เพื่อนผมชื่อเอ้ก เพิ่งบ่นให้ฟังเมื่อวานว่าสมัยก่อนนู้นนน การจะไปทำธุรกรรมการเงินที่ธนาคารแต่ละทีนี่เป็นเรื่องใหญ่ ต้องลางานครึ่งวันเช้า เผื่อเวลาเดินทาง เผื่อเวลารอคิว บางทีไปถึงเอกสารไม่ครบ ต้องกลับไปเริ่มใหม่ วุ่นวายไปหมด แต่เดี๋ยวนี้สิ แค่หยิบมือถือขึ้นมา กดแอปไม่กี่ที โอนเงิน จ่ายบิล เช็คยอด จบ! ง่าย เร็ว สะดวกสบาย เหมือนมีธนาคารย่อมๆ อยู่ในกระเป๋าตลอดเวลา
เคยสงสัยไหมครับว่าอะไรทำให้โลกการเงินมันเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้? คำตอบสั้นๆ ง่ายๆ เลยก็คือ ฟินเทค (Fintech) หรือ เทคโนโลยีการเงินและธนาคาร นั่นเองครับ

พูดง่ายๆ ฟินเทคก็คือการเอาเทคโนโลยีล้ำๆ ไม่ว่าจะเป็นอินเทอร์เน็ต สมาร์ทโฟน ปัญญาประดิษฐ์ (AI) หรือแม้แต่เทคโนโลยีที่ซับซ้อนอย่างบล็อกเชน (Blockchain) มาผสมผสานเข้ากับบริการทางการเงินที่เราคุ้นเคยกันดี เพื่อทำให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้น เร็วขึ้น ถูกลง และเข้าถึงคนได้มากขึ้น ลองนึกภาพตามนะครับ เหมือนเมื่อก่อนเราอยากซื้อของก็ต้องไปตลาดหรือห้างสรรพสินค้า แต่เดี๋ยวนี้เราช้อปออนไลน์จากที่บ้านได้สบายๆ ฟินเทคก็ทำนองเดียวกันครับ มันเปลี่ยนโฉมหน้าวงการการเงิน จากที่เคยดูเข้าถึงยาก กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ใครๆ ก็ใช้ได้
ความจริงแล้วจุดเริ่มต้นของฟินเทคมันก็มีมาสักพักแล้วล่ะครับ ตั้งแต่ยุคที่ธนาคารเริ่มนำระบบคอมพิวเตอร์มาใช้ในการจัดการข้อมูล แต่ที่มันบูมสุดๆ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราแบบนี้ ก็ต้องยกความดีความชอบให้กับการมาถึงของสมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงนี่แหละ ที่ทำให้ เทคโนโลยีการเงินและธนาคาร มันเติบโตแบบก้าวกระโดด
สำหรับประเทศไทยเราเองก็ไม่น้อยหน้านะครับ วงการฟินเทคบ้านเราเติบโตเร็วมาก มีผู้เล่นหน้าใหม่ๆ เกิดขึ้นเพียบ แถมภาครัฐอย่างธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ให้การสนับสนุนเต็มที่ มีการวางโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินดิจิทัลที่แข็งแกร่ง อย่างระบบพร้อมเพย์ (PromptPay) ที่เราใช้โอนเงินกันคล่องปรื๋อทุกวันนี้ ก็เป็นหนึ่งในผลงานชิ้นโบว์แดงที่เกิดจากการผลักดันเรื่องนี้แหละครับ ฟินเทคจึงไม่ใช่แค่เรื่องไกลตัว หรือเรื่องของคนไอทีอีกต่อไป แต่มันคือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตของพวกเราทุกคนจริงๆ
ทีนี้พอพูดถึงฟินเทค หลายคนอาจจะนึกถึงแค่แอปธนาคารบนมือถือ หรือแอปจ่ายเงินต่างๆ แต่จริงๆ แล้วโลกของ เทคโนโลยีการเงินและธนาคาร มันกว้างใหญ่และมีอะไรมากกว่านั้นเยอะเลยครับ ลองมาดูกันดีกว่าว่าฟินเทคที่เราใช้ๆ กันอยู่ หรือที่กำลังมาแรงเนี่ย มันมีกี่แบบ อะไรบ้าง
เริ่มจากสิ่งที่คุ้นเคยที่สุดก่อนเลย โมบายแบงก์กิ้ง (Mobile Banking) หรือแอปพลิเคชันธนาคารบนมือถือที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนั่นแหละครับ ไม่ว่าจะเช็คยอดเงิน โอนเงิน จ่ายค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าโทรศัพท์ เติมเงินมือถือ หรือแม้แต่ซื้อกองทุน สมัครสินเชื่อเบื้องต้น เดี๋ยวนี้ทำผ่านแอปได้เกือบหมด สะดวกสุดๆ ไม่ต้องเสียเวลาไปสาขาเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

ถัดมาที่ฮิตไม่แพ้กันก็คือ โมบายเพย์เมนต์ (Mobile Payments) หรือที่เรียกติดปากกันว่า กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-Wallet) พวกแอปอย่าง TrueMoney Wallet, Rabbit LINE Pay, ShopeePay หรือแม้แต่การผูกบัตรเครดิต/เดบิตไว้กับ Google Wallet หรือ Apple Pay เพื่อใช้จ่ายตามร้านค้าต่างๆ แค่แตะหรือสแกน QR Code ก็จ่ายเงินได้เลย รวดเร็ว ปลอดภัย ลดการสัมผัสเงินสด เหมาะกับยุคนี้มากๆ
อีกตัวที่ช่วงหลังๆ ได้ยินบ่อยขึ้นคือ บล็อกเชน (Blockchain) อันนี้อาจจะฟังดูเทคนิคหน่อย แต่หลักการง่ายๆ ของมันคือเป็นเหมือนสมุดบัญชีดิจิทัลที่ทุกคนในเครือข่ายมีสำเนาเหมือนกันหมด ข้อมูลที่บันทึกไปแล้วจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ยากมาก ทำให้มันโปร่งใสและปลอดภัยสูง หลายคนอาจจะนึกถึงสกุลเงินดิจิทัลอย่างบิตคอยน์ (Bitcoin) ซึ่งก็ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเป็นพื้นฐาน แต่จริงๆ แล้วบล็อกเชนมันเอาไปประยุกต์ใช้กับเรื่องอื่นๆ ในวงการ เทคโนโลยีการเงินและธนาคาร ได้อีกเยอะเลยครับ เช่น การจัดการเอกสารสำคัญ การทำประกันภัย หรือแม้แต่การซื้อขายหลักทรัพย์ ช่วยลดขั้นตอน ลดต้นทุน และเพิ่มความน่าเชื่อถือได้เป็นอย่างดี
แล้วถ้าใครฝันอยากทำธุรกิจแต่ขาดเงินทุน หรือมีโปรเจกต์เจ๋งๆ อยากทำให้เป็นจริง คราวด์ฟันดิง (Crowdfunding) อาจเป็นคำตอบครับ มันคือแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เปิดโอกาสให้เรานำเสนอไอเดียหรือโครงการของเรา เพื่อระดมทุนจากคนจำนวนมากที่สนใจและอยากสนับสนุน ใครมีไอเดียดีๆ ก็ลองเข้าไปศึกษาดูได้ เป็นอีกช่องทางที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่ ศิลปิน หรือคนที่มีฝันอยากสร้างสรรค์อะไรสักอย่าง
สำหรับคนที่ไม่สะดวกขอสินเชื่อจากธนาคาร หรืออยากได้ทางเลือกใหม่ๆ สินเชื่อออนไลน์ระหว่างบุคคล (Peer-to-Peer Lending หรือ P2P Lending) ก็น่าสนใจครับ มันคือแพลตฟอร์มตัวกลางที่เชื่อมคนอยากกู้เงินกับคนที่มีเงินอยากปล่อยกู้เข้าด้วยกันโดยตรงเลย ไม่ต้องผ่านตัวกลางที่เป็นสถาบันการเงินแบบเดิมๆ ทำให้ขั้นตอนอาจจะง่ายกว่า เร็วกว่า แต่แน่นอนว่าก็ต้องศึกษาเงื่อนไขและความเสี่ยงให้ดีๆ ด้วยนะครับ
ส่วน คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) หรือสกุลเงินดิจิทัล อันนี้หลายคนน่าจะคุ้นชื่อกันดี อย่าง บิตคอยน์ (Bitcoin) หรือสกุลเงินอื่นๆ ที่เกิดขึ้นตามมามากมาย แม้จะมีความผันผวนสูงและมีความเสี่ยงที่ต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการเงินที่น่าจับตามอง บางคนใช้เพื่อการลงทุนเก็งกำไร บางที่ก็เริ่มรับชำระค่าสินค้าบริการด้วยคริปโตฯ แล้ว ถือเป็นอีกแขนงหนึ่งของ เทคโนโลยีการเงินและธนาคาร ที่ยังต้องดูกันยาวๆ
นอกจากบริการสำหรับคนทั่วไปแล้ว ฟินเทคก็ยังมีโซลูชันสำหรับภาคธุรกิจด้วยนะครับ อย่าง ซอฟต์แวร์การเงินสำหรับองค์กร (Enterprise Financial Software) พวกโปรแกรมบัญชีออนไลน์ ระบบจ่ายเงินเดือนพนักงาน หรือเครื่องมือช่วยจัดการภาษีต่างๆ ที่ช่วยให้การบริหารจัดการการเงินของบริษัทง่ายขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความผิดพลาด และประหยัดเวลาไปได้เยอะ

เรื่องการลงทุนก็ไม่น้อยหน้าครับ การจัดการการลงทุน (Investment Management) เดี๋ยวนี้มีแพลตฟอร์มมากมายที่ช่วยให้เราลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็น หุ้น กองทุนรวม ทองคำ หรือสินทรัพย์ดิจิทัล บางแพลตฟอร์มยังมีเทคโนโลยี AI มาช่วยวิเคราะห์ข้อมูล แนะนำการลงทุน หรือจัดพอร์ตให้แบบอัตโนมัติ (Robo-advisor) เหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่หรือคนที่ไม่ค่อยมีเวลาติดตามตลาด
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด เทคโนโลยีประกันภัย (Insurance Technology หรือ Insurtech) อันนี้คือการนำเทคโนโลยีมาปรับปรุงวงการประกันภัยให้ดีขึ้น เช่น ใช้ AI ช่วยคำนวณเบี้ยประกันที่เหมาะสมกับความเสี่ยงของแต่ละคน ทำให้เบี้ยประกันมีความเป็นธรรมมากขึ้น หรือมีแพลตฟอร์มออนไลน์ให้ซื้อประกัน เคลมประกัน ได้สะดวก รวดเร็วกว่าเดิม ลดขั้นตอนเอกสารที่ยุ่งยากลงไปได้มาก
เห็นไหมครับว่าโลกของ เทคโนโลยีการเงินและธนาคาร หรือฟินเทคมันมีอะไรให้เราได้ใช้ประโยชน์เยอะแยะไปหมดเลย แล้วข้อดีของมันจริงๆ จังๆ ล่ะ มีอะไรบ้าง? ทำไมเราถึงควรเปิดใจลองใช้?
ข้อแรกที่ชัดเจนที่สุดเลยคือ ความสะดวกสบายและเข้าถึงง่าย อย่างที่เล่าตอนต้นครับ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เวลาใด แค่มีสมาร์ทโฟนกับอินเทอร์เน็ต คุณก็สามารถทำธุรกรรมการเงินส่วนใหญ่ได้แทบจะทันที ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง ไม่ต้องรอคิว จะโอนเงินตอนเที่ยงคืน หรือจ่ายบิลตอนอยู่ต่างจังหวัด ก็ทำได้หมด
ข้อสองคือ ช่วยลดค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียม ลองสังเกตดูสิครับว่าการทำธุรกรรมผ่านช่องทางออนไลน์หรือแอปพลิเคชัน มักจะมีค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่าการไปทำที่สาขา หรือบางทีก็ฟรีไปเลย เพราะผู้ให้บริการฟินเทคส่วนใหญ่มีต้นทุนการดำเนินงานที่ต่ำกว่าธนาคารแบบดั้งเดิม ไม่มีค่าเช่าสาขาแพงๆ หรือพนักงานจำนวนมากเท่า ทำให้สามารถเสนอค่าบริการที่ถูกลงให้กับผู้ใช้งานได้
ข้อสามคือ เทคโนโลยีทันสมัย ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ ฟินเทคขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อนำเสนอบริการที่ตรงใจ หรือช่วยตรวจจับธุรกรรมที่น่าสงสัยเพื่อป้องกันการฉ้อโกง มีการใช้ระบบยืนยันตัวตนด้วยข้อมูลชีวภาพ (Biometrics) เช่น สแกนลายนิ้วมือ หรือสแกนใบหน้า เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการเข้าใช้งาน หรือเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ที่ช่วยให้การทำธุรกรรมบางประเภทมีความโปร่งใสและตรวจสอบได้มากขึ้น สิ่งเหล่านี้ทำให้ เทคโนโลยีการเงินและธนาคาร ไม่ใช่แค่สะดวก แต่ยังน่าเชื่อถือและมีประสิทธิภาพสูงด้วย
ข้อสี่ บริการทางการเงินหลากหลาย ตอบโจทย์ทุกความต้องการ อย่างที่เราไล่เรียงประเภทของฟินเทคไปก่อนหน้านี้ จะเห็นว่ามันครอบคลุมบริการทางการเงินแทบทุกด้าน ตั้งแต่เรื่องพื้นฐานอย่างการรับ-จ่าย-โอนเงิน ไปจนถึงเรื่องที่ซับซ้อนขึ้นอย่างการลงทุน การขอสินเชื่อ หรือการทำประกัน ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเรียน นักศึกษา พนักงานออฟฟิศ เจ้าของธุรกิจ หรือนักลงทุน ก็มีบริการฟินเทคที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของคุณได้
ข้อห้าที่สำคัญมากๆ คือ เพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการทางการเงิน สำหรับคนบางกลุ่มที่อาจจะเคยเข้าไม่ถึงบริการของธนาคารแบบเดิมๆ เช่น คนที่อยู่ห่างไกลสาขา คนที่มีรายได้น้อย หรือไม่มีเอกสารทางการเงินที่ครบถ้วน ฟินเทคสามารถเป็นประตูบานใหม่ที่เปิดโอกาสให้คนเหล่านี้เข้าถึงบริการทางการเงินที่จำเป็นได้ง่ายขึ้น เช่น การขอสินเชื่อรายย่อยผ่านแอป หรือการเปิดบัญชี E-Wallet เพื่อใช้รับจ่ายเงิน ซึ่งช่วยลดความเหลื่อมล้ำและส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจที่กว้างขวางขึ้น
สุดท้าย ฟินเทคไม่ได้มีประโยชน์แค่กับผู้ใช้งานอย่างเราๆ นะครับ แต่มันยัง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของสถาบันการเงินแบบดั้งเดิม ด้วย ธนาคารหลายแห่งก็หันมาลงทุนพัฒนา เทคโนโลยีการเงินและธนาคาร ของตัวเอง หรือจับมือร่วมกับบริษัทฟินเทค เพื่อปรับปรุงบริการให้ดีขึ้น ลดต้นทุนภายใน เพิ่มความรวดเร็วในการทำงาน และยกระดับความปลอดภัย ซึ่งผลประโยชน์สุดท้ายก็ตกมาถึงผู้บริโภคอย่างเรานี่แหละครับ
มองไปข้างหน้าแล้ว อนาคตของ เทคโนโลยีการเงินและธนาคาร หรือฟินเทค ก็ดูจะยิ่งสดใสและมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ ในชีวิตของเรานะครับ มีแนวโน้มที่น่าสนใจหลายอย่างที่เราน่าจะจับตามองกัน
อย่างแรกเลยคือ การเติบโตของ Mobile Payment หรือการจ่ายเงินผ่านมือถือ คาดการณ์กันว่าจะยิ่งแพร่หลายมากขึ้นไปอีก จนกลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน การพกเงินสดอาจจะน้อยลงเรื่อยๆ เพราะแค่มีมือถือเครื่องเดียวก็แทบจะทำทุกอย่างได้แล้ว
การขยายตัวของ P2P Lending หรือสินเชื่อออนไลน์ระหว่างบุคคล ก็น่าจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะเป็นทางเลือกที่สะดวกและอาจจะเข้าถึงง่ายกว่าสำหรับบางคน แต่แน่นอนว่าผู้ใช้บริการก็ต้องศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจความเสี่ยงให้ดีก่อนตัดสินใจ
การระดมทุนแบบ Crowdfunding จะกลายเป็นช่องทางสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก สตาร์ทอัพ หรือโครงการสร้างสรรค์ต่างๆ ที่ต้องการเงินทุนเริ่มต้น เป็นการเปิดโอกาสให้ไอเดียดีๆ ได้เกิดขึ้นจริง
บทบาทของ Blockchain ก็น่าจะขยายวงกว้างออกไปมากกว่าแค่เรื่องสกุลเงินดิจิทัล อาจจะถูกนำไปใช้ในระบบการยืนยันตัวตน การทำสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) หรือการซื้อขายสินทรัพย์ประเภทต่างๆ มากขึ้น เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและลดต้นทุน
และที่ขาดไม่ได้คือ การใช้ AI และ Machine Learning ที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญสุดๆ ในการพัฒนาบริการ เทคโนโลยีการเงินและธนาคาร ให้ฉลาดขึ้น ตรงใจผู้ใช้งานแต่ละคนมากขึ้น ช่วยวิเคราะห์ความเสี่ยงได้แม่นยำขึ้น ป้องกันการฉ้อโกงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยให้สถาบันการเงินทำงานได้อย่างอัตโนมัติและรวดเร็วยิ่งขึ้น
สรุปแล้ว เทคโนโลยีการเงินและธนาคาร หรือ ฟินเทค ไม่ใช่เรื่องใหม่หรือเรื่องไกลตัวอีกต่อไปแล้ว แต่มันคือส่วนสำคัญที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและวิธีจัดการเรื่องเงินๆ ทองๆ ของเราไปอย่างสิ้นเชิง มันมอบความสะดวกสบาย ลดต้นทุน เพิ่มทางเลือก และเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการ
คำแนะนำสำหรับทุกคนก็คือ ลองเปิดใจศึกษาและทำความเข้าใจบริการฟินเทคต่างๆ ที่มีอยู่ ลองสำรวจแอปพลิเคชันหรือแพลตฟอร์มที่น่าสนใจ อาจจะเริ่มต้นจากบริการง่ายๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวันก่อน เช่น E-Wallet หรือ Mobile Banking แล้วค่อยๆ ขยับไปศึกษาบริการอื่นๆ ที่ซับซ้อนขึ้นตามความต้องการและความพร้อมของเรา
⚠️ แต่เดี๋ยวก่อน! แม้ฟินเทคจะมีข้อดีมากมาย แต่ทุกอย่างย่อมมีสองด้านเสมอครับ ก่อนจะใช้บริการอะไรก็ตาม อย่าลืมศึกษาข้อมูลให้ละเอียดถี่ถ้วน อ่านเงื่อนไขและข้อตกลงต่างๆ ให้เข้าใจ โดยเฉพาะเรื่องค่าธรรมเนียมแฝง ความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการลงทุนผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ หรือการใช้บริการ P2P Lending และการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความผันผวนสูง ควรประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตัวเองให้ดี และอย่าใส่เงินทั้งหมดลงไปในที่เดียวเด็ดขาดนะครับ การกระจายความเสี่ยงยังคงเป็นหลักการสำคัญเสมอ
โลกการเงินกำลังหมุนไปข้างหน้าด้วยพลังของเทคโนโลยี การเรียนรู้และปรับตัวให้ทัน คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เราใช้ประโยชน์จาก เทคโนโลยีการเงินและธนาคาร ได้อย่างเต็มที่และปลอดภัยครับ