุณพร้อมหรือยัง?**

เห็นไหมครับว่า “กระเป๋าดิจิทัล” ไม่ได้มีแค่เรื่องเงินหมื่นจากรัฐบาลเท่านั้น แต่ครอบคลุมไปถึงนวัตกรรมการเงินที่น่าตื่นเต้น และโลกของสินทรัพย์ดิจิทัลที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วเลยทีเดียวครับ ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ที่กำลังรอรับเงินโครงการรัฐบาล หรือเป็นผู้ที่สนใจในโลกของคริปโตเคอร์เรนซี การทำความเข้าใจพื้นฐานของ “กระเป๋าดิจิทัล” จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งครับ

การเงินในอนาคตกำลังมุ่งหน้าสู่สังคมไร้เงินสดและโลกดิจิทัลอย่างเต็มตัวครับ การที่ประเทศไทยมีทั้งนโยบายจากภาครัฐ และนวัตกรรมจากภาคเอกชนที่เข้ามาเสริมกัน ก็ยิ่งทำให้ระบบนิเวศทางการเงินดิจิทัลของเราแข็งแกร่งขึ้นไปอีกครับ

**คำแนะนำสำหรับทุกคน:**
* **สำหรับเงินหมื่นของรัฐบาล:** ใครที่คุณสมบัติครบ อย่าลืมไปลงทะเบียนให้ทันนะครับ รายละเอียดคุณสมบัติและกำหนดการสามารถดูได้จากเว็บไซต์ทางการของรัฐบาลเลยครับ
* **สำหรับโลกของ “กระเป๋าเงินดิจิทัล” ทั่วไป:** ถ้าคุณกำลังคิดจะเริ่มต้นศึกษาหรือลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล แนะนำให้ “ศึกษาข้อมูล” ให้ดีก่อนนะครับ เริ่มต้นจากจำนวนเงินน้อยๆ ที่คุณพร้อมจะเสียได้ และที่สำคัญที่สุดคือ “ความปลอดภัย” ครับ

⚠️ **จำไว้ให้ขึ้นใจว่า “คีย์ส่วนตัว” ของคุณคือชีวิตในโลกดิจิทัล ห้ามให้ใครรู้เด็ดขาด!** โลกของ “กระเป๋าดิจิทัล” แม้จะสะดวกสบายและมีโอกาสใหม่ๆ มากมาย แต่ก็มีความเสี่ยงซ่อนอยู่เสมอ โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยของคีย์ส่วนตัว และความผันผวนของสินทรัพย์ดิจิทัลบางประเภทนะครับ อย่าลงทุนในสิ่งที่คุณไม่เข้าใจ และอย่าเก็บเงินไว้ในที่ที่ไม่ปลอดภัยครับ

หวังว่าคอลัมน์นี้จะช่วยให้คุณผู้อ่านเห็นภาพรวมของ “กระเป๋าดิจิทัล” ได้ชัดเจนขึ้นนะครับ แล้วพบกันใหม่ในคอลัมน์หน้าครับ!

LEAVE A RESPONSE