เคยสงสัยไหมว่า ทำไมเดี๋ยวนี้เรื่องเงินๆ ทองๆ ของเราถึงง่ายขึ้นเยอะเลย? จะโอนเงิน จ่ายบิล เปิดบัญชี หรือแม้แต่ลงทุน ก็จิ้มๆ บนมือถือไม่กี่ทีก็เสร็จแล้ว ไม่เหมือนสมัยก่อนที่จะทำอะไรแต่ละอย่างต้องไปต่อคิวยาวเหยียดที่ธนาคาร นั่นแหละครับ หนึ่งในหัวใจสำคัญที่ทำให้ชีวิตทางการเงินเราสะดวกสบายขึ้นแบบก้าวกระโดด ก็คือ “ฟินเทค” (Fintech) หรือ “เทคโนโลยีทางการเงิน” นั่นเอง
พูดง่ายๆ ก็คือ ฟินเทคมันคือการเอาเทคโนโลยีสุดล้ำ ทั้งที่เราเห็นชัดๆ หรือที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง มาประยุกต์ใช้กับโลกการเงิน เพื่อสร้างสิ่งใหม่ๆ ที่ช่วยให้เราจัดการเงินได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น ปลอดภัยขึ้น แถมหลายๆ อย่างยังช่วยลดต้นทุนด้วยนะ มันเหมือนเป็นการ “ดิสรัปต์” หรือพลิกโฉมระบบการเงินแบบเดิมๆ ให้เข้ากับยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยและผู้เชี่ยวชาญหลายๆ ท่านก็ยืนยันตรงกันว่า ฟินเทคกำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตเรามากขึ้นเรื่อยๆ ครับ

ทีนี้ ฟินเทคเนี่ย มันไม่ได้มีแค่แบบเดียว มันมีหลายแขนงมากๆ ขึ้นอยู่กับว่าจะเอาไปใช้ทำอะไรบ้าง ลองมาดูกันสักหน่อยไหมครับว่ามีอะไรที่คุ้นๆ หูเราบ้าง
หนึ่งในฟินเทคที่ใกล้ตัวเราที่สุด ใช้กันทุกวันจนบางทีแทบจะลืมไปแล้วว่านี่คือฟินเทค นั่นก็คือ Banking Technology (เทคโนโลยีระบบธนาคาร) ครับ แล้วไอ้เจ้า `banking technology คือ` อะไรกันแน่? มันก็คือการที่ธนาคารนำเอาเทคโนโลยีมาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกให้เรา ซึ่งเป็นลูกค้า สามารถทำธุรกรรมต่างๆ ได้ด้วยตัวเองผ่านช่องทางดิจิทัล โดยไม่ต้องเดินไปที่สาขาอีกต่อไป ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือ Mobile Banking (โมบายล์แบงก์กิ้ง) ไงครับ แอปพลิเคชันบนมือถือของธนาคารต่างๆ ที่ให้เราเช็กยอดเงิน โอนเงิน จ่ายค่าสินค้าบริการ หรือแม้แต่ขอสินเชื่อเล็กๆ น้อยๆ ได้ทุกที่ทุกเวลา อย่างที่เราคุ้นเคยกันดี เช่น แอปฯ SCB Easy ของธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นต้น นี่แหละคือภาพจำของ `banking technology` ที่ใช้งานง่ายและแพร่หลายมากๆ ในบ้านเรา
แต่ฟินเทคไม่ได้มีแค่เรื่องธนาคารนะ ยังมีอีกหลายประเภทเลยครับ เช่น:
* **Crowdfunding Platforms (แพลตฟอร์มระดมทุน)**: เป็นเหมือนตลาดออนไลน์ที่เชื่อมคนอยากได้เงินทุน (ผู้ประกอบการ) กับคนอยากลงทุนเข้าด้วยกัน ผู้ประกอบการสามารถหาเงินทุนจากคนจำนวนมาก แทนที่จะต้องไปกู้ธนาคารอย่างเดียว ส่วนนักลงทุนรายย่อยก็มีโอกาสเลือกลงทุนในธุรกิจหรือโครงการที่สนใจได้ ตัวอย่างในไทยก็มี PeerPower ที่ให้ลงทุนในหุ้นกู้คราวด์ฟันดิง หรือ Refinn ที่ช่วยระดมทุนรีไฟแนนซ์บ้าน

* **Cryptocurrency (สกุลเงินดิจิทัล)**: อันนี้ฮิตมากในช่วงที่ผ่านมา มันคือเงินที่อยู่ในรูปแบบดิจิทัลล้วนๆ สร้างขึ้นด้วยระบบคอมพิวเตอร์ มักใช้เทคโนโลยี Blockchain (บล็อกเชน) เป็นพื้นฐาน สามารถใช้ซื้อของหรือเก็งกำไรได้เหมือนเงินจริง สกุลแรกๆ ที่ดังมากๆ ก็คือ Bitcoin (บิตคอยน์) แม้จะมีความผันผวนสูงและมีความเสี่ยง แต่หลายคนมองว่าเป็นระบบการเงินแห่งอนาคต
* **Payment Technology (เทคโนโลยีระบบชำระเงิน)**: อันนี้ก็ใกล้ตัวสุดๆ อีกประเภทหนึ่ง ทำให้การจ่ายเงินง่ายเหมือนปอกกล้วย ไม่ต้องพกเงินสดเยอะๆ ตัวอย่างก็คือ E-Wallet (อี-วอลเล็ต) หรือกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น PromptPay (พร้อมเพย์), TrueMoney Wallet หรือ Rabbit LINE Pay รวมถึงระบบบัตรเครดิตอย่าง VISA ด้วย มันต่างจาก Mobile Banking ตรงที่เจ้าของแพลตฟอร์มพวกนี้อาจจะไม่ใช่ธนาคารเสมอไป และมักจะเน้นไปที่บริการจ่ายเงินเป็นหลัก
* **Investment Management (เทคโนโลยีการจัดการลงทุน)**: ใครว่าลงทุนเป็นเรื่องยาก? ฟินเทคทำให้การลงทุนเข้าถึงง่ายขึ้นเยอะครับ มีแอปพลิเคชันลงทุนมากมายให้เลือก ทั้งแอปฯ ซื้อขายหุ้น (อย่าง Streaming) ซื้อขายคริปโทฯ (อย่าง Bitkub) หรือแม้แต่ใช้ AI วิเคราะห์หุ้น หรือใช้ Robo Advisor (โรโบแอดไวเซอร์) ซึ่งเป็นระบบอัตโนมัติช่วยจัดพอร์ตการลงทุนให้เราตามความเสี่ยงที่รับได้
เห็นไหมครับว่าฟินเทคมันหลากหลายมากๆ และแต่ละประเภทก็เข้ามาช่วยแก้ปัญหา หรือเพิ่มโอกาสในแง่มุมต่างๆ ของการเงิน
แล้วอะไรคือเทคโนโลยีเบื้องหลังที่ทำให้ฟินเทคทำงานได้อย่างราบรื่นล่ะ? มีหลายอย่างเลยครับที่น่าสนใจ:
* **Blockchain (บล็อกเชน)**: เทคโนโลยีตัวนี้กำลังมาแรงมากๆ ครับ มันคือระบบบัญชีแบบกระจายศูนย์ที่ข้อมูลถูกบันทึกไว้ในหลายๆ ที่พร้อมกัน ทำให้มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และแก้ไขยากมากๆ ซึ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือและความปลอดภัย เดิมเป็นหัวใจหลักของสกุลเงินดิจิทัล แต่ตอนนี้กำลังถูกนำไปใช้ในงานอื่นๆ ในภาคการเงินด้วย เช่น การออกหนังสือค้ำประกันแบบดิจิทัล หรือการจัดการเอกสารการค้า
* **Biometrics (ข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล)**: การใช้ลายนิ้วมือหรือใบหน้าของเราในการปลดล็อกมือถือ หรือยืนยันตัวตนเข้าแอปฯ Mobile Banking นี่แหละคือ Biometrics มันช่วยเพิ่มความสะดวกและปลอดภัยในการเข้าถึงบริการทางการเงินของเราครับ
* **National Digital Identity (NDID)**: นี่คือโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่ภาครัฐกำลังพัฒนา ช่วยให้เราสามารถยืนยันตัวตนแบบดิจิทัลได้ แทนที่จะต้องไปแสดงเอกสารตัวจริงทุกครั้งที่สมัครบริการทางการเงินใหม่ๆ เช่น ถ้าเราเคยยืนยันตัวตนบน NDID แล้ว ครั้งต่อไปจะไปเปิดบัญชีกับธนาคารอื่น หรือขอสินเชื่อ ก็อาจจะไม่ต้องยื่นเอกสารซ้ำซ้อน ทำให้ง่ายและรวดเร็วขึ้นเยอะ

ในประเทศไทยเอง ฟินเทคก็มีพัฒนาการที่น่าจับตามากๆ ครับ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ฟินเทคสตาร์ทอัพไทยเติบโตขึ้นเยอะมาก มีบริษัทฟินเทคในสมาคมฟินเทคประเทศไทยเกือบ 70 บริษัทเลยทีเดียว สถาบันการเงินไทยก็ตื่นตัวมากๆ ครับ มีการนำฟินเทคมาปรับปรุงบริการให้ทันสมัยขึ้น ทำให้คนไทยเข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายและหลากหลายขึ้นกว่าเดิมมาก
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ฟินเทคในไทยเติบโตแบบก้าวกระโดด ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่ามาจากพฤติกรรมคนไทยที่ใช้สมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ตกันอย่างแพร่หลาย และการระบาดของโควิด-19 ก็เป็นตัวเร่งให้คนหันมาทำธุรกรรมออนไลน์มากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
พัฒนาการที่เห็นได้ชัดเจนมากๆ ก็อย่างเช่น มาตรฐาน QR Code เพื่อการชำระเงิน ที่ทำให้ร้านค้าเล็กๆ ไปจนถึงห้างใหญ่รับชำระเงินง่ายขึ้น หรือการที่ธนาคารต่างๆ นำ Biometrics มาใช้ในการยืนยันตัวตนบน Mobile Banking รวมถึงการพัฒนาแพลตฟอร์ม NDID ที่ช่วยให้การยืนยันตัวตนดิจิทัลง่ายขึ้นอย่างที่กล่าวไปแล้ว นอกจากนี้ คนไทยยังคุ้นเคยกับการใช้แอปฯ ทางการเงินของภาครัฐอย่างแอปฯ เป๋าตังค์ ซึ่งถือเป็นฟินเทคภาครัฐที่เข้าถึงคนจำนวนมาก ฟากภาคธุรกิจเองก็นำซอฟต์แวร์ทางการเงินสำหรับองค์กรมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการเงินในบริษัทมากขึ้นด้วยครับ
แน่นอนว่าฟินเทค โดยเฉพาะ `banking technology` ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ มันมีข้อดีเยอะมากๆ ครับ
* **สะดวกสบายและเข้าถึงง่าย:** อยู่ที่ไหนก็ทำธุรกรรมได้ แค่มีมือถือกับอินเทอร์เน็ต
* **ลดค่าใช้จ่าย:** ประหยัดทั้งค่าเดินทาง ค่าธรรมเนียมบางอย่างก็ถูกลงหรือไม่เสียเลย
* **ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย:** ทำให้ปลอดภัยและรวดเร็วขึ้น
* **บริการหลากหลาย:** มีตั้งแต่โอน จ่าย ลงทุน ประกัน ขอสินเชื่อ
* **สร้างโอกาสใหม่ๆ:** เกิดธุรกิจฟินเทคสตาร์ทอัพเยอะแยะ
* **เข้าถึงบริการการเงินได้มากขึ้น:** โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ไม่เคยเข้าถึงบริการธนาคารแบบดั้งเดิม (Financial Inclusion)
แต่เหรียญย่อมมีสองด้าน ฟินเทคก็มีข้อควรระวังเหมือนกันครับ
* **ช่องทางใหม่ในการฉ้อโกง:** เมื่อเทคโนโลยีไปเร็ว มิจฉาชีพก็ใช้ช่องทางใหม่ๆ ในการหลอกลวงได้เหมือนกัน ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
* **อาจส่งผลกระทบต่อการจ้างงานในภาคการเงินแบบเดิม:** เมื่อทุกอย่างเป็นระบบอัตโนมัติมากขึ้น งานบางส่วนในธนาคารหรือสถาบันการเงินแบบดั้งเดิมอาจจะลดน้อยลง
สรุปแล้ว ฟินเทค โดยเฉพาะ `banking technology` ที่เราใช้กันอยู่ทุกวัน ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกการเงินและชีวิตของเราไปอย่างมากจริงๆ ครับ ทำให้เรื่องเงินๆ ทองๆ กลายเป็นเรื่องง่ายแค่ปลายนิ้ว แถมยังเปิดโอกาสให้เราเข้าถึงบริการทางการเงินได้หลากหลายและสะดวกสบายขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก การเติบโตของฟินเทคในไทยก็เป็นไปอย่างรวดเร็ว และมีแนวโน้มจะพัฒนาต่อไปอีกไกล โดยได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐและสถาบันการเงินอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้ใช้งาน เราก็ต้องไม่ลืมที่จะเรียนรู้และทำความเข้าใจกับเทคโนโลยีเหล่านี้ ใช้ฟินเทคอย่างรู้เท่าทัน และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นอันดับแรกนะครับ ตรวจสอบข้อมูลให้ดีก่อนทำธุรกรรม ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวหรือรหัสผ่านให้กับใครง่ายๆ เพราะแม้เทคโนโลยีจะช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น แต่ความไม่ประมาทก็ยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดครับ!
⚠️ คำแนะนำเพิ่มเติม: ก่อนตัดสินใจใช้บริการฟินเทคใดๆ ควรศึกษาข้อมูล ผู้ให้บริการ และเงื่อนไขต่างๆ ให้รอบคอบเสมอ และประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้ หากไม่แน่ใจ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงินเสมอครับ