คริปโตพลัส

ศูนย์รวมความรู้คริปโต เคล็ดลับลงทุน และอัปเดตราคาเหรียญแบบเรียลไทม์

ความรู้คริปโตและวิเคราะห์ราคา

Fintech หมายถึงข้อใด: ไขความลับเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกการเงินให้ง่ายขึ้น!

จำได้ไหมครับ สมัยก่อนเวลาจะจ่ายบิลค่าน้ำ ค่าไฟ หรือแม้แต่โอนเงินให้ใครสักคน เราต้องตรงดิ่งไปที่ธนาคาร ยืนต่อคิวยาวเหยียดบ้าง หรืออย่างน้อยก็ต้องไปเซเว่นฯ หรือตู้เอทีเอ็ม กว่าจะทำธุรกรรมเสร็จเสียทั้งเวลา เสียทั้งค่าเดินทาง

แต่มาวันนี้ โลกการเงินเปลี่ยนไปราวกับหนังคนละม้วน! แค่มีสมาร์ทโฟนเครื่องเดียว เราก็จัดการเรื่องเงินๆ ทองๆ ได้เกือบทุกอย่าง ทั้งจ่ายบิล โอนเงิน ซื้อของ ลงทุน ขอสินเชื่อ หรือแม้แต่ทำประกัน แล้วอะไรล่ะที่มาพลิกโฉมหน้าการเงินให้ชีวิตเราสบายขึ้นขนาดนี้? คำตอบคือ ฟินเทค (Fintech) ครับ

ถ้าจะให้ตอบว่า fintech หมายถึงข้อใด แบบง่ายๆ ที่สุด มันก็คือ “เทคโนโลยีทางการเงิน” นั่นแหละครับ คือการที่เราเอา “เทคโนโลยี” ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชันบนมือถือ ระบบหลังบ้านสุดเจ๋งอย่างบล็อกเชน หรือแม้แต่สมองกลอัจฉริยะอย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาผสมผสานเข้ากับ “บริการทางการเงิน” ต่างๆ ที่เราคุ้นเคยกันนี่แหละ เพื่อสร้างบริการรูปแบบใหม่ๆ ที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และที่สำคัญคือ “เข้าถึงง่าย” กว่าเดิมเยอะเลย

เมื่อฟินเทคไม่ได้มีแค่แค่แอปฯ โอนเงิน!

หลายคนอาจจะนึกถึงฟินเทคแค่แอปฯ โมบายแบงก์กิ้ง หรือแอปฯ กระเป๋าเงินออนไลน์ (อีวอลเล็ต) ที่เราใช้สแกนจ่ายกันอยู่ทุกวัน อย่าง “พร้อมเพย์” หรือ “ทรูมันนี่ วอลเล็ต” ที่ฮิตสุดๆ ในไทยช่วงหลายปีที่ผ่านมา ใช่ครับ พวกนี้คือตัวอย่างที่ใกล้ตัวมากๆ ของฟินเทค ซึ่งทำให้การชำระเงินดิจิทัลกลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของเราไปแล้ว

แต่จริงๆ แล้ว ฟินเทคยังมีอีกสารพัดรูปแบบเลยนะ เหมือนร้านอาหารที่มีหลากหลายเมนูให้เลือกกิน ไม่ว่าจะเป็น:

* ธนาคารดิจิทัล (Digital Banking): อันนี้คือธนาคารที่ไม่มีสาขาให้เดินเข้าไปเลยครับ ทุกอย่างทำผ่านออนไลน์หมด ตั้งแต่เปิดบัญชี ฝาก ถอน โอน กู้ ลงทุน สะดวกสุดๆ สำหรับคนที่ไม่ชอบไปสาขา
* คราวด์ฟันดิง (Crowdfunding): เหมือนขอระดมทุนจากคนหมู่มากผ่านออนไลน์ไงครับ ใครมีไอเดียเจ๋งๆ อยากทำโครงการ แต่ไม่มีเงินทุน ก็มาขอเงินสนับสนุนจากคนทั่วไปได้ หรือเราเองอยากสนับสนุนโครงการไหน ก็ร่วมบริจาคหรือร่วมลงทุนได้ง่ายๆ
* อินชัวร์เทค (Insurtech): อันนี้คือการเอาเทคโนโลยีมาใช้ในธุรกิจประกันครับ ทำให้เราซื้อประกันออนไลน์ง่ายขึ้น คำนวณเบี้ยได้ตรงใจ หรือแม้แต่บริษัทประกันเองก็ใช้ AI มาช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หรือเคลมเร็วขึ้น
* การลงทุนดิจิทัล: สมัยก่อนอยากซื้อหุ้นต้องโทรหาโบรกเกอร์ หรือไปที่บริษัทหลักทรัพย์ใช่ไหมครับ? เดี๋ยวนี้มีแอปฯ หรือแพลตฟอร์มให้เราเทรดเองได้เลย สะดวก รวดเร็ว แถมมีข้อมูล วิเคราะห์ กราฟต่างๆ ให้ดูครบครัน (อาจจะนึกถึงแอปฯ Streaming หรือ Liberator ที่หลายคนใช้เทรดหุ้นกันอยู่ หรือแอปฯ ซื้อขายคริปโตอย่าง Bitkub ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของโลกฟินเทคในหมวดสกุลเงินดิจิทัลและบล็อกเชน)
* การจัดการการเงินส่วนบุคคล: มีแอปฯ ที่ช่วยเราบันทึกรายรับรายจ่าย จัดงบประมาณ ดูว่าเงินเราใช้ไปกับอะไรบ้าง ช่วยให้เราวางแผนการเงินได้ดีขึ้นมากๆ เลย
* เรกเทค (Regtech): อันนี้อาจจะดูไกลตัวหน่อย แต่อำนวยความสะดวกให้ “ผู้ให้บริการ” การเงินครับ คือการเอาเทคโนโลยีมาช่วยสถาบันการเงินให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบต่างๆ ได้ง่ายขึ้น รวดเร็วขึ้น เช่น ระบบช่วยยืนยันตัวตนลูกค้า หรือระบบป้องกันการฟอกเงิน ซึ่งสุดท้ายก็ส่งผลให้ระบบการเงินปลอดภัยขึ้นสำหรับเราทุกคน

ยังมีอีกหลายประเภทเลยครับ เช่น สินเชื่อผู้บริโภคผ่านแพลตฟอร์ม, การจัดการความมั่งคั่งสำหรับคนที่มีสินทรัพย์สูง, หรือแม้แต่ซอฟต์แวร์ช่วยธุรกิจ SMEs ทำบัญชี ทำใบเสร็จ อย่าง Flow Account เป็นต้น เห็นไหมครับว่าฟินเทคครอบคลุมเกือบทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ในชีวิตเราเลย

ฟินเทคโตระเบิด! ใครๆ ก็ใช้กัน

การเติบโตของฟินเทคนี่ไม่ใช่เล่นๆ นะครับ ทั่วโลกนี่โตพรวดพราดมาก โดยเฉพาะช่วงที่มีโรคระบาดโควิด-19 ที่ผ่านมา ยิ่งทำให้คนหันมาใช้บริการออนไลน์กันเยอะขึ้นไปอีก เรียกว่าเป็นปัจจัยเร่งชั้นดีเลยทีเดียว ข้อมูลบางแหล่งบอกว่า มูลค่าตลาดฟินเทคทั่วโลกนี่คาดว่าจะพุ่งจากประมาณ 2.94 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2566 เป็นกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2575 เลยทีเดียว (อ้างอิงจากข้อมูลตลาดในบทวิเคราะห์ต่างๆ) โห! มูลค่าเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวในเวลาไม่กี่ปี แสดงให้เห็นถึงความต้องการมหาศาลในตลาด

ส่วนในบ้านเรา ประเทศไทย ก็คึกคักไม่แพ้กันครับ ได้รับการสนับสนุนเต็มที่จากภาครัฐ โดยเฉพาะธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ผลักดันโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลต่างๆ มาตลอด ทั้งระบบพร้อมเพย์ที่เราใช้กันจนชิน และระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนในรูปแบบดิจิทัล หรือ NDID ที่ทำให้การเปิดบัญชีหรือสมัครบริการทางการเงินออนไลน์สะดวกและปลอดภัยขึ้นเยอะ

ประกอบกับคนไทยเราใช้สมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ตเยอะขึ้นมากๆ ทำให้ฟินเทคเติบโตได้อย่างรวดเร็วในทุกมิติ จากที่เมื่อปี 2559 เราอาจจะเห็นบริษัทฟินเทคในไทยแค่ประมาณ 40 กว่าแห่ง ตอนนี้มีเกือบ 100 บริษัทแล้วครับ (อ้างอิงจากข้อมูลจำนวนบริษัทฟินเทคในไทย) แสดงให้เห็นถึงผู้เล่นที่เข้ามาในตลาดนี้เยอะขึ้นเรื่อยๆ

ข้อดีของฟินเทค: สะดวก จ่ายน้อย ได้เยอะ!

ถ้าจะสรุปข้อดีหลักๆ ของฟินเทคที่พวกเราผู้บริโภคสัมผัสได้ตรงๆ เลย ก็คือ

1. สะดวกสบายและเข้าถึงง่ายสุดๆ: แค่มีมือถือเครื่องเดียว จะโอนเงิน จ่ายเงิน หรือแม้แต่ลงทุน ก็ทำได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ต้องเดินทาง ไม่ต้องรอคิวอีกต่อไป
2. ช่วยลดค่าใช้จ่าย: หลายบริการของฟินเทคมักจะมีค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่า หรือบางครั้งก็ฟรีเลยครับ แถมยังช่วยประหยัดค่าเดินทาง ค่าเสียเวลาไปทำธุรกรรมแบบเดิมๆ ด้วย
3. ใช้เทคโนโลยีทันสมัยเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพ: อย่างที่เล่าไปครับ มีการนำ AI มาช่วยวิเคราะห์ข้อมูล แนะนำการลงทุน หรือตรวจจับความผิดปกติเพื่อป้องกันการโกง มีบล็อกเชนที่ช่วยให้ข้อมูลโปร่งใส ปลอดภัย แก้ไขยาก หรือระบบยืนยันตัวตนด้วยข้อมูลชีวภาพ (ไบโอเมตริก) เช่น สแกนใบหน้า สแกนลายนิ้วมือ ที่ทำให้การเข้าถึงบริการของเราปลอดภัยยิ่งขึ้น
4. มีบริการให้เลือกหลากหลาย: ไม่ว่าคุณอยากจะออมเงิน ลงทุน ขอสินเชื่อ หรือบริหารจัดการเงินส่วนตัว ฟินเทคก็มีเครื่องมือหรือแพลตฟอร์มมาตอบโจทย์ได้ครบวงจรมากขึ้นกว่าเดิมเยอะ

ธนาคารเดิมๆ อยู่ยังไง? ก็ต้องปรับตัวสิครับ!

แน่นอนว่าการมาถึงของฟินเทคนั้นถือเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ของสถาบันการเงินแบบดั้งเดิมอย่างธนาคารต่างๆ ครับ เพราะรูปแบบการทำธุรกิจเดิมๆ ที่เน้นสาขาเยอะๆ เริ่มได้รับผลกระทบ ลูกค้าบางส่วนย้ายไปใช้บริการบนแอปฯ หรือแพลตฟอร์มฟินเทคแทน ทำให้ธนาคารต้องเร่งปรับตัวอย่างหนัก

ธนาคารหลายแห่งลงทุนมหาศาลในการพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง มีการตั้งทีมพัฒนา หรือแม้แต่ตั้ง “ห้องแล็บ” เพื่อคิดค้นบริการดิจิทัลใหม่ๆ นอกจากนี้ยังหันไปจับมือเป็นพันธมิตร หรือร่วมลงทุนกับบริษัทฟินเทคสตาร์ตอัป เพื่อเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ และนำมาปรับใช้กับบริการของตัวเอง เช่น การออกผลิตภัณฑ์สินเชื่อส่วนบุคคลบนแอปฯ หรือการพัฒนาแอปพลิเคชันที่รองรับบริการฟินเทคต่างๆ ได้มากขึ้น การลดจำนวนสาขาลงแล้วหันไปเน้นช่องทางออนไลน์ก็เป็นหนึ่งในการปรับตัวที่เห็นได้ชัดครับ

เรียกได้ว่าโลกการเงินกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ ที่ฟินเทคเป็นตัวเร่งสำคัญ ทำให้บริการทางการเงินเข้าถึงง่ายขึ้น สะดวกขึ้น และมีทางเลือกมากขึ้นสำหรับผู้บริโภคอย่างเราๆ

แล้วเราจะใช้ประโยชน์จากฟินเทคได้ยังไงในชีวิตจริง?

ไหนๆ ก็รู้แล้วว่า fintech หมายถึงข้อใด และมันมีประโยชน์กับเรายังไง ลองเปิดใจสำรวจแอปพลิเคชัน หรือแพลตฟอร์มฟินเทคต่างๆ ที่มีอยู่ในตลาดดูครับ คุณอาจจะเจอเครื่องมือที่ตอบโจทย์ความต้องการทางการเงินของคุณได้ดีกว่าที่เคยเป็นมา

* ถ้าอยากให้ชีวิตสบายขึ้น: ลองใช้แอปฯ โมบายแบงก์กิ้ง หรืออีวอลเล็ตในการจ่ายบิล โอนเงิน สแกนจ่าย แทนการใช้เงินสดหรือไปที่เคาน์เตอร์
* ถ้าอยากเก็บเงิน/ลงทุน: มีแอปฯ บริหารจัดการการเงินส่วนบุคคลช่วยให้คุณเห็นภาพรวมการใช้จ่าย หรือลองศึกษาแพลตฟอร์มการลงทุนต่างๆ ที่ช่วยให้เริ่มลงทุนด้วยเงินจำนวนไม่มากได้
* ถ้าทำธุรกิจ: ลองดูซอฟต์แวร์บัญชีหรือซอฟต์แวร์การเงินสำหรับธุรกิจ ที่ช่วยให้จัดการเรื่องเงินของร้านหรือบริษัทง่ายขึ้น

⚠️ แต่จำไว้! ทุกเรื่องการเงินมีความเสี่ยงนะ

ถึงฟินเทคจะสะดวกและมีประโยชน์มหาศาล แต่ก็มีข้อควรระวังเช่นกันครับ

* ความปลอดภัย: แม้จะมีเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ดี แต่เราเองก็ต้องระมัดระวัง เช่น อย่าให้ข้อมูลส่วนตัว รหัสผ่าน หรือ OTP แก่ผู้อื่น ระวังมิจฉาชีพที่มาในรูปแบบต่างๆ
* ทำความเข้าใจเงื่อนไข: ก่อนใช้บริการฟินเทคใดๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการลงทุน การกู้ยืม หรือการทำประกัน ควรอ่านและทำความเข้าใจเงื่อนไขต่างๆ ให้ละเอียดถี่ถ้วน
* ประเมินความเสี่ยงก่อนลงทุน: การลงทุนทุกรูปแบบมีความเสี่ยง ควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจ และลงทุนในวงเงินที่เรายอมรับความเสี่ยงได้

ฟินเทคคืออนาคตของการเงินที่เข้ามาทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้น มีทางเลือกมากขึ้น แต่การใช้ประโยชน์จากมันอย่างชาญฉลาดและรอบคอบต่างหากครับที่จะช่วยให้เราจัดการเรื่องเงินได้อย่างสบายใจและปลอดภัยในยุคดิจิทัลนี้

LEAVE A RESPONSE