คริปโตพลัส

ศูนย์รวมความรู้คริปโต เคล็ดลับลงทุน และอัปเดตราคาเหรียญแบบเรียลไทม์

ความรู้คริปโตและวิเคราะห์ราคา

Blockchain มีกี่ประเภท? เปิดโลกเทคโนโลยีเปลี่ยนอนาคตการเงินและการลงทุน!

เอาล่ะครับ นั่งลงสบายๆ จิบกาแฟไปด้วยกันนะครับ วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องเทคโนโลยีที่หลายคนได้ยินบ่อยมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีอีกหลายคนพยักหน้าหงึกๆ ทั้งที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่… ใช่ครับ ผมกำลังพูดถึง “บล็อกเชน” (Blockchain) นั่นเอง

หลายคนพอได้ยินคำว่าบล็อกเชนปุ๊บ อาจจะนึกถึงคริปโทเคอร์เรนซี (สกุลเงินดิจิทัล) อย่างบิตคอยน์ (Bitcoin) หรืออีเธอเรียม (Ethereum) ทันที ซึ่งก็ไม่ผิดครับ เพราะคริปโทฯ เหล่านี้ทำงานอยู่บนเทคโนโลยีบล็อกเชน แต่จริงๆ แล้วบล็อกเชนมันมีอะไรมากกว่านั้นเยอะเลยนะ

เพื่อนผมคนหนึ่งชื่อคุณสมชาย ทำธุรกิจซื้อขายสินค้าออนไลน์ วันก่อนเขามาระบายให้ฟังว่าการทำบัญชี การติดตามสินค้า หรือแม้กระทั่งการจัดการเรื่องเงินๆ ทองๆ กับคู่ค้าต่างประเทศนี่มันยุ่งยากจัง ไหนจะต้องผ่านคนกลางหลายทอด แถมยังต้องกลัวเรื่องการโกง หรือข้อมูลผิดพลาดอีก พอผมเล่าเรื่องบล็อกเชนให้ฟัง เขาก็ทำหน้างงๆ แล้วถามกลับมาว่า “แล้วไอ้เจ้าบล็อกเชนเนี่ย มันช่วยอะไรได้บ้างวะ แล้วที่สำคัญเลยนะ มันมีกี่ประเภทกันแน่ ใช้เหมือนกันหมดมั้ย?”

คำถามของคุณสมชายนี่แหละครับ ที่เป็นจุดเริ่มต้นให้เรามาเจาะลึกเรื่องนี้กันในวันนี้ เพราะก่อนจะไปถึงประโยชน์หรือการนำไปใช้ เราต้องเข้าใจพื้นฐานของมันก่อนว่าไอ้เทคโนโลยี “บัญชีแยกประเภทแบบกระจายศูนย์” (Distributed Ledger Technology – DLT) ตัวนี้มันทำงานยังไง และที่สำคัญคือ blockchain มีกี่ประเภท แล้วแต่ละประเภทมันต่างกันยังไง

**บล็อกเชนคืออะไร? เข้าใจง่ายๆ สไตล์คนไม่ใช่โปรแกรมเมอร์**

ลองนึกภาพตามนี้นะครับ แทนที่จะมีสมุดบัญชีเล่มใหญ่ๆ วางอยู่ที่เคาน์เตอร์ธนาคารกลางแค่ที่เดียว (ซึ่งถ้าสมุดเล่มนี้หาย ไฟไหม้ หรือคนดูแลโกง ก็วุ่นวายเลยใช่ไหมครับ) เทคโนโลยีบล็อกเชนมันคือการเอาสมุดบัญชีเล่มเดียวกันนี้ไปให้ทุกคนที่อยู่ในเครือข่ายช่วยกันเก็บ ช่วยกันบันทึก และช่วยกันตรวจสอบพร้อมๆ กันเป็น “สำเนา” อยู่ในคอมพิวเตอร์ของแต่ละคน

เวลาเกิดรายการอะไรขึ้นมา เช่น นาย ก. โอนเงินให้ นาย ข. รายการนี้จะถูกบันทึกเป็น “บล็อก” (Block) ใหม่ แล้วส่งไปให้ทุกคนในเครือข่ายตรวจสอบว่าถูกต้องไหม ถ้าทุกคนส่วนใหญ่ในเครือข่าย (หรือตามกลไกที่ตกลงกัน) บอกว่า “ใช่ ถูกต้อง!” บล็อกรายการนี้ก็จะถูกผนึกเข้าไปใน “โซ่” (Chain) ที่เชื่อมโยงกับบล็อกก่อนหน้าทั้งหมด ด้วยการเข้ารหัสที่ซับซ้อนมากๆ

ทีนี้ พอข้อมูลมันถูกผนึกเข้าโซ่ไปแล้วเนี่ย การจะกลับไปแก้ไขบล็อกเก่าๆ เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยครับ เพราะถ้าคุณจะแก้บล็อกไหน คุณต้องแก้บล็อกนั้น *และ* บล็อกอื่นๆ ที่เชื่อมต่อกันมาทั้งหมด ซึ่งหมายถึงคุณต้องไปแก้ในสำเนาของทุกคนในเครือข่ายพร้อมๆ กัน ซึ่งในเครือข่ายที่มีคนเป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสนคนอย่างบล็อกเชนบางประเภท มันคือภารกิจที่เป็นไปไม่ได้เลย นี่คือที่มาของคำว่า “ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้” (Immutable)

คุณสมบัติเด่นๆ ของบล็อกเชนที่เราควรรู้ก็มีประมาณนี้ครับ:

* **กระจายศูนย์ (Decentralized):** ไม่มีใครเป็นเจ้าของหรือควบคุมคนเดียว ข้อมูลกระจายอยู่ทั่วเครือข่าย ไม่ได้รวมอยู่ที่ศูนย์กลาง ทำให้แฮ็กยากมาก
* **ปลอดภัย (Secure):** ใช้การเข้ารหัสขั้นสูง ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลตลอดเวลา ทำให้การปลอมแปลงเป็นไปได้ยาก
* **โปร่งใส (Transparent):** ทุกคนในเครือข่ายสามารถเข้าถึงและตรวจสอบรายการธุรกรรมต่างๆ ได้ (บางประเภทอาจเห็นรายละเอียดทั้งหมด บางประเภทอาจเห็นแค่ว่ามีรายการเกิดขึ้น) ทำให้ลดโอกาสการโกง
* **มีประสิทธิภาพ (Efficient):** ลดความจำเป็นในการใช้คนกลาง ทำให้การทำธุรกรรมบางอย่างรวดเร็วและมีต้นทุนต่ำลง

เห็นไหมครับว่าแค่อธิบายคอนเซ็ปต์ง่ายๆ ก็เริ่มเห็นแววแล้วว่าทำไมเทคโนโลยีนี้ถึงน่าสนใจ และเริ่มมีคนเอาไปใช้ในวงการต่างๆ มากมาย

**ไขข้อสงสัย: blockchain มีกี่ประเภทกันแน่?**

มาถึงคำถามสำคัญของคุณสมชายแล้วครับ โดยหลักๆ แล้ว ถ้าเรามองจากรูปแบบการเข้าถึงและการบริหารจัดการ เครือข่ายบล็อกเชนสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทหลักๆ ดังนี้ครับ

1. **Public Blockchain (บล็อกเชนสาธารณะ หรือ บล็อกเชนแบบเปิดสาธารณะ):**
* **ลองนึกภาพ:** นี่คือสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่เปิดให้ทุกคนเข้ามาเดินเล่น วิ่งออกกำลังกาย หรือจะเข้ามาช่วยกันปลูกต้นไม้ก็ได้ (ถ้ามีความรู้และทำตามกติกา)
* **อธิบายแบบจริงจัง:** เป็นเครือข่ายบล็อกเชนที่เปิดกว้างให้ *ทุกคน* ทั่วโลกสามารถเข้าถึง เข้าร่วมเป็นสมาชิก (เป็น “โหนด” – Node) อ่านข้อมูลธุรกรรม ตรวจสอบความถูกต้อง หรือแม้กระทั่งสร้างบล็อกใหม่ๆ ได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องขออนุญาตจากใครเลยครับ (Permissionless) ข้อมูลธุรกรรมทั้งหมดจะถูกบันทึกและเปิดเผยให้ทุกคนในเครือข่ายเห็น เพื่อให้เกิดความโปร่งใสสูงสุด
* **ข้อดี:** มีการกระจายอำนาจสูงที่สุด ไม่มีบุคคลหรือองค์กรใดมีอำนาจเหนือเครือข่ายอย่างเด็ดขาด ทำให้ทนทานต่อการถูกโจมตีหรือควบคุมจากภายนอกได้ดีมาก
* **ข้อเสีย:** เนื่องจากเปิดกว้างให้ทุกคนเข้ามาร่วมได้ การสร้างความเห็นพ้องต้องกัน (Consensus) เพื่อยืนยันธุรกรรมใหม่ๆ มักจะใช้เวลานานกว่า และอาจใช้พลังงานในการประมวลผลสูงมาก (โดยเฉพาะบล็อกเชนที่ใช้กลไก Proof of Work เหมือนบิตคอยน์) ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลอาจน้อยกว่าประเภทอื่น และมักรองรับปริมาณธุรกรรมได้น้อยกว่า
* **ตัวอย่างที่คุ้นเคย:** บิตคอยน์ (Bitcoin) และอีเธอเรียม (Ethereum) คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของ Public Blockchain นอกจากนี้ยังมี xCHAIN, BNB Chain และในประเทศไทยเองก็มีอย่าง **JFIN Chain** ที่พัฒนาโดยทีม JFIN ซึ่งก็จัดเป็น Public Blockchain ที่มีเป้าหมายอยากให้เป็นบล็อกเชนสาธารณะสำหรับทุกคน ไม่มีข้อจำกัดในการฝากถอน และมีระบบที่ใช้ JFIN Token เป็น Gas Fee (ค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม) สำหรับผู้ที่ช่วยยืนยันความถูกต้องของข้อมูล

2. **Private Blockchain (บล็อกเชนส่วนตัว หรือ บล็อกเชนแบบปิด):**
* **ลองนึกภาพ:** นี่ไม่ใช่สวนสาธารณะ แต่เป็นคลับส่วนตัว หรือสำนักงานบริษัท ที่มีประตูและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย อนุญาตให้เฉพาะคนที่ได้รับเชิญหรือเป็นสมาชิกเท่านั้นที่จะเข้ามาใช้งานหรือเข้าถึงข้อมูลภายในได้
* **อธิบายแบบจริงจัง:** เป็นเครือข่ายบล็อกเชนที่จำกัดการเข้าถึงและการมีส่วนร่วม เฉพาะผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นจึงจะเข้าร่วมเครือข่าย อ่านข้อมูล เขียนข้อมูล หรือตรวจสอบธุรกรรมได้ ส่วนใหญ่มักถูกนำไปใช้ภายในองค์กรหรือกลุ่มธุรกิจที่ต้องการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีบล็อกเชนแต่ยังต้องการควบคุมการเข้าถึงข้อมูลและความเป็นส่วนตัว
* **ข้อดี:** โดยทั่วไปแล้ว Private Blockchain มักจะทำธุรกรรมได้เร็วกว่า มีค่าธรรมเนียมถูกกว่า และรองรับปริมาณธุรกรรมได้มากกว่า Public Blockchain เนื่องจากมีจำนวนผู้เข้าร่วมที่น้อยกว่าและกลไก Consensus อาจแตกต่างออกไป มีความเป็นส่วนตัวของข้อมูลสูงกว่า
* **ข้อเสีย:** มีการกระจายอำนาจน้อยกว่า Public Blockchain อย่างเห็นได้ชัด มักจะมีผู้มีอำนาจ (หรือกลุ่มผู้มีอำนาจขนาดเล็ก) ที่ดูแลและควบคุมเครือข่าย ทำให้ข้อมูลอาจไม่สามารถแก้ไขไม่ได้โดยสมบูรณ์เหมือน Public Blockchain (บางกรณีอาจมีกลไกให้ผู้มีอำนาจแก้ไขได้) และความน่าเชื่อถืออาจต้องอาศัยความเชื่อใจในตัวผู้ดูแลมากกว่า
* **ตัวอย่าง:** Ripple (XRP) มักถูกจัดอยู่ในกลุ่มนี้ หรือ Hyperledger ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาเฟรมเวิร์กบล็อกเชนสำหรับองค์กรต่างๆ ก็เน้นที่ Private และ Consortium Blockchain

3. **Consortium Blockchain (บล็อกเชนแบบเฉพาะกลุ่ม หรือ บล็อกเชนแบบกลุ่มพันธมิตร):**
* **ลองนึกภาพ:** นี่คือสมาคมการค้า หรือกลุ่มธนาคาร ที่มีสมาชิกหลายๆ องค์กรมาตกลงร่วมกันเพื่อสร้างระบบกลางสำหรับใช้ภายในกลุ่ม สมาชิกแต่ละองค์กรมีสิทธิ์มีเสียงในการบริหารจัดการและตรวจสอบ
* **อธิบายแบบจริงจัง:** เป็นเครือข่ายที่อยู่กึ่งกลางระหว่าง Public และ Private Blockchain การเข้าถึงและการมีส่วนร่วมจะถูกจำกัดเฉพาะกลุ่มองค์กรหรือบุคคลที่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตรที่ตกลงจะใช้บล็อกเชนร่วมกัน โดยปกติแล้ว จะมีผู้ดูแล (Validator Node) หลายรายที่เป็นตัวแทนจากแต่ละองค์กรในกลุ่ม ร่วมกันตรวจสอบและยืนยันธุรกรรม
* **ข้อดี:** มีการกระจายอำนาจมากกว่า Private Blockchain เนื่องจากไม่ได้ถูกควบคุมโดยองค์กรเดียว แต่อยู่ภายใต้การดูแลของกลุ่มพันธมิตร มักมีประสิทธิภาพและความเร็วในการทำธุรกรรมที่ดีกว่า Public Blockchain และเหมาะมากสำหรับการทำงานร่วมกันระหว่างหลายฝ่ายที่ต้องแชร์ข้อมูลบางอย่าง
* **ข้อเสีย:** ยังคงมีการกระจายอำนาจน้อยกว่า Public Blockchain และการตัดสินใจต่างๆ ขึ้นอยู่กับการตกลงกันของกลุ่มพันธมิตรที่ดูแล
* **ตัวอย่าง:** มีการนำ Consortium Blockchain ไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การเงิน (กลุ่มธนาคารใช้ในการชำระเงินระหว่างกัน), การจัดการซัพพลายเชน (หลายบริษัทในห่วงโซ่มาใช้ระบบร่วมกัน)

4. **Hybrid Blockchain (บล็อกเชนแบบผสมผสาน):**
* **ลองนึกภาพ:** นี่คืออาคารสำนักงานที่มีทั้งพื้นที่สาธารณะ (เช่น ร้านกาแฟด้านล่างที่ใครก็เข้ามาได้) และพื้นที่ส่วนตัว (เช่น ออฟฟิศแต่ละชั้นที่ต้องมีคีย์การ์ด)
* **อธิบายแบบจริงจัง:** เป็นบล็อกเชนที่รวมเอาข้อดีของ Public และ Private Blockchain เข้าไว้ด้วยกัน โดยข้อมูลบางส่วนอาจถูกบันทึกบนเครือข่ายสาธารณะเพื่อให้เกิดความโปร่งใส ในขณะที่ข้อมูลที่ละเอียดอ่อนบางส่วนจะถูกเก็บไว้ในเครือข่ายส่วนตัว และการเข้าถึงต้องได้รับอนุญาต ทำให้สามารถปรับใช้ให้เข้ากับความต้องการเฉพาะทางได้มากกว่า
* **ข้อสรุป:** เน้นความยืดหยุ่น ผสมผสานระหว่างความโปร่งใสของ Public และการควบคุมความเป็นส่วนตัวของ Private Blockchain เข้าด้วยกัน

สรุปแล้ว เมื่อมีคนถามว่า blockchain มีกี่ประเภท เราก็ตอบได้เลยว่าโดยหลักๆ มี 4 ประเภทนี่แหละครับ คือ สาธารณะ (Public), ส่วนตัว (Private), กลุ่มพันธมิตร (Consortium), และแบบผสมผสาน (Hybrid) แต่ละประเภทก็มีจุดเด่น จุดด้อย และความเหมาะสมในการนำไปใช้งานที่แตกต่างกันออกไป

**ทำไมต้องมี “ชั้น” ในบล็อกเชน? เรื่องของ Layer ที่หลายคนงง**

นอกจากประเภทของบล็อกเชนแล้ว คุณสมชายอาจเคยได้ยินเรื่อง “บล็อกเชน Layer 1, Layer 2, ฯลฯ” มาบ้าง แล้วมันคืออะไรอีกล่ะ? ง่ายๆ เลยครับ มันคือสถาปัตยกรรม (Architecture) ของเครือข่ายบล็อกเชน ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาเรื่อง “การปรับขนาด” หรือ “Scalability”

ลองนึกภาพถนนมอเตอร์เวย์สายหลัก (Layer 1) ที่ตอนแรกๆ รถไม่เยอะก็วิ่งสบาย แต่พอคนใช้เยอะขึ้นเรื่อยๆ ก็เริ่มติด เริ่มช้า ค่าผ่านทางก็แพงขึ้น (อันนี้เปรียบกับ Gas Fee หรือค่าธรรมเนียมธุรกรรมในบล็อกเชนนะ) นักพัฒนาเลยต้องหาทางแก้ปัญหาให้ถนนสายหลักมันรองรับรถได้มากขึ้น โดยที่ไม่ต้องไปสร้างถนนสายหลักใหม่ทั้งเส้น ซึ่งทำได้ยากและเสียเวลา นี่คือที่มาของ Layer ต่างๆ ครับ

* **Layer 0 (ชั้นรากฐาน):** ลองนึกภาพเป็นโครงสร้างพื้นฐานเบื้องหลังทั้งหมด เช่น ถนน ทางรถไฟ สัญญาณไฟจราจร หรือแม้กระทั่งอินเทอร์เน็ตและฮาร์ดแวร์ที่ทำให้ Layer 1 ทำงานได้ Layer 0 มีเป้าหมายเชื่อมโยงบล็อกเชนต่างๆ เข้าด้วยกัน ทำให้การโอนย้ายข้อมูลหรือสินทรัพย์ข้ามเชนทำได้ง่ายขึ้น (Cross-Chain Interoperability) ตัวอย่างโครงการที่ทำงานระดับนี้ก็เช่น Cosmos หรือ Polkadot
* **Layer 1 (ชั้นพื้นฐาน):** นี่คือตัวบล็อกเชนหลักๆ ที่เราคุ้นเคยกัน เป็นรากฐานของการทำธุรกรรมและเน้นเรื่องความปลอดภัย เช่น บิตคอยน์ (Bitcoin), อีเธอเรียม (Ethereum), หรือ Cardano ปัญหาหลักของ Layer 1 ที่มีคนใช้เยอะๆ คือเรื่องความเร็วในการทำธุรกรรมที่ช้าลง และค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้นอย่างที่บอกไป
* **Layer 2 (ชั้นแก้ไขปัญหา):** นี่คือทางด่วน หรือถนนเส้นใหม่ที่สร้างขึ้น *บน* Layer 1 เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระ Layer 1 ครับ หลักการคือจะนำธุรกรรมจำนวนมากจาก Layer 1 มาประมวลผลนอกเชนหลักก่อน (Off-chain) พอประมวลผลเสร็จเรียบร้อยแล้ว ค่อยส่งข้อมูลสรุปกลับไปบันทึกบน Layer 1 อีกที ทำให้ธุรกรรมรวดเร็วขึ้นและค่าธรรมเนียมถูกลงมาก
* มีหลายวิธีในการทำ Layer 2 เช่น State Channels (อย่าง Lightning Network ของบิตคอยน์ ช่วยให้การโอนบิตคอยน์จำนวนน้อยๆ เร็วขึ้นและถูกลงมาก) หรือ Sidechains (เหมือนสร้างบล็อกเชนแยกออกมาอีกอัน แต่ยังเชื่อมโยงกับ Layer 1 อย่าง Polygon ที่พัฒนาขึ้นมาแก้ปัญหาของ Ethereum)
* **Layer 3 (ชั้นแอปพลิเคชัน):** นี่คือชั้นที่เราเป็นผู้ใช้งานจะได้สัมผัสโดยตรงครับ มันคือพวกแอปพลิเคชันต่างๆ ที่ทำงานอยู่บนบล็อกเชน หรือที่เราเรียกว่า DApps (Decentralized Applications) เหมือนกับแอปฯ ที่เราโหลดมาใช้ในมือถือ หรือเว็บไซต์ที่เราเข้าใช้งาน Layer 3 มักเน้นเรื่องการเชื่อมต่อข้ามเชนเพื่อให้ผู้ใช้เข้าถึงบริการต่างๆ บนบล็อกเชนที่หลากหลายได้จากแอปฯ เดียว ตัวอย่างก็เช่น แอปฯ ที่เกี่ยวข้องกับการเงินแบบไร้ตัวกลาง (DeFi) หรือแพลตฟอร์มซื้อขาย NFT (Non-Fungible Token)

ดังนั้น โครงสร้างบล็อกเชนแบบ Layer ก็เหมือนการสร้างตึกที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ มีฐานรากที่แข็งแรง มีชั้นหลักที่รับน้ำหนัก และมีชั้นเสริมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งาน พร้อมกับชั้นบนสุดที่เป็นตัวแอปพลิเคชันให้ผู้ใช้ทั่วไปได้สัมผัสครับ

**บล็อกเชนเอาไปทำอะไรได้บ้าง? ไม่ได้มีแค่คริปโทฯ นะ!**

เห็นไหมครับว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนมันมีอะไรซับซ้อนกว่าที่คิด และมีหลายรูปแบบให้เลือกใช้ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ แล้วไอ้เจ้าสิ่งนี้มันเอาไปทำอะไรได้บ้างล่ะ? คำตอบคือ “เยอะมาก!” นอกเหนือจากคริปโทเคอร์เรนซีแล้ว บล็อกเชนกำลังเข้าไปปฏิวัติวงการต่างๆ ทั่วโลกครับ

* **การเงิน:** แน่นอนว่าเป็นวงการแรกๆ ที่ได้ประโยชน์ เพราะบล็อกเชนทำให้การโอนเงินข้ามประเทศทำได้เร็วขึ้น ถูกลง และปลอดภัยขึ้น ลดบทบาทของตัวกลางอย่างธนาคารหรือสถาบันการเงินแบบดั้งเดิม (แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะมาแทนที่ได้ทั้งหมดนะ) อย่างตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (Singapore Exchange) ก็เคยมีการนำบล็อกเชนมาใช้ในการชำระเงินระหว่างธนาคารเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
* **การจัดการซัพพลายเชน (Supply Chain) และการขนส่ง:** ลองนึกภาพการติดตามสินค้าตั้งแต่แหล่งผลิต จนถึงมือผู้บริโภค ด้วยบล็อกเชน ข้อมูลการขนส่ง ที่มาของวัตถุดิบ (โดยเฉพาะอาหาร) จะถูกบันทึกอย่างโปร่งใสและแก้ไขไม่ได้ ทำให้ตรวจสอบย้อนกลับได้ง่ายขึ้น ลดการปลอมปน หรือการโกง ตัวอย่างเช่น Amazon ก็เคยมีการใช้ระบบกระจายศูนย์เพื่อตรวจสอบสินค้าของแท้
* **การจัดเก็บข้อมูลและการยืนยันตัวตน:** ข้อมูลส่วนตัวสำคัญๆ หรือเอกสารต่างๆ สามารถนำมาจัดเก็บในรูปแบบที่ปลอดภัยและควบคุมการเข้าถึงได้ง่ายขึ้นบนบล็อกเชน ลดความเสี่ยงจากการถูกแฮ็กฐานข้อมูลขนาดใหญ่ หรือการสวมรอยยืนยันตัวตน
* **อสังหาริมทรัพย์:** กระบวนการซื้อขายอสังหาฯ ที่เต็มไปด้วยเอกสารและคนกลาง สามารถทำให้รวดเร็วและลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์ลงได้ด้วยบล็อกเชน
* **วงการพลังงาน:** สร้างแพลตฟอร์มที่ให้ผู้ใช้สามารถซื้อขายพลังงานสะอาดระหว่างกันได้โดยตรง เช่น บ้านที่มีแผงโซลาร์เซลล์ สามารถขายไฟฟ้าส่วนเกินให้เพื่อนบ้านได้ ผ่านระบบบล็อกเชน
* **สื่อและความบันเทิง:** ช่วยเรื่องการจัดการลิขสิทธิ์ การจ่ายค่าตอบแทนให้ศิลปินอย่างยุติธรรมและโปร่งใส (เช่น Sony Music Entertainment Japan เคยนำมาใช้จัดการสิทธิ์ดิจิทัล)
* **การสาธารณสุข:** การเก็บประวัติและข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยให้ปลอดภัย เข้าถึงได้เฉพาะผู้ได้รับอนุญาต
* **การเลือกตั้ง:** แม้จะยังอยู่ในช่วงทดลอง แต่บล็อกเชนก็มีศักยภาพในการเพิ่มความโปร่งใสและปลอดภัยให้กับระบบการเลือกตั้ง ลดช่องโหว่การทุจริต

และอีกมากมายหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นการค้าปลีก (ใช้คริปโทฯ จ่ายเงิน), ธุรกิจทั่วไป (เก็บบันทึกข้อมูลภายใน), หรือแม้กระทั่งหน่วยงานภาครัฐ ก็เริ่มมองหาการนำบล็อกเชนมาใช้เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือในการดำเนินงานและปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อน

อย่างในกรณีของ JFIN Chain และ JFIN Token ที่ผมกล่าวถึงก่อนหน้านี้ ก็นับเป็นการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาประยุกต์ใช้ในเชิงธุรกิจจริงครับ JFIN Token ไม่ได้เป็นแค่สกุลเงินดิจิทัลที่เก็งกำไรอย่างเดียว แต่เป็น Utility Token (โทเคนอรรถประโยชน์) ที่ผู้ถือสามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่างๆ ใน Ecosystem ของ Jaymart ได้ เช่น ใช้ Staking เพื่อช่วยให้เครือข่าย JFIN Chain ปลอดภัยและได้รับผลตอบแทน ใช้แลกสินค้า/บริการในเครือ Jaymart หรือใช้ซื้อขาย NFT บนแพลตฟอร์ม JNFT นี่ก็เป็นตัวอย่างที่เห็นภาพชัดเจนของการนำบล็อกเชนมาใช้สร้างประโยชน์จริงครับ

**ตลาดบล็อกเชนเติบโตแค่ไหน? ตัวเลขบอกอะไรเราบ้าง**

ถ้ามองภาพรวมในระดับโลก เทคโนโลยีบล็อกเชนไม่ได้เป็นแค่เรื่องของคนกลุ่มเล็กๆ อีกต่อไปครับ

จากข้อมูลในปี 2021 มีรายงานว่า **มากกว่า 300 ล้านคนทั่วโลก** เป็นเจ้าของหรือเคยใช้สกุลเงินดิจิทัล ซึ่งหมายความว่าคนจำนวนมหาศาลเหล่านี้ได้มีปฏิสัมพันธ์กับส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีบล็อกเชนแล้ว (อ้างอิงจาก TripleA และ Grandview Research)

ขนาดตลาดโลกของเทคโนโลยีบล็อกเชนโดยรวมก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และมีแนวโน้มเติบโตสูงกว่าที่นักวิเคราะห์เคยคาดการณ์ไว้ (อ้างอิงจาก Grandview Research) เฉพาะในภาคส่วนสาธารณสุขเอง ก็มีการคาดการณ์จาก Vantage Market Research ว่าขนาดตลาดโลกของเทคโนโลยีบล็อกเชนในภาคนี้จะมีมูลค่าสูงถึง **1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2028** สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากความต้องการระบบข้อมูลด้านสุขภาพที่ปลอดภัยและโปร่งใสมากขึ้นในช่วงวิกฤตโรคระบาดที่ผ่านมา

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า บล็อกเชนกำลังได้รับการยอมรับและนำไปใช้ในวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่ในวงการคริปโทฯ แต่กำลังเข้าไปมีบทบาทในอุตสาหกรรมหลักๆ ของโลก

**สรุปส่งท้าย: บล็อกเชนไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่ก็ต้องเข้าใจก่อนลงทุน**

จากที่คุยกันมาทั้งหมด เราก็ได้รู้แล้วนะครับว่า บล็อกเชนคืออะไร มีคุณสมบัติเด่นอะไรบ้าง ที่สำคัญคือเราได้รู้คำตอบของคุณสมชายแล้วว่า blockchain มีกี่ประเภท ซึ่งหลักๆ มี 4 ประเภท และยังเข้าใจเรื่องโครงสร้างแบบ Layer ที่ช่วยให้บล็อกเชนสามารถขยายตัวรองรับผู้ใช้งานได้มากขึ้น รวมถึงเห็นตัวอย่างการนำไปประยุกต์ใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม

เทคโนโลยีบล็อกเชนเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นและมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการทำสิ่งต่างๆ ในโลกนี้อีกมาก ไม่ว่าจะเป็นการเงิน การบริหารข้อมูล หรือแม้กระทั่งการโหวตเลือกตั้ง

สำหรับนักลงทุน หรือคนที่สนใจอยากเข้ามาในโลกนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือ “การศึกษาทำความเข้าใจ” ครับ อย่าเพิ่งรีบตามกระแสหรือลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลที่เกี่ยวข้องกับบล็อกเชนเพียงเพราะเห็นว่าราคาขึ้น หรือมีคนพูดถึงเยอะ

* **ทำความเข้าใจเทคโนโลยี:** เราไม่ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับเขียนโค้ดได้ แต่ควรเข้าใจพื้นฐานว่ามันทำงานยังไง มีประเภทไหนบ้าง แต่ละประเภทเหมาะกับงานแบบไหน
* **ศึกษาโครงการหรือสินทรัพย์ที่สนใจ:** แต่ละโครงการบล็อกเชน (เช่น Bitcoin, Ethereum, หรือแม้กระทั่ง JFIN Chain ที่เป็นตัวอย่างของไทย) ก็มีเป้าหมาย มีทีมงาน มีเทคโนโลยี และมี Use Case ที่แตกต่างกันไป
* **ประเมินความเสี่ยง:** ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมีความผันผวนสูงมาก ราคาสามารถขึ้นหรือลงได้อย่างรวดเร็ว เราต้องยอมรับความเสี่ยงตรงนี้ให้ได้ และไม่ควรนำเงินทั้งหมดที่มีมาลงทุน
* **เริ่มต้นจากน้อยๆ:** หากสนใจจริงๆ ลองเริ่มต้นลงทุนด้วยเงินจำนวนน้อยๆ ที่เรายอมรับความเสี่ยงที่จะสูญเสียไปได้ทั้งหมดก่อน เพื่อเรียนรู้และทำความเข้าใจตลาดจริงๆ

⚠️ **คำเตือน:** การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน และควรลงทุนด้วยเงินที่สามารถยอมรับการสูญเสียได้เท่านั้น หากคุณมีเงินสดหมุนเวียนไม่สูง หรือมีภาระค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้เงินสดในอนาคตอันใกล้ อาจต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนนำเงินส่วนนั้นมาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงแบบนี้

หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณผู้อ่านเข้าใจเทคโนโลยีบล็อกเชนและประเภทต่างๆ ของมันได้ง่ายขึ้นนะครับ โลกของการเงินและเทคโนโลยีมันเปลี่ยนแปลงเร็วมาก การตามให้ทันและทำความเข้าใจอย่างถูกต้องคือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดของเราครับ

LEAVE A RESPONSE