คริปโตพลัส

ศูนย์รวมความรู้คริปโต เคล็ดลับลงทุน และอัปเดตราคาเหรียญแบบเรียลไทม์

ความรู้คริปโตและวิเคราะห์ราคา

ไทยฟินเทค: ซื้อก่อนจ่ายทีหลัง เปลี่ยนชีวิตคนไทยอย่างไร?

เคยไหมครับเวลาเราอยากได้อะไรสักอย่าง แต่เงินสดในกระเป๋าดันไม่พอ หรือบัตรเครดิตก็ยังไม่มีติดตัว จะรอเงินเดือนออกก็กลัวของจะหมดซะก่อน นี่แหละครับคือโจทย์ใหญ่ที่เคยเป็นปัญหาคาใจใครหลายคนมานานแสนนาน แต่รู้ไหมว่าวันนี้ปัญหาโลกแตกเหล่านั้นกำลังถูกคลี่คลาย ด้วยมือของเทคโนโลยีทางการเงิน หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า ฟินเทค (Fintech) นั่นเองครับ

ในยุคที่ทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยโลกออนไลน์ อะไร ๆ ก็ดูจะเร็วไปหมด การจับจ่ายใช้สอยก็เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของออนไลน์ จ่ายบิล หรือแม้กระทั่งโอนเงิน การมีนวัตกรรมที่เข้ามาช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น สะดวกขึ้น และเข้าถึงได้มากขึ้น กลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง และหนึ่งในผู้เล่นตัวสำคัญที่เข้ามาพลิกโฉมวงการนี้ในประเทศไทยก็คือ **บริษัท ไทย ฟินเทค จำกัด** ครับ

**บริษัท ไทย ฟินเทค จำกัด** ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2560 โดยมีวิสัยทัศน์ที่อยากจะยกระดับคุณภาพการบริโภคของคนไทย ด้วยการนำเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเข้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ฟังดูเหมือนเรื่องซับซ้อน แต่จริง ๆ แล้วมันใกล้ตัวเรามากครับ สำนักงานใหญ่ของเขาตั้งอยู่ใจกลางย่านการเงินของกรุงเทพมหานครอย่างสาทร ซึ่งเป็นทำเลที่ปักหมุดความสำคัญของการเป็นผู้ให้บริการด้านการเงินดิจิทัลได้อย่างชัดเจน และยังมีทีมงานกว่า 300 ชีวิต ที่เชี่ยวชาญทั้งจากในและต่างประเทศ มาช่วยกันสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นจริง

หัวใจหลักของ **ไทยฟินเทค** ก็คือแพลตฟอร์มที่ชื่อว่า **ทิสช้อป (Thisshop)** ครับ คุณผู้อ่านอาจจะคุ้นเคยกันดีในฐานะ “เจ้าตลาด” ของบริการ “ซื้อก่อนจ่ายทีหลัง” (Buy Now Pay Later) ที่เปิดตัวมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 จุดเด่นของทิสช้อปคืออะไรน่ะเหรอครับ? ง่ายๆ เลยคือ เขาทำให้คนที่ไม่ว่าจะมีบัตรเครดิตหรือไม่ก็ตาม สามารถเข้าถึงสินค้าแบรนด์ดัง ของแท้ มีประกัน ได้อย่างง่ายดาย แค่สมัครผ่านแอปพลิเคชัน ก็สามารถผ่อนจ่ายสินค้าได้ทันที แถมยังนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ (AI) ที่แสนฉลาด มาช่วยวิเคราะห์ฐานข้อมูลลูกค้าจำนวนมหาศาล เพื่อบริหารความเสี่ยงได้อย่างแม่นยำ พร้อมทั้งลดช่องว่างที่คนจำนวนไม่น้อยเข้าไม่ถึงบริการสินเชื่อแบบดั้งเดิม พูดง่ายๆ คือ AI มันเก่งกว่าเราตรงที่มันเรียนรู้พฤติกรรมการใช้จ่ายของเรา แล้วบอกได้ว่าเรามีความสามารถในการชำระคืนได้มากน้อยแค่ไหน ทำให้คนที่มีศักยภาพ แต่ไม่มีช่องทาง เข้าถึงสินค้าที่อยากได้ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นนั่นเองครับ

แต่ **ไทยฟินเทค** ไม่ได้หยุดอยู่แค่ “ซื้อก่อนจ่ายทีหลัง” นะครับ เขายังมุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจ “การชำระเงินเคลื่อนที่” (Mobile Payment) หรือแอปพลิเคชันที่ให้เราสามารถใช้จ่ายผ่านมือถือได้อย่างปลอดภัยทุกที่ทุกเวลา เป้าหมายของเขาคือการขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมการใช้จ่ายออนไลน์ส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการช้อปปิ้ง การโอนเงิน หรือการเติมเงิน และไม่ใช่แค่ในโลกออนไลน์เท่านั้นนะครับ แต่ยังวางแผนขยายให้เชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันของเราให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายค่าโดยสารรถประจำทาง แท็กซี่ หรือแม้แต่ในร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ ลองจินตนาการดูสิครับว่า ถ้าวันหนึ่งเราไม่ต้องพกเงินสด ไม่ต้องพกบัตรอีกต่อไป แค่มีสมาร์ทโฟนเครื่องเดียวก็ใช้ชีวิตได้สบายๆ มันจะสะดวกขนาดไหน นี่แหละครับคือภาพของสังคมไร้เงินสดที่กำลังค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นใน **เศรษฐกิจไทย** ของเรา และ **ไทยฟินเทค** ก็เป็นหนึ่งในจิ๊กซอว์สำคัญที่กำลังผลักดันภาพนี้ให้เกิดขึ้นจริง ด้วยทุนจดทะเบียนกว่า 638 ล้านบาท และการจัดหมวดหมู่ว่าเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ในหมวดการขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต ก็ยิ่งตอกย้ำความสำคัญและศักยภาพของพวกเขาในตลาดดิจิทัลของประเทศเราได้เป็นอย่างดีเลยครับ

การเติบโตของ **ฟินเทค** ในประเทศไทย ไม่ได้มาจากผู้ให้บริการอย่างเดียว แต่ยังมาจากการสนับสนุนจากภาคส่วนต่างๆ ที่ร่วมกันสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง หนึ่งในนั้นคือ **สมาคมฟินเทคประเทศไทย** ครับ สมาคมแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 โดยมีภารกิจหลักในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทางการเงินในบ้านเราให้ก้าวหน้าไปพร้อมๆ กัน ลองนึกภาพดูสิครับว่า ถ้าเรามีเพื่อนคอยช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ปัญหาต่างๆ ก็จะแก้ไขได้เร็วขึ้น สมาคมนี้เขาก็ทำหน้าที่แบบนั้นเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นการลดต้นทุนการทำธุรกรรมทางการเงิน เพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด การเพิ่มโอกาสให้คนไทยเข้าถึงบริการทางการเงินได้มากขึ้น การส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรมและโปร่งใส เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับสิ่งที่ดีที่สุด ไปจนถึงการสนับสนุนสตาร์ทอัพหน้าใหม่ในวงการ **ฟินเทคไทย** ให้เติบโตและไปแข่งขันในเวทีโลกได้

ผู้นำของสมาคมก็ไม่ใช่ใครที่ไหนครับ เป็นบุคคลสำคัญในแวดวงการเงินและเทคโนโลยีที่เราคุ้นเคยกันดี อย่างเช่น นายชนลเดช เขมะรัตนะ นายกสมาคม, นายท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งบิทคับ ที่เป็นที่รู้จักกันดีในวงการคริปโตเคอร์เรนซี หรือแม้แต่ นายปีเตอร์ จิรวัฒน์ พฤกษ์ภูริพงศ์ และ นายอีตู คูเนียน การที่บุคคลเหล่านี้มารวมตัวกัน ก็แสดงให้เห็นถึงพลังขับเคลื่อนและวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของอุตสาหกรรมนี้ครับ สมาคมยังจัดกิจกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น การสัมมนา “อนาคตการเงินไทยในยุคดิจิทัล” ที่ครอบคลุมประเด็นร้อนแรงอย่างสินเชื่อออนไลน์ การติดตามหนี้ การพัฒนากฎหมาย และการปกป้องทั้งผู้ให้กู้และผู้กู้ ซึ่งล้วนเป็นหัวข้อสำคัญที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวันของพวกเราทุกคนครับ

ในขณะที่ภาคเอกชนและสมาคมกำลังเร่งเครื่องเต็มที่ ภาครัฐอย่าง **ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)** ก็ไม่ได้นิ่งดูดายนะครับ ธปท. มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการส่งเสริมและผลักดันให้ผู้ให้บริการทางการเงินในบ้านเราตื่นตัว และนำเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยเฉพาะ **ฟินเทค** มาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับบริบทสังคมไทยอย่างสร้างสรรค์ คุณอาจจะสงสัยว่า ธปท. เขาทำยังไง? หนึ่งในกลไกสำคัญที่ ธปท. ใช้คือ “กลไก Regulatory Sandbox” (กลไกเรกูเลทอรี แซนด์บ็อกซ์) ครับ ลองนึกภาพสนามเด็กเล่นที่มีรั้วรอบขอบชิด ที่เด็กๆ สามารถทดลองเล่นของเล่นใหม่ๆ ได้อย่างปลอดภัย ถ้าเกิดของเล่นพังหรือมีปัญหา ก็จะอยู่ในขอบเขตที่ควบคุมได้ ไม่ส่งผลกระทบวงกว้าง Regulatory Sandbox ก็คล้ายกันครับ มันคือพื้นที่ให้ผู้ให้บริการทางการเงินสามารถทดลองนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น คิวอาร์โค้ด (QR Code), ไบโอเมตริกซ์ (Biometrics) หรือการยืนยันตัวตนด้วยชีวมิติ, บล็อกเชน (Blockchain) ที่เป็นเทคโนโลยีเบื้องหลังคริปโตฯ, ปัญญาประดิษฐ์ (AI), และเอพีไอ (API) หรือโปรแกรมเชื่อมต่อการทำงานของระบบต่างๆ มาให้บริการแบบจำกัดวง เพื่อดูว่ามันใช้งานได้จริงไหม มีปัญหาอะไรไหม และจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจไทยและผู้บริโภคอย่างเราๆ ได้อย่างไร โดยที่ ธปท. จะคอยดูแลความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่านวัตกรรมเหล่านี้จะสร้างประโยชน์อย่างแท้จริง ไม่ใช่สร้างปัญหาให้ตามมาในภายหลัง นี่แหละครับคือการทำงานร่วมกันระหว่างผู้เล่นในตลาด หน่วยงานสนับสนุน และหน่วยงานกำกับดูแล เพื่อสร้างอนาคตทางการเงินที่แข็งแกร่งและปลอดภัยให้กับประเทศของเรา

สรุปแล้ว วันนี้เราได้เห็นแล้วว่า โลกของการเงินกำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ด้วยพลังของ **ไทยฟินเทค** และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยอย่างปัญญาประดิษฐ์และระบบการชำระเงินเคลื่อนที่ ทำให้การเข้าถึงบริการทางการเงินสะดวกสบายยิ่งขึ้นกว่าเดิมมาก การซื้อของก่อนจ่ายทีหลังไม่ได้เป็นแค่ทางเลือก แต่เป็นโอกาสสำหรับหลายๆ คนที่อาจจะไม่มีบัตรเครดิต หรืออยากบริหารจัดการกระแสเงินสดให้คล่องตัวขึ้น ขณะเดียวกัน การพัฒนาการชำระเงินผ่านมือถือ ก็กำลังผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่สังคมไร้เงินสดอย่างเต็มตัว โดยมี **สมาคมฟินเทคประเทศไทย** คอยสนับสนุนให้เกิดการร่วมมือและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ และมี **ธนาคารแห่งประเทศไทย** คอยกำกับดูแล ให้มั่นใจว่าทุกอย่างเป็นไปอย่างมั่นคงและปลอดภัย

สำหรับพวกเราในฐานะผู้บริโภค การเปลี่ยนแปลงนี้ถือเป็นข่าวดีครับ เพราะเรามีทางเลือกมากขึ้น เข้าถึงบริการได้ง่ายขึ้น แต่ก็อย่าลืมนะครับว่า “ความสะดวกสบายมักมาพร้อมกับความรับผิดชอบ” หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังสนใจบริการ “ซื้อก่อนจ่ายทีหลัง” หรือกำลังจะเปลี่ยนมาใช้การชำระเงินผ่านมือถือบ่อยขึ้น สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจเงื่อนไขต่างๆ ให้ดี และประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของตัวเองอยู่เสมอ หากสภาพคล่องทางการเงินของคุณไม่สูงนัก หรือมีรายได้ที่ไม่แน่นอน ควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจใช้บริการ เพื่อป้องกันการสร้างภาระหนี้สินที่ไม่จำเป็น และใช้ประโยชน์จาก **ฟินเทค** ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับชีวิตของคุณนะครับ

LEAVE A RESPONSE