คริปโตพลัส

ศูนย์รวมความรู้คริปโต เคล็ดลับลงทุน และอัปเดตราคาเหรียญแบบเรียลไทม์

ความรู้คริปโตและวิเคราะห์ราคา

VM คืออะไร? เปลี่ยน Server บริษัท ให้ประหยัด ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ!

หลายคนอาจจะเคยรู้สึกว่า ระบบคอมพิวเตอร์ในบริษัทดูวุ่นวายจัง? เครื่อง Server ก็เต็มห้องไปหมด แถมยังต้องซื้อเครื่องใหม่ตลอดเวลา อัปเดตซอฟต์แวร์ก็ยาก ดูแลรักษาก็แพง ไหนจะเรื่องสำรองข้อมูลอีก ปัญหาพวกนี้เป็นเรื่องปวดหัวสำหรับหลายๆ ธุรกิจเลยครับ แล้วจะดีแค่ไหนถ้าเราสามารถมี “เครื่องคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่อง” อยู่ใน Server ตัวเดียวได้ โดยที่แต่ละเครื่องทำงานแยกกันอิสระ แถมยังช่วยประหยัดเงินได้เยอะอีกด้วย เทคโนโลยีที่ผมกำลังพูดถึงนี่แหละครับ ที่เขาเรียกว่า **Virtual Machine (VM)**

แล้วไอ้เจ้า **vm คืออะไร** กันแน่? อธิบายง่ายๆ มันคือโปรแกรมซอฟต์แวร์ที่จำลองการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งเครื่องขึ้นมาบนเครื่อง Server จริงๆ ของเราครับ นึกภาพว่า Server ตัวใหญ่ของเราคือ “บ้านหลังใหญ่” แล้วโปรแกรม VM ก็เหมือนผู้รับเหมาที่มา “ซอยห้องย่อยๆ” ขึ้นมาในบ้านหลังนั้น แต่ละห้อง (ซึ่งก็คือเครื่องเสมือน หรือ Virtual Machine) ก็สามารถติดตั้งระบบปฏิบัติการ (Operating System) ของตัวเองได้ จะเป็น Windows, Linux หรือระบบอื่นๆ ก็ได้ แถมยังทำงานแยกขาดจากห้องอื่นและจากบ้านหลังใหญ่ (เครื่อง Host) โดยสิ้นเชิงเลยครับ ที่เจ๋งคือ เราสามารถแบ่งทรัพยากรของบ้านหลังใหญ่ เช่น กำลังประมวลผล (CPU), หน่วยความจำ (RAM), หรือพื้นที่เก็บข้อมูล (Hard Disk) ไปให้แต่ละห้องย่อยๆ ใช้งานได้ตามต้องการ จะสร้างกี่ห้องก็ได้ ตราบเท่าที่บ้านหลังใหญ่ของเรามีทรัพยากรพอ

ทีนี้มาดูกันว่า เจ้าเทคโนโลยี **vm คืออะไร** ที่ดูเหมือนจะแค่จำลองเครื่องคอมฯ เนี่ย มันส่งผลดีต่อกระเป๋าเงินและการทำธุรกิจยังไงบ้าง

ข้อแรกเลยที่เห็นชัดมากๆ คือเรื่องการ **ลดค่าใช้จ่าย** ครับ คิดดูนะครับ แทนที่จะต้องซื้อ Server ใหม่เอี่ยมอ่องสำหรับแต่ละงาน หรือแต่ละโปรแกรมที่เราต้องการรัน เราก็แค่ใช้ Server ตัวเดิมที่มีอยู่ แล้วสร้าง VM ขึ้นมาหลายๆ ตัวเพื่อรองรับงานเหล่านั้นได้เลย ไม่ต้องซื้อ Server เยอะแยะ ค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อ hardware ก็ลดลงไปมหาศาล แค่ลงทุนกับ Server ตัวหลักที่ประสิทธิภาพสูงหน่อยก็พอแล้วครับ นอกจากนี้ ยังลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา hardware ด้วย เพราะดูแล Server น้อยลง ก็เสียเงินซ่อมบำรุงน้อยลง แถมยังประหยัดพื้นที่ในศูนย์ข้อมูล (Data Center) ค่าไฟ ค่าแอร์ ที่ต้องใช้หล่อเลี้ยง Server เหล่านั้นอีกต่างหาก จากข้อมูลใน White Paper ของ VMware ปี 2021 เคยระบุไว้เลยนะครับว่า การใช้ VM เนี่ย ช่วยลดต้นทุน hardware และค่าบำรุงรักษาได้ถึง 50%-70% เลยนะ ไม่ใช่เล่นๆ เลยใช่ไหมครับ

นอกจากเรื่อง hardware การใช้ **vm คืออะไร** ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร IT ด้วยครับ เพราะการดูแล Server หลายๆ ตัวที่ทำงานอยู่บน Server หลักตัวเดียว จัดการได้ง่ายกว่าการดูแล Server แยกกันเป็นสิบๆ ตัวเยอะเลย เจ้าหน้าที่ IT สามารถบริหารจัดการ ตั้งค่า หรือแก้ไขปัญหาต่างๆ จากส่วนกลางได้ ทำให้ใช้คนน้อยลง หรือมีเวลาไปโฟกัสงานสำคัญอื่นๆ ที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจได้มากขึ้นครับ รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านการสำรองและกู้คืนข้อมูล (Backup and Recovery) หรือระบบความปลอดภัยต่างๆ ก็มักจะทำได้ง่ายและมีประสิทธิภาพกว่าบนสภาพแวดล้อมที่เป็น VM ครับ สรุปง่ายๆ คือ VM ช่วยให้เราใช้เงินน้อยลง แต่ได้ผลลัพธ์ด้าน IT ที่ดีขึ้นครับ ซึ่งแน่นอนว่าการประหยัดเงินตรงนี้ก็ไปเพิ่ม **ความสามารถในการแข่งขัน** ให้กับธุรกิจเราได้โดยตรง

ทีนี้มาดูด้าน **ประสิทธิภาพและความต่อเนื่องทางธุรกิจ** กันบ้าง การใช้ **vm คืออะไร** ช่วยให้เราจัดสรรทรัพยากร hardware ที่มีอยู่ให้คุ้มค่าที่สุดได้ครับ เราสามารถปรับเพิ่มหรือลดทรัพยากร เช่น RAM หรือ CPU ให้กับ VM แต่ละตัวได้ตามความต้องการของงาน ณ ขณะนั้นๆ เลย ถ้า VM ตัวไหนทำงานหนักก็ให้ทรัพยากรเยอะหน่อย ถ้าตัวไหนไม่ค่อยได้ใช้ก็ลดลงมาได้ ทำให้ Server หลักของเราทำงานได้เต็มที่ ไม่ได้ซื้อ hardware มาแล้วใช้ไม่คุ้มครับ

ที่สำคัญมากๆ อีกเรื่องคือ **ความเสถียร** และการลดโอกาสที่ระบบจะหยุดทำงาน (Downtime) ครับ ด้วยเทคโนโลยีอย่าง Snapshot (สแนปช็อต) ของ VM เราสามารถ “บันทึกภาพ” สถานะปัจจุบันของ VM ไว้ได้เหมือนถ่ายรูป ถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา เราก็สามารถ “ย้อนเวลากลับไป” ที่จุดที่เราบันทึกไว้ได้ทันที ลดระยะเวลาที่ระบบจะล่มไปได้อย่างมาก ข้อมูลจากรายงานบางฉบับบอกว่าช่วยให้ระบบมีความพร้อมใช้งานได้ถึง 99.9% เลยนะครับ ลองคิดดูว่าถ้าเว็บไซต์ขายของออนไลน์ของคุณล่มไป 1 ชั่วโมง คุณจะเสียโอกาสในการขายไปเท่าไหร่? การกู้คืนความเสียหาย (Disaster Recovery) ที่รวดเร็วด้วย VM นี่แหละครับ ที่ช่วย **ลดผลกระทบและความเสียหายทางธุรกิจ** ที่อาจเกิดขึ้นจากระบบล่ม หรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันต่างๆ ครับ เงินที่อาจสูญเสียไปจาก Downtime นี่แหละครับ ที่ VM ช่วยคุณประหยัดไว้ได้

นอกจากเรื่องเงินและประสิทธิภาพ ด้าน **ความปลอดภัย** และการบริหารความเสี่ยง **vm คืออะไร** ก็ทำได้ดีไม่แพ้กันครับ อย่างที่บอกไปว่า VM แต่ละตัวทำงานแยกขาดจากกัน (Isolation) อย่างชัดเจน เหมือนเป็นห้องใครห้องมัน ถ้าเกิด VM ตัวใดตัวหนึ่งโดนโจมตีทางไซเบอร์ เช่น โดน Ransomware (แรนซัมแวร์) ล็อกไฟล์ มันก็มักจะจำกัดความเสียหายอยู่แค่ใน VM ตัวนั้นๆ ไม่ลุกลามไปถึง VM ตัวอื่น หรือ Server หลักของเราครับ ลดความเสี่ยงที่จะโดนโจมตีทั้งระบบไปได้เยอะเลยครับ

และเหมือนเดิม เทคโนโลยี Snapshot ก็เป็นพระเอกในเรื่องความปลอดภัยด้วย เพราะถ้า VM ตัวไหนมีปัญหาสงสัยว่าจะติดไวรัส หรือโดนโจมตี เราก็สามารถใช้ Snapshot ที่บันทึกไว้ตอนที่ระบบยังปกติดี มาย้อนสถานะกลับไปได้ทันทีครับ แถมยังใช้ VM เป็น “สนามเด็กเล่น” สำหรับการทดสอบก่อนติดตั้งโปรแกรม อัปเดตระบบ หรือแพทช์ความปลอดภัยต่างๆ ในสภาพแวดล้อมที่แยกออกมา ก่อนนำไปใช้จริงกับระบบหลัก ลดความเสี่ยงที่จะทำระบบหลักพังได้ด้วยครับ

เบื้องหลังความสามารถของ **vm คืออะไร** ส่วนหนึ่งอยู่ที่โปรแกรมที่เรียกว่า **Hypervisor (ไฮเปอร์ไวเซอร์)** ครับ เจ้าตัวนี้แหละคือผู้จัดการตัวจริงที่ควบคุมการสร้าง การแบ่งทรัพยากร และการทำงานของ VM ทุกตัวบน Server หลัก พูดให้เห็นภาพก็เหมือนเป็น “ผู้ดูแลบ้าน” ที่คอยแบ่งห้อง จัดสรรน้ำไฟ ให้แต่ละห้อง (VM) นั่นเองครับ Hypervisor ก็มีหลายแบบครับ ที่นิยมใช้ในองค์กรใหญ่ๆ หรือ Server ที่ต้องทำงานหนักๆ จะเป็นแบบที่ทำงานตรงบน hardware เลย (เรียกว่า Type 1 หรือ Bare-Metal Hypervisor) เช่น VMware ESXi, Microsoft Hyper-V ซึ่งพวกนี้จะมีประสิทธิภาพสูง ส่วนอีกแบบคือแบบที่ต้องติดตั้งบนระบบปฏิบัติการหลักอีกที (เรียกว่า Type 2 หรือ Hosted Hypervisor) เช่น VirtualBox อันนี้เหมาะกับการใช้งานทั่วไป หรือใช้ทดสอบบนเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัวมากกว่า การเลือกใช้ Hypervisor แบบไหนก็มีผลต่อประสิทธิภาพและความง่ายในการบริหารจัดการด้วยครับ

แล้วธุรกิจเอา **vm คืออะไร** ไปประยุกต์ใช้ในด้านไหนบ้างล่ะ? เยอะแยะเลยครับ
* **ใช้ในการทดสอบและพัฒนาซอฟต์แวร์:** นักพัฒนาโปรแกรมสามารถสร้าง VM ขึ้นมาหลายๆ ตัว ที่มีระบบปฏิบัติการหรือการตั้งค่าที่แตกต่างกัน เพื่อทดสอบโปรแกรมที่กำลังพัฒนาอยู่ได้ โดยไม่ต้องจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์จริงๆ เป็นสิบๆ เครื่อง แค่มี Server หลักตัวเดียวก็พอ ประหยัดเงินและเวลาไปได้เยอะ
* **เป็นบริการ Server เสมือน (VPS – Virtual Private Server):** ธุรกิจขนาดเล็กถึงกลางที่ยังไม่มีกำลังซื้อ Server เป็นของตัวเอง ก็สามารถเช่าใช้บริการ VPS ได้ ซึ่งบริการนี้ก็คือ VM ตัวหนึ่งที่ผู้ให้บริการสร้างขึ้นมาบน Server ใหญ่ๆ แล้วแบ่งให้ลูกค้าเช่าในราคาประหยัดกว่าการซื้อ hardware เองมากๆ ครับ
* **ใช้ในองค์กรขนาดใหญ่:** อย่างที่บอกไป องค์กรใหญ่ๆ ที่ต้องใช้ Server จำนวนมากสำหรับงานที่หลากหลาย การใช้ VM ช่วยให้บริหารจัดการและแบ่งปันทรัพยากร Server หลักได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ลดความจำเป็นในการซื้อ Server เฉพาะงานที่ไม่คุ้มค่าครับ
* **เป็นพื้นฐานของ Cloud Computing:** บริการ Cloud Computing ที่เราคุ้นเคยกัน ไม่ว่าจะเป็น Infrastructure as a Service (IaaS) หรือ Platform as a Service (PaaS) ส่วนใหญ่แล้วก็สร้างขึ้นมาบนเทคโนโลยี VM นี่แหละครับ มันทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงทรัพยากรคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็น CPU, RAM, Storage ได้อย่างยืดหยุ่นตามการใช้งาน และมักจะคิดเงินตามปริมาณที่ใช้จริง (Pay-per-use model) ทำให้ธุรกิจจ่ายเท่าที่ใช้ ไม่ต้องลงทุน hardware ก้อนใหญ่ตั้งแต่แรกครับ

ฟังดูมีแต่ข้อดีใช่ไหมครับ แต่เจ้า **vm คืออะไร** ก็มีข้อที่ต้องพิจารณาและข้อจำกัดอยู่เหมือนกันนะ ไม่ใช่ว่าเหมาะกับทุกธุรกิจไปซะหมดครับ

ข้อแรกเลยคือ ถึงแม้จะช่วยประหยัดค่า Server โดยรวม แต่ Server ตัวหลัก (เครื่อง Host) ที่ใช้รัน VM เยอะๆ เนี่ย จำเป็นต้องเป็น hardware ที่มีประสิทธิภาพสูงมากๆ ครับ ซึ่งแน่นอนว่ามันก็มี **ต้นทุน** ที่สูงกว่า Server ทั่วไปอยู่พอสมควรเลยนะครับ ถ้าคิดจะใช้ VM ก็ต้องยอมลงทุนกับ Server หลักตัวนี้แหละ

ข้อต่อมาคือ ความ **ซับซ้อนในการจัดการ** ครับ ถึงแม้ว่าการจัดการจากส่วนกลางจะง่ายกว่าการดูแล Server แยกกัน แต่ระบบ VM เองก็มีความซับซ้อนในตัวครับ การตั้งค่า การบริหารจัดการทรัพยากร การดูแล Hypervisor หรือการแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ต้องการ **ความรู้และทักษะเฉพาะทาง** ครับ อาจจะมีค่าใช้จ่ายด้านการอบรมบุคลากร หรือการจ้างผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติมเข้ามาครับ
และสุดท้ายคือเรื่อง **ค่าใช้จ่ายซอฟต์แวร์** ครับ แม้ว่า Hypervisor บางตัว หรือระบบปฏิบัติการ Linux จะเป็นซอฟต์แวร์ฟรี แต่ Hypervisor ระดับองค์กรบางตัว เช่น VMware หรือ Microsoft Hyper-V ก็มี **ค่า License** ที่ต้องจ่ายนะครับ รวมถึง License ระบบปฏิบัติการ Windows สำหรับแต่ละ VM ที่เราสร้างขึ้นมา ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเช่นกันครับ

สรุปแล้ว **vm คืออะไร** มันคือเทคโนโลยีเครื่องเสมือนที่เหมือนมีเวทมนตร์เสกให้ Server ตัวเดียวกลายเป็น Server หลายๆ ตัวได้ ช่วยให้ธุรกิจ **ประหยัดเงิน** ได้อย่างมหาศาล ทั้งจากค่า hardware, ค่าบำรุงรักษา, ค่าไฟ, ค่าพื้นที่, และค่าบุคลากร IT แถมยังช่วย **เพิ่มประสิทธิภาพ** ในการทำงาน ทำให้ระบบ **เสถียร** ขึ้น **กู้คืนข้อมูลได้เร็ว** และ **เพิ่มความปลอดภัย** ในการจัดการระบบ IT ครับ เป็นหัวใจสำคัญของบริการ Cloud Computing ที่ทำให้เราเข้าถึงทรัพยากรคอมพิวเตอร์ได้ง่ายและยืดหยุ่น

อย่างไรก็ตาม การนำเทคโนโลยี **vm คืออะไร** มาใช้ก็ไม่ใช่แค่กดปุ่มแล้วเสร็จนะครับ ต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ ประเมินความต้องการของธุรกิจตัวเองให้ดี ว่าเหมาะกับขนาดและความซับซ้อนของระบบที่เราต้องการไหม ต้องเตรียมงบประมาณสำหรับการลงทุน hardware ตัวหลัก และค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการและซอฟต์แวร์ที่อาจมีเพิ่มเติมครับ

⚠️ **คำเตือน:** ถ้าเงินทุนหมุนเวียนยังจำกัด หรือทีม IT ยังไม่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านนี้เพียงพอ การลงทุนในระบบ VM ขนาดใหญ่อาจจะต้องพิจารณาให้รอบคอบมากๆ ก่อนตัดสินใจครับ ลองเริ่มจากเล็กๆ หรือใช้บริการ Cloud ที่เป็นพื้นฐานมาจาก VM ดูก่อนก็ได้ครับ การลงทุนในเทคโนโลยีที่ใช่และเหมาะสมกับสถานะปัจจุบันของธุรกิจ คือการลงทุนที่ชาญฉลาดที่สุดครับ

LEAVE A RESPONSE