คริปโตพลัส

ศูนย์รวมความรู้คริปโต เคล็ดลับลงทุน และอัปเดตราคาเหรียญแบบเรียลไทม์

ความรู้คริปโตและวิเคราะห์ราคา

ไขความลับ! ราคาบิทคอยน์ย้อนหลัง 10 ปี บอกอะไรเรา?

เคยสงสัยไหมว่า ไอ้เจ้า “บิตคอยน์” (Bitcoin) ที่เราได้ยินข่าวบ่อยๆ มันคืออะไรกันแน่? แล้วทำไมราคาถึงได้พุ่งขึ้นแรงแบบจรวด แล้วก็ดิ่งลงอย่างกับตกเหว? วันนี้เราจะมานั่งย้อนรอยดูกันว่า เส้นทางราคาของบิตคอยน์ตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมา มันโลดโผนขนาดไหน มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง และไอ้ความผันผวนสุดขั้วนี้ มันบอกอะไรเราได้บ้าง

เรื่องราวของบิตคอยน์เริ่มต้นขึ้นอย่างเรียบง่ายสุดๆ ย้อนไปปี 2008 มีคนหรือกลุ่มคนปริศนาที่ใช้นามแฝงว่า ซาโตชิ นากาโมโตะ (Satoshi Nakamoto) ได้เผยแพร่เอกสารฉบับหนึ่ง ชื่อว่า “Bitcoin: A Peer-to-Peer Electronic Cash System” หรือที่เราเรียกกันว่า “เอกสารไวท์เปเปอร์” มันคือพิมพ์เขียวของระบบเงินสดดิจิทัลแบบใหม่ ที่ไม่ผ่านคนกลางอย่างธนาคาร อาศัยเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ที่ทุกคนร่วมกันตรวจสอบธุรกรรมได้

จากเอกสารสู่ความเป็นจริง เครือข่ายบิตคอยน์ก็เริ่มทำงานอย่างเป็นทางการในวันที่ 3 มกราคม ปี 2009 ตอนนั้นมูลค่ามันแทบเป็นศูนย์ ใครอยากได้ก็แค่เปิดคอมพิวเตอร์ ใช้พลังการประมวลผลช่วยยืนยันธุรกรรม (เรียกว่าการขุด หรือ Mining) ก็จะได้บิตคอยน์มาเป็นรางวัล เหมือนเราไปขุดทอง แต่เปลี่ยนจากทองคำมาเป็นข้อมูลดิจิทัลแทน

จุดเปลี่ยนแรกที่ทำให้บิตคอยน์เริ่มมี “ราคา” เกิดขึ้นจริงๆ ในโลกแห่งความเป็นจริง คือวันที่ 22 พฤษภาคม ปี 2010 วันนั้นมีโปรแกรมเมอร์ชาวอเมริกันคนหนึ่งชื่อ ลาสซ์โล ฮันแยชซ์ (Laszlo Hanyecz) เอาบิตคอยน์ 10,000 BTC ไปแลกพิซซ่า 2 ถาด! ใช่แล้ว… พิซซ่าแค่ 2 ถาด ด้วยบิตคอยน์หมื่นเหรียญ! ตอนนั้น 10,000 BTC อาจมีค่าแค่หลักสิบดอลลาร์ แต่ถ้าเทียบกับราคาปัจจุบัน… อื้อหือ คิดแล้วน้ำลายไหลไปถึงดาวอังคาร เหตุการณ์นี้เลยถูกเรียกว่า “วัน Bitcoin Pizza Day” กลายเป็นตำนานเล่าขานมาจนถึงทุกวันนี้

พอเริ่มมีการซื้อขายกันบ้าง ราคาบิตคอยน์ก็ค่อยๆ ขยับ จากแทบไม่มีค่า ก็เริ่มมีคนให้ค่าหลักเซ็นต์ จนมาปี 2011 อะไรๆ ก็เริ่มน่าตื่นเต้น เพราะราคาบิตคอยน์พุ่งจากประมาณ $1 ขึ้นไปสูงสุดถึง $32 ในช่วงสั้นๆ! คิดเป็นการเติบโตกว่า 3,200% ในปีเดียว! เหมือนหุ้นเพนนีที่อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นหุ้นร้อนแรง เรื่องราวเริ่มแพร่หลาย มีตลาดแลกเปลี่ยนเล็กๆ ในต่างประเทศเริ่มลิสต์บิตคอยน์ให้เทรดได้

จากนั้นในปี 2012 ก็เกิดเหตุการณ์สำคัญที่เรียกว่า “Bitcoin Halving” ครั้งแรก หลายคนอาจจะงงว่า Halving คืออะไร? อธิบายง่ายๆ มันคือโปรแกรมที่ถูกตั้งไว้ในระบบบิตคอยน์ว่า ทุกๆ ประมาณ 4 ปี รางวัลตอบแทนจากการขุดบิตคอยน์จะลดลงครึ่งหนึ่ง เหมือนการลดปริมาณซัพพลายใหม่ๆ ที่จะเข้าสู่ตลาดลงครึ่งหนึ่ง ทำให้บิตคอยน์หายากขึ้น พอของมันหายากขึ้น แถมความต้องการยังมีอยู่ (หรือเพิ่มขึ้น) ราคาก็มีแนวโน้มจะปรับตัวสูงขึ้นนั่นเอง

ก่อนเกิด Halving ครั้งแรก ราคาบิตคอยน์อยู่ที่ประมาณ $2.01 หลัง Halving ราคาพุ่งขึ้นไปถึง $270.94! โอ้โห นี่มันพุ่งกว่า 13,480% เลยนะ! นี่คือวัฏจักรแรกที่แสดงให้เห็นพลังของ Halving ที่ส่งผลต่อราคาบิตคอยน์ย้อนหลัง และเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนสายเทคนิคจับตาดูมาตลอด

แต่ชีวิตก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ปี 2013 ราคาบิตคอยน์ผันผวนหนักมาก ขึ้นไปถึง $220 แล้วก็ย่อลงมาเหลือ $70 ก่อนจะทะยานขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ที่ $1,156 แต่แล้วก็เจอกับข่าวช็อก! ธนาคารกลางของจีน (People’s Bank of China) ออกมาสั่งห้ามสถาบันการเงินในประเทศทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับบิตคอยน์ ทำให้ราคาดิ่งลงอย่างรวดเร็ว เหลือประมาณ $315 นี่คือตัวอย่างชัดๆ ว่า นโยบายภาครัฐมีผลกระทบรุนแรงขนาดไหนต่อราคาบิตคอยน์

ช่วงปี 2014-2015 ถือเป็นยุคที่ราคาบิตคอยน์เข้าสู่ช่วง “ตลาดขาลง” หรือที่เรียกว่า Crypto Winter ครั้งแรก หลังจากการพุ่งขึ้นอย่างบ้าคลั่งในปี 2013 ราคาก็ปรับฐานลงเรื่อยๆ ต่ำสุดอยู่ที่ประมาณ $314 แม้จะมีข่าวดีบ้าง เช่น บริษัทใหญ่อย่าง PayPal หรือ Microsoft เริ่มยอมรับบิตคอยน์ในการชำระเงินบางอย่าง แต่ข่าวการปราบปรามในจีนและความไม่แน่นอนเรื่องกฎหมายในหลายประเทศก็ยังคงกดดันราคาไว้ ปี 2015 ราคาเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาเล็กน้อย ปิดปีที่ประมาณ $434

มาถึงปี 2016 เหตุการณ์ Halving ครั้งที่ 2 ก็กลับมาอีกครั้ง ก่อน Halving ราคาอยู่ที่ประมาณ $664.44 รางวัลการขุดลดลงเหลือ 12.5 BTC จากเดิม 25 BTC ผลที่ตามมาก็คือ ราคาก็ค่อยๆ ขยับขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ปิดปีที่เกือบแตะ $1,000 อยู่ที่ $998 นี่คือสัญญาณที่ดีว่า วัฏจักรขาขึ้นอาจจะกำลังจะมา

และแล้วปี 2017 ก็กลายเป็นปีแห่งความบ้าคลั่งอย่างแท้จริง! ราคาบิตคอยน์ทะยานขึ้นตลอดปี ไม่หยุดหย่อน มีการอัปเดตเครือข่ายที่เรียกว่า Segwit ช่วยให้การโอนบิตคอยน์เร็วขึ้นและค่าธรรมเนียมถูกลง ซึ่งเป็นปัจจัยบวกทางเทคนิค แต่องค์ประกอบสำคัญคือ กระแสความสนใจจากคนทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ราคาพุ่งทะลุ $5,000, $13,500 และไปทำจุดสูงสุดใกล้เคียง $20,000 ในช่วงเดือนธันวาคม ตอนนั้นใครๆ ก็พูดถึงบิตคอยน์ เพื่อนฝูง ญาติพี่น้องที่ไม่เคยสนใจเรื่องการเงิน ก็เริ่มถามว่า “บิตคอยน์คืออะไร ซื้อตอนนี้ทันไหม?”

หลังจากขึ้นไปถึงจุดสูงสุดในปี 2017 ปี 2018-2019 ก็เป็นช่วงของการปรับฐานและแกว่งตัวลงอย่างที่คาดการณ์กันไว้ ราคาลงมาอย่างมีนัยสำคัญ แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปสำหรับคนไทย คือช่วงนี้เองที่การซื้อขายบิตคอยน์ในไทยเริ่มแพร่หลายมากขึ้น มีกระดานเทรดสินทรัพย์ดิจิทัลของไทยเกิดขึ้น ทำให้คนไทยเข้าถึงการลงทุนในบิตคอยน์ได้ง่ายขึ้นมาก ไม่ต้องยุ่งยากไปเทรดกับแพลตฟอร์มต่างประเทศอย่างเดียวอีกต่อไป ใครที่สนใจ “ราคาบิตคอยน์ย้อนหลัง” ก็สามารถเข้าไปดูข้อมูลในเว็บกระดานเทรดไทยได้เลย

ปี 2020 เป็นอีกปีที่มีเหตุการณ์สำคัญหลายอย่างเกิดขึ้น เริ่มต้นปีด้วยราคาประมาณ $9,000 แล้วก็เกิด Bitcoin Halving ครั้งที่ 3 ขึ้นในเดือนพฤษภาคม รางวัลการขุดลดลงเหลือ 6.25 BTC ยิ่งหายากเข้าไปอีก แต่ที่น่าสนใจมากๆ คือบริบททางเศรษฐกิจโลก ช่วงนั้นเป็นช่วงที่การระบาดของโควิด-19 รุนแรง ทำให้ธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing หรือ QE) อัดฉีดเงินมหาศาลเข้าระบบ เพื่อพยุงเศรษฐกิจ การทำ QE ครั้งใหญ่นี้ทำให้หลายคนเริ่มกังวลเรื่องเงินเฟ้อในอนาคต และหันมามองหาสินทรัพย์ทางเลือกที่จะช่วย “ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ” ซึ่งบิตคอยน์ก็ถูกพูดถึงและถูกมองว่าเป็นหนึ่งในนั้น ราคาบิตคอยน์จึงได้รับแรงหนุนอย่างมากจากทั้ง Halving และกระแสเงินเฟ้อ ทำให้ราคาพุ่งขึ้นไปทะลุ $20,000 ได้อีกครั้งในช่วงปลายปี

พอเข้าสู่ปี 2021 บิตคอยน์ก็ก้าวขึ้นสู่การเป็น “สินทรัพย์กระแสหลัก” อย่างเต็มตัว ต้นปีราคาพุ่งทะลุ $20,000 สู่ $30,000 อย่างรวดเร็ว ไม่ใช่แค่รายย่อยที่สนใจ แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง MicroStrategy หรือธนาคารเพื่อการลงทุนอย่าง Morgan Stanley ก็เริ่มเข้ามาลงทุนหรือให้บริการที่เกี่ยวข้องกับบิตคอยน์ ที่ฮือฮาที่สุดคือ ประเทศเอลซัลวาดอร์ ประกาศรับรองให้บิตคอยน์เป็นสกุลเงินที่ใช้ชำระหนี้ตามกฎหมายได้! นี่คือการยอมรับในระดับรัฐที่ส่งผลบวกอย่างมหาศาลต่อภาพลักษณ์และการยอมรับบิตคอยน์ในวงกว้าง ราคาบิตคอยน์ทำจุดสูงสุดใหม่หลายครั้งในช่วงปีนี้ แต่ก็มีช่วงที่ราคาลดลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน เมื่อจีนประกาศปราบปรามการขุดและซื้อขายคริปโตฯ ในประเทศอย่างหนัก

แต่แล้ว ปี 2022 ก็กลายเป็นปีที่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลโดยรวมเข้าสู่โหมด “ตลาดหมี” อย่างแท้จริง จากปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคที่เปลี่ยนไป เมื่อธนาคารกลางทั่วโลกเริ่มใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัวขึ้น เพื่อสกัดเงินเฟ้อที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้น ทำให้สภาพคล่องในระบบลดลง นักลงทุนเริ่มเทขายสินทรัพย์เสี่ยงออกไป นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเฉพาะตัวในโลกคริปโตฯ เช่น การล่มสลายของ Terra (LUNA) และ FTX ที่สร้างความไม่เชื่อมั่นอย่างรุนแรง ราคาบิตคอยน์ปรับตัวลดลงอย่างหนัก จากจุดสูงสุดในปี 2021 ดิ่งลงมาถึงกว่า 70% ในบางช่วงเวลา แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงและธรรมชาติของสินทรัพย์ที่ยังใหม่และมีความผันผวนสูง

สำหรับปี 2023 ต่อเนื่องมาถึงข้อมูลล่าสุดที่เรามี ราคาบิตคอยน์ก็ยังคงแสดงความผันผวน แต่โดยรวมมีการฟื้นตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากจุดต่ำสุดในปี 2022 ล่าสุด (ข้อมูล ณ วันที่ตามแหล่งอ้างอิง) ราคาอยู่ที่ประมาณ 103,779 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นกว่า 150% ในรอบปีที่ผ่านมา แม้จะยังไม่ถึงจุดสูงสุดตลอดกาลที่เคยทำไว้ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและการกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง ปริมาณการซื้อขายทั่วโลกยังคงสูงมาก สะท้อนถึงความคึกคักของตลาด แม้จะยังมีความผันผวนรายวันอยู่บ้างก็ตาม (ลดลงเล็กน้อย -0.33% ใน 24 ชม.ล่าสุด แต่บวก 9.58% ในสัปดาห์ และบวก 3.64% ในเดือนล่าสุดตามข้อมูล)

ถ้ามองดู “ราคาบิตคอยน์ย้อนหลัง” ตลอดกว่า 10 ปี เราจะเห็นภาพที่ชัดเจนว่า นี่คือสินทรัพย์ที่มีวัฏจักรขาขึ้นและขาลงที่รุนแรงมากๆ ได้รับแรงขับเคลื่อนจากหลายปัจจัย ทั้งเรื่อง “ความหายาก” ที่กำหนดโดยระบบ (Halving), การยอมรับที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจากนักลงทุนรายย่อย สถาบัน ไปจนถึงระดับประเทศ, นโยบายของภาครัฐที่บางครั้งเป็นปัจจัยบวก (ยอมรับ) บางครั้งเป็นปัจจัยลบ (ปราบปราม) และที่สำคัญคือ สภาพคล่องและนโยบายการเงินในระดับโลก โดยเฉพาะความกังวลเรื่องเงินเฟ้อที่ทำให้บิตคอยน์ถูกมองว่าเป็นแหล่งพักเงิน

สำหรับนักลงทุนไทยที่สนใจบิตคอยน์ การดู “ราคาบิตคอยน์ย้อนหลัง” เป็นสิ่งสำคัญเพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมของสินทรัพย์นี้ แต่สิ่งที่ต้องตระหนักอยู่เสมอคือ ราคาในอดีตไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันราคาในอนาคต ความผันผวนที่เห็นในกราฟเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

ดังนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนในบิตคอยน์ หรือสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ ควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ ทำความเข้าใจธรรมชาติของมัน เทคโนโลยีเบื้องหลัง ความเสี่ยงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และที่สำคัญที่สุดคือ ควรลงทุนด้วยเงินที่พร้อมจะเสียได้เท่านั้น เพราะตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลยังคงเป็นตลาดที่มีความเสี่ยงสูงมาก และราคาอาจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ตลอดเวลา

⚠️ สินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน

LEAVE A RESPONSE