คริปโตพลัส

ศูนย์รวมความรู้คริปโต เคล็ดลับลงทุน และอัปเดตราคาเหรียญแบบเรียลไทม์

ความรู้คริปโตและวิเคราะห์ราคา

ไขข้อสงสัย! DEX คืออะไร? ทางเลือกใหม่เทรดคริปโตฯ ไม่ผ่านคนกลาง

เพื่อนๆ เคยสงสัยไหมว่าเวลาเราจะซื้อขายคริปโทฯ หรือสินทรัพย์ดิจิทัลเนี่ย นอกจากแอปที่เราคุ้นเคยอย่าง Binance TH หรือ Bitkub แล้ว มันยังมีอีกวิธีหนึ่งที่หลายคนพูดถึงกัน นั่นก็คือ “DEX” แล้วไอ้เจ้า dex คือ อะไรกันแน่ มันต่างจากแบบที่เราใช้ๆ กันอยู่ยังไง วันนี้ผมในฐานะคอลัมนิสต์การเงินสายอินดี้ ขอพาไปเจาะลึกเรื่องนี้แบบเข้าใจง่าย ไม่ต้องกลัวศัพท์ยาก รับรองว่าฟังแล้วจะร้องอ๋อ!

นึกภาพง่ายๆ นะครับ โลกของการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลมันก็เหมือนมีตลาดอยู่ 2 แบบใหญ่ๆ
แบบแรก เหมือนห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ ที่มีคนกลางบริหารจัดการทุกอย่าง นั่นคือ การแลกเปลี่ยนแบบรวมศูนย์ (Centralized Exchange) หรือ CEX ที่เราใช้กันเป็นส่วนใหญ่
แบบที่สอง เหมือนตลาดนัดเล็กๆ ที่คนซื้อคนขายมาเจอกันเองโดยตรง ไม่ผ่านพ่อค้าคนกลางใหญ่ๆ ใช้ระบบอัตโนมัติช่วยจัดการ นั่นแหละคือ การแลกเปลี่ยนแบบกระจายอำนาจ (Decentralized Exchange) หรือ DEX

CEX คือ อะไร? เหมือนเดินห้าง สะดวกสบาย แต่ไม่ใช่บ้านเรา

มาเริ่มที่ CEX ก่อน เพราะน่าจะเป็นอะไรที่หลายคนคุ้นเคยที่สุด CEX ย่อมาจาก Centralized Cryptocurrency Exchange แปลตรงตัวคือ “การแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลแบบรวมศูนย์” คิดซะว่ามันคือบริษัทหรือองค์กรหนึ่งที่ตั้งตัวเป็นศูนย์กลางในการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หน้าที่หลักๆ ของเขาคือเป็นคนกลาง จับคู่คำสั่งซื้อขายระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย ดูแลระบบให้การซื้อขายลื่นไหล และที่สำคัญคือ พวกเขาจะเป็นคนเก็บรักษาทรัพย์สินดิจิทัลของคุณไว้ให้

ลองนึกถึงเวลาเราเปิดบัญชีธนาคาร หรือบัญชีซื้อขายหุ้น เราก็ต้องเอาเงินไปฝากไว้ที่ธนาคารหรือบริษัทหลักทรัพย์ใช่ไหมครับ CEX ก็คล้ายกัน เวลาคุณจะซื้อขายคริปโทฯ บนแพลตฟอร์ม CEX คุณก็ต้องโอนเหรียญ หรือโอนเงินบาท (เงินกระดาษ) เข้าไปฝากไว้ในบัญชีที่คุณมีกับ Exchange นั้นๆ ข้อดีคือมันสะดวกมาก อินเทอร์เฟซใช้งานง่ายเหมือนแอปทั่วไป มีระบบลูกค้าสัมพันธ์คอยช่วยเหลือ การยืนยันตัวตน (KYC – Know Your Customer) ก็เป็นไปตามกฎหมาย มีบริการเสริมเพียบ ทั้งการปล่อยกู้ (Lending) การฝากเหรียญรับดอกเบี้ย (Staking) หรือแม้แต่การซื้อขายตราสารอนุพันธ์อย่าง Futures หรือ Options ด้วยความที่ระบบมันรวมศูนย์อยู่บนเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท การซื้อขายเลยมักจะเร็วปรื๊ด ค่าธรรมเนียมการเทรดบางทีก็ถูกกว่าถ้าเทียบกับค่าธรรมเนียมบนเครือข่าย บล็อกเชน (Blockchain) โดยตรง

แต่! เหรียญมีสองด้านเสมอ ข้อแลกเปลี่ยนสำคัญของการใช้ CEX คือ คุณไม่ได้เป็นผู้ถือ กุญแจส่วนตัว (Private Key) ที่แท้จริงของสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นๆ คุณแค่มีสิทธิ์ในบัญชีที่ Exchange เป็นผู้ดูแล พูดง่ายๆ คือ Exchange ถือ กุญแจส่วนตัว แทนคุณ นั่นหมายความว่า ถ้า Exchange นั้นโดน แฮ็ก (Hack) ระบบกลาง หรือมีปัญหา เช่น ล้มละลาย ถูกทางการสั่งปิด ทรัพย์สินของคุณที่ฝากไว้ก็มีความเสี่ยงที่จะสูญหายไปด้วย เหมือนเอาเงินไปฝากไว้ที่ไหนสักแห่ง แล้วที่นั่นดันไฟไหม้ หรือโดนปล้น เราก็ซวยไปด้วย

DEX คือ อะไร? ตลาดนัดไร้คนกลาง ควบคุมเองทั้งหมด แต่ต้องรอบคอบหน่อย

ทีนี้มาดูอีกฝั่ง แล้วไอ้เจ้า dex คือ อะไรล่ะ? DEX ย่อมาจาก Decentralized Exchange คือ “การแลกเปลี่ยนแบบกระจายอำนาจ” ฟังดูซับซ้อนเนอะ แต่คอนเซ็ปต์มันคือ ตลาดซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ได้มีบริษัทกลางที่ไหนมาเป็นผู้ดูแลระบบทั้งหมด การซื้อขายจะเกิดขึ้นระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย (หรือผู้ใช้งานกับแหล่งสภาพคล่อง) โดยตรง ผ่านเทคโนโลยี บล็อกเชน (Blockchain) และ สัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract)

ข้อแตกต่างที่สำคัญที่สุดของ DEX เมื่อเทียบกับ CEX คือ ผู้ใช้งานเป็นผู้ถือ กุญแจส่วนตัว ในการเข้าถึงและควบคุมสินทรัพย์ดิจิทัลของตัวเอง คุณแค่เชื่อมต่อกระเป๋าเงินดิจิทัล (Wallet) เข้ากับแพลตฟอร์ม DEX ไม่ต้องโอนเหรียญเข้าไปฝากไว้กับใคร เหรียญยังคงอยู่ใน Wallet ของคุณตลอดเวลา ซึ่งหมายความว่าตราบใดที่คุณเก็บรักษา กุญแจส่วนตัว ของคุณไว้ได้อย่างปลอดภัย ไม่มีใครสามารถเข้ามาแตะต้องเหรียญของคุณได้ แม้แต่เจ้าของแพลตฟอร์ม DEX เองก็ตาม นี่แหละคือหัวใจของความเป็น “การกระจายอำนาจ”

การทำงานของ DEX เนี่ยเจ๋งตรงที่มันใช้ สัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) ซึ่งเป็นโค้ดโปรแกรมที่อยู่บน บล็อกเชน มาทำหน้าที่จับคู่คำสั่งซื้อขาย หรือจัดการเรื่อง แหล่งสภาพคล่อง (Liquidity Pool) แทนคนกลาง ทุกอย่างเป็นไปตามเงื่อนไขที่โปรแกรมไว้ โปร่งใส ตรวจสอบได้บน บล็อกเชน และส่วนใหญ่แล้วการซื้อขายบน DEX ไม่จำเป็นต้องทำการ ยืนยันตัวตน (KYC) ด้วยนะ ทำให้มีความเป็นส่วนตัวสูงกว่า

ประเภทของ DEX ก็มีหลายแบบ ที่นิยมมากๆ คือแบบ Automated Market Maker (AMMs) หรือ “ผู้ดูแลสภาพคล่องอัตโนมัติ” แบบนี้จะไม่มีสมุดคำสั่งซื้อขาย แต่จะใช้สูตรคณิตศาสตร์และ แหล่งสภาพคล่อง ในการกำหนดราคาและการแลกเปลี่ยน ตัวอย่างแพลตฟอร์มดังๆ ก็เช่น Uniswap, Balancer, Sushi, Curve หรือแบบ DEX Aggregator หรือ “ผู้รวบรวม DEX” ที่จะไปดึง สภาพคล่อง มาจากหลายๆ DEX เพื่อให้เราได้ราคาที่ดีที่สุดและลด ค่าความคลาดเคลื่อนระหว่างราคา (Slippage) เช่น 1Inch, Open Ocean

แต่แน่นอนว่า DEX ก็มีข้อจำกัดและข้อควรระวัง การใช้งาน DEX อาจจะซับซ้อนกว่า CEX โดยเฉพาะสำหรับผู้เริ่มต้น คุณต้องเข้าใจเรื่องการเชื่อมต่อ Wallet การจัดการ กุญแจส่วนตัว เรื่อง ค่าธรรมเนียม Gas ที่ขึ้นอยู่กับเครือข่าย บล็อกเชน ซึ่งบางทีอาจจะสูงและช้ากว่าการเทรดบน CEX แถมบริการเสริมต่างๆ ก็น้อยกว่า CEX เยอะ ส่วนใหญ่เน้นแค่การแลกเปลี่ยนเหรียญเป็นเหรียญ (ส่วนใหญ่ DEX ยังไม่รองรับการแลกเปลี่ยนกับ เงินกระดาษ โดยตรง ต้องไปใช้ CEX หรือช่องทางอื่นก่อน)

เปรียบเทียบหมัดต่อหมัด: เลือกแบบไหนดี?

พอเห็นภาพรวมของทั้งสองแบบแล้ว ลองมาดูข้อแตกต่างแบบชัดๆ กันอีกที เพื่อให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าแบบไหนเหมาะกับเรามากกว่ากัน

1. ตัวกลาง:
* CEX: มีบริษัทกลางคอยควบคุมและดูแลระบบทั้งหมด
* DEX: ไร้ตัวกลาง ทำงานด้วย สัญญาอัจฉริยะ บน บล็อกเชน

2. การควบคุมสินทรัพย์:
* CEX: คุณฝากทรัพย์สินไว้กับ Exchange ไม่ได้ถือ กุญแจส่วนตัว เอง
* DEX: ผู้ใช้งานถือ กุญแจส่วนตัว ควบคุมสินทรัพย์ของตัวเองได้โดยตรง

3. การยืนยันตัวตน (KYC):
* CEX: ส่วนใหญ่ต้องทำ ตามข้อกำหนด
* DEX: ส่วนใหญ่ไม่ต้องทำ มีความเป็นส่วนตัวสูงกว่า

4. ความปลอดภัย (จากตัวกลาง):
* CEX: เสี่ยงกับการโดน แฮ็ก หรือปัญหาของตัว Exchange เอง
* DEX: ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตัวกลาง แต่เสี่ยงกับช่องโหว่ของ สัญญาอัจฉริยะ หรือความผิดพลาดของผู้ใช้งานเอง (เช่น ทำ กุญแจส่วนตัว หาย)

5. ความโปร่งใส:
* CEX: ขึ้นอยู่กับนโยบายของบริษัท ไม่ได้เปิดเผยธุรกรรมทั้งหมดต่อสาธารณะ
* DEX: โปร่งใสกว่ามาก ธุรกรรมทั้งหมดบันทึกอยู่บน บล็อกเชน และตรวจสอบได้

6. ความเร็วและค่าธรรมเนียม:
* CEX: ซื้อขายเร็ว ค่าธรรมเนียมมักคงที่หรือคิดเป็น % บนแพลตฟอร์ม
* DEX: ความเร็วและ ค่าธรรมเนียม Gas ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของเครือข่าย บล็อกเชน (อาจสูงหรือช้ากว่า CEX ได้)

7. บริการเสริม:
* CEX: มีบริการหลากหลายกว่า เช่น Margin Trading, Futures, Options, Staking, Lending
* DEX: ส่วนใหญ่เน้นแค่การแลกเปลี่ยนเหรียญ (แต่องค์ประกอบของ การเงินแบบกระจายอำนาจ หรือ DeFi อย่าง Yield Farming, Lending บนโปรโตคอลอื่นก็มีบทบาทร่วมกับ DEX)

8. การรองรับ เงินกระดาษ:
* CEX: สามารถแลกเปลี่ยนระหว่าง เงินกระดาษ (เช่น เงินบาท) กับ คริปโทเคอร์เรนซี ได้โดยตรง
* DEX: ส่วนใหญ่แลกเปลี่ยนได้เฉพาะระหว่างสกุลเงินดิจิทัลด้วยกัน

9. ความซับซ้อนในการใช้งาน:
* CEX: ใช้งานง่ายกว่า มี Customer Support ช่วยเหลือ
* DEX: อาจยุ่งยากกว่า ต้องจัดการ Wallet และ กุญแจส่วนตัว เอง

10. การต่อต้านการตรวจสอบ/การควบคุม:
* CEX: สามารถถูกควบคุม หรือสั่งปิดโดยหน่วยงานรัฐได้ง่ายกว่า
* DEX: เนื่องจากไร้ตัวกลางและกระจายอำนาจ ทำให้การควบคุมหรือปิดกั้นทำได้ยากกว่ามาก

ทำไม DEX ถึงเกิดขึ้นมา และอนาคตจะเป็นอย่างไร?

การเกิดขึ้นของ DEX ก็เพื่อมาเติมเต็มปรัชญาดั้งเดิมของ คริปโทเคอร์เรนซี ที่ต้องการให้ผู้ใช้งานสามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้โดยไม่ต้องพึ่งพาตัวกลางใดๆ และเพื่อแก้ไขจุดอ่อนบางประการของ CEX เช่น ความเสี่ยงจากการรวมศูนย์ การขาดความโปร่งใส หรือข้อจำกัดในการเข้าถึงสำหรับบางคน

DEX เป็นหัวใจสำคัญของ การเงินแบบกระจายอำนาจ (DeFi) ซึ่งเป็นระบบนิเวศทางการเงินที่สร้างขึ้นบน บล็อกเชน ที่ไม่ต้องพึ่งพาธนาคาร สถาบันการเงิน หรือตัวกลางแบบดั้งเดิม การเติบโตของ DeFi ก็เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ DEX ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ

แนวโน้มในอนาคตก็มีความเป็นไปได้สูงที่เทคโนโลยีเบื้องหลัง DEX และ การเงินแบบกระจายอำนาจ จะถูกนำไปประยุกต์ใช้กับอุตสาหกรรมอื่นๆ หรือแม้แต่ในองค์กรขนาดใหญ่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความโปร่งใส และลดความจำเป็นในการพึ่งพาตัวกลาง

ข้อควรจำที่สำคัญสุด: การลงทุนใน คริปโทเคอร์เรนซี เสี่ยงสูงปรี๊ดนะ!

ไม่ว่าคุณจะเลือกใช้ CEX หรือ dex คือ อะไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ห้ามลืมเด็ดขาดคือ การลงทุนใน คริปโทเคอร์เรนซี และสินทรัพย์ดิจิทัล มีความเสี่ยงสูงมาก คุณอาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดได้!

ความเสี่ยงไม่ได้มาจากแค่ตัวแพลตฟอร์ม แต่มาจากความผันผวนของตลาดเองด้วย ราคา คริปโทเคอร์เรนซี สามารถพุ่งขึ้นหรือดิ่งลงได้อย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงเฉพาะตัวอื่นๆ เช่น ความเสี่ยงจากช่องโหว่ใน สัญญาอัจฉริยะ ของแพลตฟอร์ม (โดยเฉพาะบน DEX), ความเสี่ยงจากการโดน แฮ็ก กระเป๋าเงินดิจิทัล หรือที่น่ากลัวที่สุดคือการทำ กุญแจส่วนตัว หรือรหัสกู้คืน (Mnemonic Phrase) หาย ซึ่งถ้าเกิดขึ้น คุณจะไม่มีทางกู้คืนสินทรัพย์ของคุณได้เลย เหมือนทำกุญแจเซฟหายแล้วไม่มีใครเปิดให้ได้

สรุปและคำแนะนำสำหรับคุณ

สรุปแล้ว ไม่ว่าจะเป็น dex คือ อะไร หรือ CEX เนี่ย มันก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันไป ไม่มีแบบไหนที่ “ดีที่สุด” สำหรับทุกคนครับ มันขึ้นอยู่กับความต้องการและระดับความเข้าใจของคุณมากกว่า

* ถ้าคุณเป็น มือใหม่ อยากเริ่มต้นง่ายๆ คุ้นเคยกับการมีคนกลาง มีบริการช่วยเหลือหลากหลาย แลกเปลี่ยนกับ เงินกระดาษ ได้สะดวก CEX อาจเป็นตัวเลือกที่ง่ายกว่า แต่ต้องยอมรับความเสี่ยงในการฝากทรัพย์สินไว้กับ Exchange และทำ การยืนยันตัวตน
* ถ้าคุณให้ความสำคัญกับ ความเป็นเจ้าของสินทรัพย์อย่างแท้จริง ไม่อยากพึ่งพาตัวกลาง ต้องการความเป็นส่วนตัว และพร้อมที่จะเรียนรู้การจัดการ Wallet และ กุญแจส่วนตัว ด้วยตัวเอง DEX คือ สิ่งที่คุณควรมองหา แต่มันอาจจะซับซ้อนกว่าและมีความเสี่ยงจากความผิดพลาดของผู้ใช้งานเอง รวมถึงความเสี่ยงของ สัญญาอัจฉริยะ

คำแนะนำที่สำคัญที่สุด ก่อนที่คุณจะกระโดดเข้าไปลงทุนในโลกของ คริปโทเคอร์เรนซี ไม่ว่าจะผ่านแพลตฟอร์มแบบไหนก็ตาม:

1. ศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ (Do Your Own Research – DYOR): ทำความเข้าใจว่าสินทรัพย์ที่คุณจะซื้อคืออะไร โปรเจกต์ทำอะไร ความเสี่ยงคืออะไร
2. ทำความเข้าใจแพลตฟอร์มที่คุณเลือกใช้: ไม่ว่าจะเป็น CEX หรือ DEX ต้องเข้าใจวิธีการทำงาน ค่าธรรมเนียม และความเสี่ยงของแพลตฟอร์มนั้นๆ ให้ดี
3. เริ่มต้นจากจำนวนน้อยๆ ที่คุณพร้อมจะเสียได้: อย่าเอาเงินเก็บทั้งหมด หรือเงินที่จำเป็นในชีวิตมาลงทุนใน คริปโทเคอร์เรนซี เด็ดขาด
4. บริหารความเสี่ยงด้วย การกระจายความเสี่ยง (Diversification): อย่าทุ่มเงินทั้งหมดไปที่เหรียญเดียว หรือแพลตฟอร์มเดียว
5. ให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัย: โดยเฉพาะการเก็บรักษา กุญแจส่วนตัว หรือรหัสผ่านต่างๆ

โลกของสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นโลกที่น่าตื่นเต้น แต่ก็มีความท้าทายและความเสี่ยงสูงเสมอ การเลือกใช้แพลตฟอร์มที่เหมาะสมกับความรู้และระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ คือก้าวแรกที่สำคัญ ขอให้ทุกคนลงทุนอย่างระมัดระวังและมีสติครับ!

LEAVE A RESPONSE