ไขข้อสงสัย “คริปโตคือ?” ใน Pantip: เจาะลึกโอกาสและความเสี่ยงสินทรัพย์ดิจิทัลแห่งยุค
ช่วงนี้ไปไหนมาไหน เพื่อนฝูงรอบตัวผมมักจะตั้งวงสนทนาเรื่อง “คริปโต” กันหนาหูขึ้นทุกทีครับ บางคนถึงกับไปตั้งกระทู้ถามใน Pantip (พันทิป) ว่า “คริปโตคือ” อะไรกันแน่ ทำไมมันถึงฮอตฮิตติดลมบนได้ขนาดนี้? วันนี้ผมในฐานะคอลัมนิสต์การเงิน ขออาสาพาคุณผู้อ่านทุกท่านไปไขข้อข้องใจเรื่องสินทรัพย์ดิจิทัลแห่งยุคกันแบบเข้าใจง่ายๆ ไม่ต้องมึนตึ้บศัพท์แสงการเงินกันครับ
ลองนึกภาพดูสิครับว่า สมัยก่อนเราใช้เปลือกหอย เงินเหรียญ หรือธนบัตรจับต้องได้ในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ แต่โลกหมุนไปเร็วเหลือเกิน จนวันหนึ่งเรามี “เงินดิจิทัล” ที่จับต้องไม่ได้ แต่กลับมีมูลค่าและซื้อขายกันได้จริงๆ ทั่วโลก แถมยังทำธุรกรรมกันได้อย่างรวดเร็วปรื๋อข้ามประเทศนี่แหละครับที่เขาเรียกว่า “คริปโทเคอร์เรนซี” (Cryptocurrency) หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “คริปโต” ซึ่งจัดเป็นหนึ่งในประเภทของ “สินทรัพย์ดิจิทัล” (Digital Asset) นั่นเอง

แล้วเจ้าคริปโตฯ นี่มันทำงานยังไงกันนะ? ทำไมถึงโปร่งใส ปลอดภัย ตรวจสอบได้ แถมยังได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลกขนาดนี้? หัวใจสำคัญของมันอยู่ที่ “เทคโนโลยีเบื้องหลัง” ที่ชื่อว่า “บล็อกเชน” (Blockchain) ครับ ลองจินตนาการถึงสมุดบัญชีเล่มมหึมาที่ไม่ได้อยู่กับธนาคารกลางที่ใดที่หนึ่ง แต่สำเนาของสมุดบัญชีเล่มนี้กลับกระจายอยู่กับผู้ใช้งานทุกคนทั่วโลก! เวลาเกิดธุรกรรมอะไรขึ้นมา เช่น ผมโอนคริปโตให้คุณ ทุกคนในเครือข่ายก็จะมีข้อมูลนี้ถูกบันทึกลงใน “กล่อง” หรือที่เรียกว่า “บล็อก” (Block) และกล่องเหล่านี้ก็จะถูกนำมา “เชื่อมโยง” (Chain) ต่อกันไปเรื่อยๆ จนเป็นลูกโซ่ยาวไม่สิ้นสุดครับ
ความพิเศษของบล็อกเชนคือ เมื่อข้อมูลถูกบันทึกลงในบล็อกแล้ว มันจะเปลี่ยนแปลงหรือย้อนกลับแก้ไขได้ยากมากๆ เพราะทุกคนในเครือข่ายมีสำเนาชุดเดียวกัน ทำให้เกิดความโปร่งใสและน่าเชื่อถือสุดๆ แถมยังทำงานแบบ “กระจายศูนย์” (Decentralized) หมายความว่า ไม่มีตัวกลางอย่างธนาคารหรือรัฐบาลมาควบคุมการแลกเปลี่ยนโดยตรง ทำให้การโอนเงินหรือสินทรัพย์ดิจิทิทัลเป็นไปอย่างอิสระ รวดเร็วทันใจ และค่าธรรมเนียมก็ต่ำกว่าการบริการทางการเงินแบบดั้งเดิมเยอะเลยครับ แถมยังเปิดให้ซื้อขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุดเสาร์อาทิตย์หรือวันนักขัตฤกษ์ ทำให้ตลาดมี “สภาพคล่อง” (Liquidity) สูงมาก ใครที่สายเทรด (Trade) หรือเก็งกำไรนี่ถูกใจสิ่งนี้เลยครับ
พูดถึงสินทรัพย์ดิจิทัลแล้ว ก็ต้องรู้จักประเภทหลักๆ ของมันครับ คริปโทเคอร์เรนซีที่เราพูดถึงกันบ่อยๆ มักจะแบ่งเป็น “เหรียญ” (Coin) และ “โทเคน” (Token) ครับ ซึ่งเหรียญนี่ก็เหมือนสกุลเงินทั่วไป เพียงแต่เป็นแบบดิจิทัล มีราคาผันผวนไปตามกลไกตลาด ความต้องการ และปริมาณเหรียญในระบบ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการแลกเปลี่ยนสินค้า บริการ หรือสิ่งของต่างๆ ได้จริงครับ

ถ้าพูดถึงเหรียญคริปโต เราจะพลาดเหรียญเบอร์หนึ่งอย่าง “บิตคอยน์” (Bitcoin: BTC) ไปไม่ได้เลยครับ เหรียญนี้ถือเป็นสกุลเงินคริปโตตัวแรกของโลกที่รู้จักกันแพร่หลายที่สุด ถูกสร้างขึ้นโดยบุคคลปริศนาที่ใช้นามแฝงว่า “ซาโตชิ นากาโมโตะ” (Satoshi Nakamoto) โดยมีเป้าหมายหลักคือแก้ปัญหาการควบคุมการเงินโดยคนกลาง ไม่ต้องผ่านธนาคารหรือรัฐบาลเลยครับ สิ่งที่ทำให้บิตคอยน์เป็นที่ต้องการและมีมูลค่าสูงขึ้นเรื่อยๆ ก็เพราะมันมี “อุปทานจำกัด” (Limited Supply) ครับ คือมีอยู่แค่ 21 ล้านเหรียญทั่วโลกเท่านั้น คล้ายกับทองคำที่ขุดขึ้นมาได้จำกัดนั่นแหละครับ และด้วยความที่เป็นที่ยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ ในหลายประเทศก็สามารถนำบิตคอยน์ไปใช้ซื้อสินค้าและบริการได้จริงแล้วด้วยนะ อย่างล่าสุดข้อมูล ณ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 บิตคอยน์มีมูลค่าตลาดรวมสูงถึง 1.941 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขึ้นแท่นเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าตามราคาตลาด (Market Cap) สูงสุดเป็นอันดับ 7 ของโลกเลยทีเดียวครับ ไม่ธรรมดาจริงๆ
ส่วนอีกเหรียญที่น่าจับตาไม่แพ้กันก็คือ “อีเธอเรียม” (Ethereum: ETH) ที่หลายคนมองว่าเป็นคู่แข่งสำคัญของบิตคอยน์เลยทีเดียวครับ แม้จะเป็นสกุลเงินดิจิทัลเหมือนกัน แต่อีเธอเรียมถูกสร้างขึ้นมาด้วยวัตถุประสงค์ที่ต่างออกไปครับ มันไม่ใช่แค่ “เงินดิจิทัล” ที่ใช้แลกเปลี่ยนอย่างเดียว แต่เป็นแพลตฟอร์มบล็อกเชนที่สามารถสร้างแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Applications) หรือ DApps และสร้างโทเคนอื่นๆ ขึ้นมาบนเครือข่ายของตัวเองได้อีกด้วย เจ๋งสุดๆ ไปเลยใช่ไหมครับ
มาถึงคำถามยอดฮิตว่า แล้วจะลงทุนในคริปโตยังไงดี? จริงๆ แล้วคริปโตฯ ก็เหมือนการลงทุนรูปแบบใหม่ที่สามารถสร้าง “ผลตอบแทน” (Return) ได้จากความผันผวนของราคาครับ ซึ่งความผันผวนนี้ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งพื้นฐานของเหรียญ ความนิยม และความต้องการของตลาด ถ้าเป็นนักลงทุนสายเก็งกำไรก็สามารถซื้อขายทำกำไรได้ทั้งตอนราคาขึ้นและราคาลงเลยทีเดียวครับ ส่วนวิธีการลงทุนที่เห็นบ่อยๆ ก็มีทั้ง “การขุดบิตคอยน์” (Bitcoin Mining) ซึ่งต้องลงทุนซื้อเครื่องขุดและคำนวณต้นทุนค่าไฟให้ดี หรือจะเป็น “การเทรดคริปโต” ผ่านแพลตฟอร์มซื้อขายที่ถูกกฎหมาย ซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากกว่าและสะดวกสบายกว่ามากครับ

ในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญการลงทุน ก็มีหลากหลายทัศนะเกี่ยวกับอนาคตของคริปโตครับ อย่าง “คุณลุงโฉลก สัมพันธารักษ์” กูรูด้านการลงทุนชื่อดัง ท่านมองว่าบิตคอยน์ยังคงเป็นตลาดกระทิง (Bullish) ตลอดกาล นั่นคือมีแนวโน้มขาขึ้นในระยะยาวครับ แต่ในทางกลับกัน “ดร.บิ๊ก ณปภัช ปิยไชยกุล” ก็เคยเตือนนักลงทุนไว้ว่าบิตคอยน์ยังมีความเสี่ยงสูงในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ต้องจับตาดูสถานการณ์ให้ดีๆ ครับ ขณะที่ “คุณวิศน โอฬารสกุลวงศ์” ก็เชื่อว่าปัจจัยสำคัญอย่างการอนุมัติ “บิตคอยน์ ETF” (Exchange Traded Fund หรือกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยนบิตคอยน์) และปรากฏการณ์ “Halving” (การลดปริมาณบิตคอยน์ที่ขุดได้ลงครึ่งหนึ่งในทุกๆ 4 ปี) จะเป็นแรงส่งให้ราคาบิตคอยน์พุ่งสูงขึ้นไปอีกในอนาคต ทำให้มีคำถามตามมาว่า “ยังทันไหมถ้าจะเข้าลงทุนตอนนี้?” ซึ่งก็ต้องบอกว่าทุกการลงทุนมีความเสี่ยงเสมอครับ
สำหรับในประเทศไทย การลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีก็เริ่มมีรูปแบบที่ชัดเจนและมีการ “กำกับดูแล” จากกฎหมายแล้วนะครับ โดยอยู่ภายใต้การดูแลของ “สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์” (ก.ล.ต.) ซึ่งเป็นหน่วยงานภาครัฐที่คอยดูแลความถูกต้องและเป็นธรรมของการลงทุนในตลาดทุนครับ ทำให้ปัจจุบันมีแพลตฟอร์มสำหรับการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลที่จัดทำขึ้นอย่างถูกต้องตามกฎหมายไทยหลายรายเลยครับ ยกตัวอย่างเช่น “บิทคับ” (Bitkub) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่คุ้นเคยกันดี หรือแม้แต่ “ไบแนนซ์ไทย โดย กัลฟ์ ไบแนนซ์” (BINANCE TH BY GULF BINANCE) ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. อย่างเข้มงวด เน้นมาตรฐานสูงสุด โปร่งใส และถูกต้องตามกฎหมาย มีระบบจับคู่คำสั่งและสภาพคล่องสูง ซึ่งก็ถือเป็นข่าวดีสำหรับนักลงทุนชาวไทยที่อยากเข้ามาสัมผัสโลกของคริปโตครับ
นอกจากเรื่องคริปโตที่เป็นกระแสร้อนแรงแล้ว โลกการเงินดิจิทัลก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ที่น่าสนใจไม่แพ้กันครับ อย่างเช่นกรณีของ “คาร์ดเอกซ์” (CardX) ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจหลักของกลุ่ม “เอสซีบีเอกซ์” (SCBX) ที่ผันตัวออกมาจากธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) นั่นเองครับ คาร์ดเอกซ์มุ่งเน้นการทำธุรกิจแพลตฟอร์มการเงินดิจิทัลด้าน “บัตรเครดิต” (Credit Card) และ “สินเชื่อส่วนบุคคล” (Personal Loan) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการทางการเงินแห่งโลกอนาคต ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและเทคโนโลยีแบบเต็มตัวครับ พวกเขาตั้งเป้าจะเป็นอันดับหนึ่งทั้งในประเทศและระดับสากลเลยนะ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า โลกการเงินกำลังก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว ไม่ใช่แค่เรื่องคริปโตเท่านั้นครับ
สรุปแล้ว เจ้าคริปโตเคอร์เรนซีที่คนใน Pantip ก็เคยสงสัยว่า “คริปโตคืออะไร” นั้น มันก็คือสินทรัพย์ดิจิทัลรูปแบบหนึ่งที่ทำงานบนเทคโนโลยีบล็อกเชน มีความปลอดภัย โปร่งใส และเปิดโอกาสให้นักลงทุนสร้างผลตอบแทนได้ แต่ในขณะเดียวกันก็มีความผันผวนสูงมากครับ
**⚠️ คำแนะนำปิดท้ายสำหรับมือใหม่และมือเก๋า:**
ไม่ว่าคุณจะสนใจลงทุนในคริปโตหรือสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทไหนก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือ “การศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน” ครับ อย่าเพิ่งรีบใส่เงินทั้งหมดที่มีลงไปในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งเด็ดขาด โดยเฉพาะคริปโตฯ ที่ราคาขึ้นลงหวือหวาแบบที่หลายคนคาดไม่ถึงเลยล่ะครับ
* **รู้จักตัวเอง:** ประเมินความเสี่ยงที่รับได้และเป้าหมายการลงทุนของตัวเองก่อนเสมอ
* **กระจายความเสี่ยง:** ไม่ควรลงทุนในสินทรัพย์เดียวทั้งหมด ควรแบ่งเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นด้วย เช่น หุ้น กองทุน หรืออสังหาริมทรัพย์
* **ลงทุนเท่าที่เสียได้:** ใช้เงินเย็นที่ไม่ได้มีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันหากเกิดความเสียหายจากการลงทุน
* **ติดตามข่าวสาร:** ตลาดคริปโตเปลี่ยนแปลงเร็วมาก การอัปเดตข้อมูลและข่าวสารอยู่เสมอจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดีขึ้น
หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณผู้อ่านเข้าใจโลกของคริปโทเคอร์เรนซีและสินทรัพย์ดิจิทัลได้มากขึ้นนะครับ และไม่ว่าเทคโนโลยีจะก้าวหน้าไปไกลแค่ไหน หลักการลงทุนที่ดีที่สุดก็ยังคงเป็นการ “ศึกษา เข้าใจ และลงทุนอย่างมีสติ” เสมอครับ!