Banking Technology เปลี่ยนชีวิตการเงิน: AI, คลาวด์ และความปลอดภัยที่คุณต้องรู้

ลองสังเกตกันดูไหมครับว่า เดี๋ยวนี้เรื่องเงินๆ ทองๆ มันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ… เพื่อนผมชื่อ “เก่ง” เพิ่งมาบ่นให้ฟังว่า เมื่อก่อนต้องไปต่อคิวที่ธนาคารนานๆ กว่าจะทำธุรกรรมเสร็จแต่ละอย่าง เดี๋ยวนี้กดแอปบนมือถือแป๊บเดียว โอนเงิน จ่ายบิล เช็คยอด ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย แถมบางทียังมีบริการแนะนำการลงทุนง่ายๆ โผล่ขึ้นมาอีก… ใช่ครับ นี่แหละคืออิทธิพลของ เทคโนโลยีธนาคาร (banking technology) ที่กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าวงการเงินๆ ทองๆ บ้านเราแบบหน้ามือเป็นหลังมือเลยจริงๆ
ไม่ใช่แค่บ้านเราหรอกครับ ทั่วโลก ธนาคารกำลังลงทุนมหาศาลในเรื่อง เทคโนโลยีธนาคาร ยุคใหม่ๆ อย่างบริการช่วยลงทุนอัตโนมัติที่เรียกว่า **Robo-investing** แพลตฟอร์มขอสินเชื่อผ่านมือถือ หรือระบบจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) ที่ฉลาดล้ำโดยใช้ **Machine Learning** เพื่อให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้น เร็วขึ้น ปลอดภัยขึ้น และที่สำคัญ… ตรงใจลูกค้าอย่างเราๆ มากขึ้น เพราะ เทคโนโลยีธนาคาร กลายเป็นส่วนประกอบที่ขาดไม่ได้ในการให้บริการที่ตอบโจทย์ยุคดิจิทัลไปแล้วครับ
ทำไมธนาคารถึงลงทุนเรื่องนี้หนักขนาดนั้น? ง่ายๆ เลยครับ เพราะอยากให้เราๆ ท่านๆ ใช้บริการได้สะดวก รวดเร็ว และตรงใจมากขึ้นกว่าเดิม ธนาคารกำลังวิ่งเข้าสู่ยุค การแปลงสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) อย่างเต็มกำลัง เพื่อเพิ่มความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภายในให้ทำงานประสานกันได้ดีขึ้น และแน่นอน… เพื่อยกระดับประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าอย่างเราๆ นี่แหละครับ

หัวใจสำคัญอย่างหนึ่งที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้คือเรื่อง ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่ตอนนี้แทรกซึมไปแทบทุกอณูของงานธนาคาร ตั้งแต่การใช้ **AI** และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกมาช่วยทำความเข้าใจพฤติกรรมลูกค้า เพื่อเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ใช่แบบ การสร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคล (Personalization) ไปจนถึงการช่วยเรื่องความปลอดภัย การประเมินความเสี่ยง และการปฏิบัติงานภายใน
เบื้องหลังความสะดวกสบายที่เราเห็นในแอปพลิเคชันหรือบริการต่างๆ คือการยกเครื่องระบบเก่าๆ ที่เรียกว่า ระบบแกนหลักของธนาคาร (Core Banking System) กันขนานใหญ่ หลายแห่งกำลังย้ายระบบเหล่านี้ไปไว้บน ระบบคลาวด์ (Cloud) กันมากขึ้น ลองดูข้อมูลจาก **Gartner** ที่ชี้ว่า ธนาคารชั้นนำ 100 แห่งทั่วโลกถึง 63% กำลังทำแบบนี้หรือเตรียมการอยู่ การย้ายขึ้น ระบบคลาวด์ ทำให้ระบบยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนหรืออัปเดตได้ไว ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ต้องรอนานแสนนาน แถมยังมีการนำสถาปัตยกรรมแบบ **Composability** มาใช้ ทำให้ระบบแยกส่วนกันอิสระ ปรับเปลี่ยนหรืออัปเดตทีละส่วนได้ ลดความเสี่ยงที่จะกระทบกับระบบใหญ่ทั้งหมด
นอกจากนี้ยังมีเทรนด์ที่น่าสนใจอย่าง **Hyperautomation** ซึ่งเป็นการนำ **AI** และ **Machine Learning** มารวมกับเทคโนโลยีอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการทำงาน ลดต้นทุน และลดความผิดพลาดที่เกิดจากคน และที่มาแรงสุดๆ ตอนนี้ก็คือ **Generative AI** ที่ธนาคารเริ่มนำมาศึกษาเพื่อใช้ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ หรือช่วยในการสื่อสารกับลูกค้า

อีกแนวโน้มที่กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าวงการคือ **Open Banking** และ **Embedded Finance** ลองนึกภาพว่าธนาคารเปิดให้แอปหรือบริการอื่นๆ ภายนอกสามารถเชื่อมต่อข้อมูล (ภายใต้การยินยอมของเรา) เพื่อนำเสนอบริการที่หลากหลายขึ้น หรือการที่บริการทางการเงินไปฝังอยู่ในแอปที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ซื้อของออนไลน์แล้วมีตัวเลือกจ่ายเงินหรือผ่อนจากธนาคารโผล่มาทันที นี่คือสิ่งที่ เทคโนโลยีธนาคาร กำลังทำให้เป็นจริง
แน่นอนว่า การก้าวกระโดดทาง เทคโนโลยีธนาคาร ก็มาพร้อมความท้าทายมหาศาล คุณอาจจะสงสัยว่า มีเทคโนโลยีดีๆ เต็มไปหมด ทำไมบางธนาคารยังดูช้าๆ อยู่? ปัญหาหลักๆ เลยคือเรื่อง ระบบเก่าแก่ (Legacy Systems) ที่มีอยู่เต็มไปหมด การจะบูรณาการหรือเชื่อมต่อเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ากับระบบโบราณพวกนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับ เหมือนพยายามเอาหัวชาร์จ **USB-C** ไปเสียบกับโทรศัพท์บ้านรุ่นไดอัลหมุน แถมการลงทุนใน เทคโนโลยีธนาคาร ใหม่ๆ ก็ต้องใช้เงินมหาศาล จะประเมินว่าคุ้มค่ากับการลงทุนแค่ไหนก็เป็นเรื่องที่ต้องคิดหนัก
แต่ที่น่ากังวลที่สุดและเป็นความท้าทายอันดับหนึ่งคือเรื่อง ความปลอดภัยทางไซเบอร์ หรือ ไซเบอร์ซีเคียวริตี้ (Cybersecurity) ข้อมูลจาก **Conference of State Bank Supervisors** หน่วยงานกำกับดูแลระดับรัฐในอเมริกา ชี้ว่า ธนาคารถึง 70% บอกว่าเรื่องนี้คือข้อกังวลด้าน เทคโนโลยีธนาคาร อันดับต้นๆ เลย ขณะที่ผลสำรวจของ **Gartner** ในปี 2023 ก็พบว่า 66% ของ CIOs หรือผู้บริหารสูงสุดด้าน IT ยกให้เรื่อง ไซเบอร์ซีเคียวริตี้ และความเป็นส่วนตัวเป็นสิ่งที่ลงทุนอันดับแรก ยิ่งมีข้อมูลลูกค้ามหาศาล ยิ่งเป็นเป้าโจมตีของมิจฉาชีพ การรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ๆ อย่าง **Deepfakes** หรือการโจมตีที่ซับซ้อนขึ้น เป็นเรื่องที่ธนาคารต้องทำงานหนักทุกวันทุกคืน
ปัญหาอีกอย่างที่พบคือการขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะด้าน เทคโนโลยีธนาคาร โดยตรง มีระบบใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่คนที่เข้าใจระบบเหล่านี้อย่างลึกซึ้งและสามารถบริหารจัดการหรือพัฒนานวัตกรรมต่อยอดได้ยังมีไม่เพียงพอ
เรื่อง ความปลอดภัย ไม่ใช่แค่ป้องกันการแฮกเท่านั้นครับ แต่รวมถึงการต่อสู้กับการ การฉ้อโกง (Fraud) ในรูปแบบต่างๆ ด้วย **AI** และ **Data Analytics** (การวิเคราะห์ข้อมูล) เข้ามาช่วยตรวจจับพฤติกรรมที่ผิดปกติและป้องกันการทุจริตได้รวดเร็วและแม่นยำขึ้น
ในมุมของ กฎระเบียบ (Regulation) ก็ซับซ้อนไม่แพ้กัน ยิ่งมีเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง สินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Assets) หรือ **Stablecoins** เข้ามาในระบบการเงิน ก็มีการพูดคุยกันถึงกรอบ กฎระเบียบ ที่เหมาะสมเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและรักษาเสถียรภาพของระบบ เช่น แนวคิดที่เรียกว่า “ความเสี่ยงเท่ากัน กฎระเบียบ เท่ากัน” ธนาคารยังต้องปรับปรุงขั้นตอนการยืนยันตัวตนลูกค้า (Customer Identification Program – CIP) ให้ทันสมัยอยู่เสมอ และต้องระวังความเสี่ยงที่เกิดจากคู่ค้าภายนอก (Third-Party และ Fourth-Party) ที่เชื่อมต่อเข้ามาในระบบของธนาคารด้วย
ถ้ามองย้อนไป 55 ปี เราจะเห็นเลยว่า เทคโนโลยีธนาคาร มาไกลมากจริงๆ ครับ จากยุค 70s ที่เริ่มใช้ระบบโอนเงินระหว่างประเทศอย่าง **SWIFT** หรือระบบหักบัญชีอัตโนมัติ (ACH) เพื่อลดการใช้เช็คกระดาษ… มาสู่ยุค 80s ที่เริ่มมี **Online Banking** ยุคแรกๆ ให้เข้าถึงผ่านสายโทรศัพท์ และความนิยมของโปรแกรมอย่าง **Spreadsheets** ที่ช่วยบริหารเงินส่วนบุคคล… ยุค 90s ที่อินเทอร์เน็ตเข้ามาเปลี่ยนโลก มี E-commerce และการส่ง **SMS** ครั้งแรก ซึ่งต่อยอดไปสู่ Mobile Banking ในภายหลัง รวมถึงการเปิดตัว **PayPal** ที่ทำให้การส่งเงินออนไลน์ง่ายขึ้น… จนมาถึงปัจจุบันที่เราใช้ **AI** ในการให้คำปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคลหรือบริหารเงินที่ซับซ้อนขึ้นได้ นี่คือการเดินทางที่ไม่เคยหยุดนิ่งจริงๆ ครับ (ข้อมูลอ้างอิงจาก **MX** ผ่าน **FinTech Futures**)
สรุปแล้ว เทคโนโลยีธนาคาร ไม่ใช่แค่เรื่องของธนาคารอีกต่อไปครับ แต่มันคือชีวิตประจำวันของเราๆ ท่านๆ ที่ทำธุรกรรมการเงินผ่านช่องทางดิจิทัลต่างๆ ยิ่ง เทคโนโลยีธนาคาร พัฒนาไปมากเท่าไหร่ ชีวิตทางการเงินของเราก็ยิ่งสะดวกสบายและเข้าถึงบริการได้หลากหลายขึ้น อย่างที่เราเห็นตัวเลขผู้ใช้งาน **Digital Banking** และ **Mobile Banking** เติบโตต่อเนื่อง (เช่น ผู้ใช้ **Chase Mobile Active** ในอเมริกาเพิ่มขึ้น 10% ในช่วงหนึ่งปี) หรือคนถึง 41% ที่บอกว่าอยากได้ข้อเสนอหรือข้อมูลเฉพาะบุคคลจากธนาคารมากขึ้น (ที่มา: **McKinsey**)
แล้วในฐานะผู้ใช้งาน เราควรทำยังไงล่ะ? อย่างแรกเลยคือ ลองสำรวจดูว่าธนาคารที่เราใช้อยู่ มีแอปพลิเคชันหรือบริการดิจิทัลที่ตอบโจทย์ความต้องการของเราในชีวิตประจำวันไหม สะดวก ปลอดภัยพอหรือเปล่า? ลองดูรีวิวหรือข่าวสารเกี่ยวกับความปลอดภัยของธนาคารนั้นๆ ครับ และที่สำคัญที่สุด… เรื่อง ความปลอดภัย ในการทำธุรกรรมออนไลน์ เราเองก็ต้องช่วยตัวเองด้วย ไม่คลิกลิงก์น่าสงสัย ไม่บอกรหัสผ่าน **OTP** หรือข้อมูลส่วนตัวกับใครเด็ดขาดนะครับ มิจฉาชีพเองก็ใช้ เทคโนโลยีธนาคาร ในทางที่ผิดเหมือนกัน
⚠️ การใช้งานบริการ เทคโนโลยีธนาคาร ต่างๆ หรือการลงทุนในผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่นำ เทคโนโลยีธนาคาร มาใช้ ย่อมมีความเสี่ยง ผู้ใช้งานควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับบริการและ ความปลอดภัย ให้รอบคอบ และระมัดระวังภัยทางไซเบอร์อยู่เสมอ หากมีข้อสงสัย ควรปรึกษาเจ้าหน้าที่ธนาคารหรือผู้เชี่ยวชาญทางการเงินที่เชื่อถือได้ก่อนตัดสินใจครับ