คริปโตพลัส

ศูนย์รวมความรู้คริปโต เคล็ดลับลงทุน และอัปเดตราคาเหรียญแบบเรียลไทม์

ความรู้คริปโตและวิเคราะห์ราคา

เจาะลึก 10 ปี Bitcoin: ราคาผันผวน โอกาสทอง หรือแค่ฟองสบู่? (พร้อมข้อมูลราคา bitcoin ย้อนหลัง 10 ปี)

โอ้โห! ถ้าพูดถึงเจ้า “บิทคอยน์” นี่ ไม่พูดถึงเรื่อง “ราคา” คงไม่ได้จริงๆ ครับ ยิ่งถ้าเราลองมองย้อนกลับไปดู `ราคา bitcoin ย้อนหลัง 10 ปี` เนี่ยนะ บอกเลยว่ามันคือที่สุดแห่งความผันผวน ราวกับนั่งรถไฟเหาะตีลังกาซ้อนกันหลายๆ รอบ! แต่มันก็ดึงดูดนักลงทุนทั่วโลก รวมถึงพี่น้องชาวไทย ให้หันมามองเจ้าสินทรัพย์ดิจิทัลตัวนี้อย่างจริงจัง แล้วไอ้เจ้าบิทคอยน์มันคืออะไรกันแน่ ทำไมราคาถึงหวือหวาขนาดนี้ วันนี้ผมในฐานะคนเขียนคอลัมน์การเงินที่ชอบเล่าเรื่องยากๆ ให้ฟังง่ายๆ จะพาไปทำความรู้จักกับมัน พร้อมย้อนรอยการเดินทางของราคาบิทคอยน์ตลอดหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมากันครับ

**บิทคอยน์คืออะไร? ไม่ใช่เงินกระดาษ แล้วมันทำงานยังไง?**

ลองนึกภาพตามผมนะครับ สมัยก่อนถ้าเราจะโอนเงินให้เพื่อนที่อยู่ไกลๆ เราต้องไปธนาคาร หรือใช้บริการโอนเงินผ่านตัวกลางใช่ไหมครับ การทำธุรกรรมทุกอย่างต้องมี “คนกลาง” คอยดูแล ตรวจสอบ และบันทึกข้อมูล แต่ไอเดียของ “ซาโตชิ นากาโมโตะ” (Satoshi Nakamoto) ผู้ใช้นามแฝงที่สร้างบิทคอยน์ขึ้นมาในปี 2551 (2008) คืออยากสร้างระบบเงินสดอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้ใช้งานสามารถส่งหากันได้โดยตรงแบบเพียร์ทูเพียร์ (Peer-to-Peer) โดย “ไม่ต้องมีตัวกลาง” มาคอยควบคุมอีกต่อไป ฟังดูแปลกใหม่ ล้ำยุคมากๆ เลยใช่ไหมครับ

หัวใจสำคัญที่ทำให้บิทคอยน์ทำงานได้โดยไม่ต้องมีตัวกลางก็คือ เทคโนโลยีที่เรียกว่า “บล็อกเชน” (Blockchain) ครับ ลองเปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆ บล็อกเชนก็เหมือนสมุดบัญชีเล่มยักษ์ที่ไม่ได้อยู่กับคนใดคนหนึ่ง หรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่สำเนาถูกกระจายไปอยู่กับผู้ใช้งานทุกคนในเครือข่าย และทุกคนสามารถเข้าถึงและตรวจสอบทุกธุรกรรมที่เคยเกิดขึ้นได้ (แต่ไม่รู้ว่าเป็นของใครนะ) ข้อมูลที่บันทึกแล้วจะแก้ไขได้ยากมากๆ ทำให้มีความโปร่งใสและปลอดภัยในตัวมันเอง เจ้าบิทคอยน์นี่แหละคือ “สกุลเงินดิจิทัล” ตัวแรกที่นำแนวคิดนี้มาใช้จริง และเครือข่ายบิทคอยน์ก็เริ่มทำงานอย่างเป็นทางการในวันที่ 3 มกราคม 2552 (2009) ครับ

**จากพิซซ่า 2 ถาด สู่สินทรัพย์หลายล้านบาท: ย้อนรอย `ราคา bitcoin ย้อนหลัง 10 ปี`**

การเดินทางของ `ราคา bitcoin ย้อนหลัง 10 ปี` และกว่านั้นอีกเล็กน้อย คือเรื่องราวที่เต็มไปด้วยความดราม่ามากๆ ครับ ใครจะเชื่อว่าเจ้าสิ่งนี้ที่ครั้งหนึ่งเคยมูลค่าน้อยเสียจนมีคนเอา 10,000 บิทคอยน์ ไปแลกพิซซ่า 2 ถาด เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2553 (2010) ซึ่งตอนนี้เราเรียกวันนี้ว่า “วัน Bitcoin Pizza Day” เนี่ยนะ จะมีราคาพุ่งขึ้นไปสูงลิ่วจนคาดไม่ถึง ลองมาดูไฮไลท์ของราคาบิทคอยน์ในแต่ละช่วงกันคร่าวๆ ครับ

* **ยุคบุกเบิก (ประมาณปี 2554 – 2558):** ในช่วงแรกๆ บิทคอยน์ยังเป็นที่รู้จักเฉพาะกลุ่มมากๆ ครับ ราคาเลยยังไม่สูงมากนัก แต่ก็เริ่มเห็นการเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ อย่างในปี 2554 (2011) ราคาก็ขยับจากแค่ประมาณ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ไปสูงสุดถึง 32 ดอลลาร์สหรัฐฯ ก่อนจะย่อลงปลายปี เรียกว่าโต 3,200% ในเวลาสั้นๆ! เป็นสัญญาณแรกว่าเจ้านี่มันไม่ธรรมดา หลังจากนั้นในปี 2555 (2012) ก็เกิดเหตุการณ์สำคัญครั้งแรกที่เรียกว่า “Bitcoin Halving” (เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังทีหลัง) ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน ราคาก็เริ่มพุ่งสูงขึ้นไปถึงกว่า 270 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2556 (2013) ราคาก็ยังคงความผันผวนสูงมาก มีทั้งช่วงที่พุ่งขึ้นไปแตะ 1,156 ดอลลาร์สหรัฐฯ แล้วก็ย่อลงแรงๆ ก่อนจะเข้าสู่ช่วงปี 2557-2558 (2014-2015) ที่เรียกว่าเป็น “ตลาดขาลง” ราคาบิทคอยน์ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำระดับต่ำสุดที่ประมาณ 314 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงนั้น

* **ยุคตื่นทองดิจิทัล (ประมาณปี 2559 – 2561):** ช่วงนี้แหละครับที่บิทคอยน์เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น ปี 2559 (2016) `ราคา bitcoin ย้อนหลัง 10 ปี` เริ่มขยับขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกครั้ง ปิดปีที่เกือบ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ และแล้วปี 2560 (2017) ก็มาถึง! ปีนี้คือปีแห่งการระเบิดของราคาบิทคอยน์อย่างแท้จริง จากต้นปีที่ยังไม่ถึง 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาก็พุ่งทะยานขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ไปทำจุดสูงสุดที่เกือบ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนธันวาคม! (ประมาณ 19,783 ดอลลาร์สหรัฐฯ) การเติบโตในปีเดียวสูงถึง 1,300 กว่าเปอร์เซ็นต์ ทำให้คนหันมาสนใจและรู้จักบิทคอยน์กันทั่วโลก แต่หลังจากที่ราคาพุ่งแรงขนาดนั้น ก็หนีไม่พ้นกฎของตลาดครับ ปี 2561-2562 (2018-2019) ราคาบิทคอยน์ก็เข้าสู่ช่วง “ตลาดหมี” อีกครั้ง มีการปรับฐานและแกว่งตัวอยู่ในกรอบล่างๆ ห่างจากจุดสูงสุดเดิมค่อนข้างมาก ใครที่เพิ่งเข้าซื้อตอนปลายปี 2560 อาจจะรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ กันเลยทีเดียว

* **ยุคแห่งการยอมรับที่เพิ่มขึ้น (ประมาณปี 2563 – ปัจจุบัน):** ในช่วงปี 2563 (2020) สถานการณ์ทั่วโลกจากโรคระบาดโควิด-19 ทำให้ธนาคารกลางหลายประเทศต้องอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบจำนวนมหาศาล เกิดความกังวลเรื่อง “เงินเฟ้อ” ขึ้นมาครับ นักลงทุนจำนวนมาก โดยเฉพาะสถาบันและบริษัทใหญ่ๆ เริ่มมองหา “สินทรัพย์ทางเลือก” ที่จะช่วยป้องกันความมั่งคั่งจากภาวะเงินเฟ้อ และบิทคอยน์ก็ถูกพูดถึงในฐานะ “ทองคำดิจิทัล” (Digital Gold) ที่มีคุณสมบัติคล้ายทองคำในการเป็นแหล่งเก็บมูลค่า (Store of Value) ที่มีจำนวนจำกัด ประกอบกับเหตุการณ์ Bitcoin Halving ครั้งที่สามในปี 2563 ด้วย ทำให้ราคาบิทคอยน์เริ่มพุ่งขึ้นอีกครั้ง ทะลุจุดสูงสุดเดิมในปี 2560 ได้อย่างสวยงาม ปิดปี 2563 ที่เกือบ 30,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ

ปี 2564 (2021) คือจุดพีคอีกครั้งครับ ราคาบิทคอยน์ทำจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาล ทะลุ 60,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ไปได้ และในประเทศไทยก็ทะลุ 2,000,000 บาทต่อ 1 บิทคอยน์ไปแล้ว! การที่บริษัทขนาดใหญ่ เช่น ไมโครสตราทีจี (MicroStrategy) เข้ามาถือบิทคอยน์เป็นสินทรัพย์สำรองในงบดุล หรือธนาคารใหญ่ๆ อย่าง มอร์แกน สแตนลีย์ (Morgan Stanley) เริ่มให้บริการเกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซี รวมถึงประเทศอย่าง เอลซัลวาดอร์ (El Salvador) ประกาศรับบิทคอยน์เป็นสกุลเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ยิ่งตอกย้ำว่าบิทคอยน์ได้รับการยอมรับในระดับสถาบันมากขึ้นเรื่อยๆ

แต่แล้วก็มีข่าวใหญ่จากประเทศจีนที่ประกาศห้ามการขุดคริปโทเคอร์เรนซี (การใช้คอมพิวเตอร์ประมวลผลเพื่อสร้างบิทคอยน์ใหม่) ในประเทศครั้งใหญ่ในปี 2564 ซึ่งส่งผลให้ราคาบิทคอยน์ปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นว่านโยบายภาครัฐก็มีผลกับราคาบิทคอยน์อย่างมาก

และในปี 2565 (2022) ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลก็เข้าสู่สภาวะ “ตลาดขาลง” ครั้งใหญ่อีกครั้งครับ ราคาบิทคอยน์ร่วงลงมาอย่างหนักกว่า 70% จากจุดสูงสุด สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากสภาวะเศรษฐกิจมหภาค การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลก (เช่น เฟด หรือธนาคารกลางสหรัฐฯ) เพื่อสกัดเงินเฟ้อ ทำให้สินทรัพย์เสี่ยงสูงอย่างคริปโทเคอร์เรนซีถูกเทขายทำกำไร

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี 2566 (2023) เป็นต้นมา ก็เริ่มมีปัจจัยบวกกลับเข้ามา เช่น การที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ หรือ ก.ล.ต. สหรัฐฯ (US SEC) เริ่มให้การยอมรับในผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับบิทคอยน์ ซึ่งถูกมองว่าเป็นสัญญาณที่ดีต่ออุตสาหกรรม

**Bitcoin Halving เกี่ยวอะไรกับราคา?**

หนึ่งในกลไกสำคัญที่นักลงทุนบิทคอยน์จับตาดูตลอดคือ “Bitcoin Halving” ครับ เหตุการณ์นี้คือการที่ “รางวัล” ที่นักขุด (Miner) ได้รับจากการประมวลผลเพื่อยืนยันธุรกรรมและสร้างบิทคอยน์ใหม่ ถูกลดลงครึ่งหนึ่งโดยอัตโนมัติ กลไกนี้ถูกเขียนไว้ในโค้ดตั้งแต่แรกเพื่อควบคุมจำนวนบิทคอยน์ไม่ให้มีมากเกินไป และมันจะเกิดขึ้นทุกๆ ประมาณ 4 ปี

* ครั้งแรก: ปี 2555 (2012) รางวัลลดลงจาก 50 เหลือ 25 BTC ต่อบล็อก
* ครั้งที่สอง: ปี 2559 (2016) รางวัลลดลงจาก 25 เหลือ 12.5 BTC ต่อบล็อก
* ครั้งที่สาม: ปี 2563 (2020) รางวัลลดลงจาก 12.5 เหลือ 6.25 BTC ต่อบล็อก

การ Halving ส่งผลให้อัตราการผลิตบิทคอยน์ใหม่เข้าสู่ระบบช้าลง พูดง่ายๆ คือ “อุปทานใหม่ลดลง” ครับ และจากข้อมูลในอดีตที่ผ่านมา เรามักจะเห็น `ราคา bitcoin ย้อนหลัง 10 ปี` และมากกว่านั้น ปรับตัวสูงขึ้นภายใน 1-2 ปีหลังจากเกิดเหตุการณ์ Bitcoin Halving เสมอ นักวิเคราะห์หลายคนจึงเชื่อว่ากลไกนี้มีส่วนกระตุ้นราคาในระยะยาว

**บิทคอยน์ vs ทองคำ: ใครเป็น Store of Value ที่เจ๋งกว่ากัน?**

พอพูดถึงเรื่องป้องกันเงินเฟ้อ หรือการเป็น “Store of Value” (สินทรัพย์เก็บมูลค่า) หลายคนมักจะนึกถึง “ทองคำ” ใช่ไหมครับ ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา บิทคอยน์ก็ถูกนำมาเปรียบเทียบกับทองคำในฐานะสินทรัพย์ทางเลือกนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเราลองดูผลตอบแทนย้อนหลังของทั้งสองสินทรัพย์ในช่วงปี 2557-2566 ตามข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น บลูมเบิร์ก (Bloomberg) จะเห็นภาพที่ชัดเจนมากๆ ครับ

ลองดูผลตอบแทนรายปีคร่าวๆ นะครับ:

* ปี 2566: ทองคำ +13.1%, บิทคอยน์ +157.0%
* ปี 2565: ทองคำ -0.3%, บิทคอยน์ -64.3% (บิทคอยน์ลงแรงกว่ามาก)
* ปี 2564: ทองคำ -3.6%, บิทคอยน์ +59.8%
* ปี 2563: ทองคำ +25.1%, บิทคอยน์ +305.1% (ทั้งคู่ขึ้นแรง)
* ปี 2562: ทองคำ +18.3%, บิทคอยน์ +94.8%
* ปี 2561: ทองคำ -1.6%, บิทคอยน์ -73.8% (ทั้งคู่ลง แต่บิทคอยน์ลงหนักกว่ามาก)
* ปี 2560: ทองคำ +13.5%, บิทคอยน์ +1375.1% (บิทคอยน์พุ่งมหาศาล)
* ปี 2559: ทองคำ +8.1%, บิทคอยน์ +120.3%
* ปี 2558: ทองคำ -10.4%, บิทคอยน์ +36.2%
* ปี 2557: ทองคำ -1.4%, บิทคอยน์ -57.5% (ทั้งคู่ลง แต่บิทคอยน์ลงหนักกว่ามาก)

จะเห็นได้ชัดเจนเลยว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะปีที่เป็น “ตลาดกระทิง” บิทคอยน์ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าทองคำอย่างมหาศาลจริงๆ ครับ แต่ในทางกลับกัน ในปีที่ตลาดเป็น “ขาลง” บิทคอยน์ก็ปรับตัวลดลงรุนแรงกว่าทองคำมากๆ เช่นกัน นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่า “ความผันผวน” ครับ

นักวิเคราะห์จาก หยวนต้า รีเสิร์ช (Yuanta Research) เคยให้มุมมองว่า ทองคำมักจะมีแนวโน้มราคาขึ้นเมื่อผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ลดลง หรือเมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ย เพราะทำให้นักลงทุนมองหาการลงทุนทางเลือกที่ไม่ใช่สินทรัพย์ที่มีดอกเบี้ย ในขณะที่บิทคอยน์ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ใหม่นั้น กำลังได้รับแรงหนุนจากการยอมรับของ ก.ล.ต. สหรัฐฯ และปัจจัยเรื่อง Bitcoin Halving ซึ่งในอดีตมักส่งผลให้ราคาบิทคอยน์ปรับตัวขึ้นตามมาใน 1-2 ปี

**บิทคอยน์ในประเทศไทย: เข้าถึงง่ายขึ้นไหม?**

สำหรับนักลงทุนในประเทศไทย ต้องบอกว่าการเข้าถึงบิทคอยน์และสินทรัพย์ดิจิทัลสะดวกขึ้นมากครับ ตั้งแต่ช่วงปี 2561 (2018) เป็นต้นมา มีการเปิดตัวกระดานซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศที่ได้รับการกำกับดูแล ทำให้เราสามารถซื้อขายบิทคอยน์ด้วยเงินบาทได้โดยตรง ไม่ต้องยุ่งยากแลกเงินหลายต่อเหมือนเมื่อก่อน นอกจากนี้ ในช่วงปี 2563 (2020) เป็นต้นไป คนไทยจำนวนมากก็เริ่มรู้จักบิทคอยน์และคริปโทเคอร์เรนซีกันมากขึ้นจากข่าวสารและการพูดถึงในวงกว้าง

**สรุปและข้อคิดสำหรับนักลงทุน**

การเดินทางของบิทคอยน์ตั้งแต่ปี 2552 จนถึงตอนนี้ หรือถ้าเจาะจงดู `ราคา bitcoin ย้อนหลัง 10 ปี` คือเรื่องราวของนวัตกรรมทางการเงินที่สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ราคาของมันแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเติบโตที่สูงลิ่ว แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงและความผันผวนที่สูงตามไปด้วย ปัจจัยต่างๆ เช่น Bitcoin Halving, การยอมรับจากสถาบันและภาครัฐ, นโยบายจากประเทศสำคัญๆ อย่างจีน, และสภาวะเศรษฐกิจมหภาค ล้วนมีผลอย่างมากต่อการเคลื่อนไหวของราคา

บิทคอยน์อาจจะดูน่าตื่นเต้น และให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าทองคำในหลายๆ ปีที่ผ่านมา แต่มันก็ไม่ใช่สินทรัพย์ที่จะเหมาะกับทุกคนครับ

⚠️ **ข้อสำคัญที่ต้องจำไว้เสมอก็คือ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน โดยเฉพาะสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงอย่างบิทคอยน์**

ก่อนจะตัดสินใจ “กระโดด” เข้าสู่โลกบิทคอยน์ ลองถามตัวเองก่อนว่า:

1. **เราเข้าใจบิทคอยน์จริงๆ หรือยัง?** เข้าใจกลไกพื้นฐาน ความเสี่ยง และปัจจัยที่ทำให้ราคาขึ้นลงหรือไม่?
2. **เรารับความผันผวนสูงๆ ได้ไหม?** ถ้าราคาลดลง 20-30% หรือมากกว่านั้นในเวลาอันรวดเร็ว เราจะตกใจจนขายทิ้งขาดทุน หรือยังสามารถถือต่อได้?
3. **เรากำลังใช้ “เงินเย็น” มาลงทุนใช่ไหม?** เงินเย็นคือเงินที่เราไม่ได้จำเป็นต้องใช้ในระยะสั้น ไม่ใช่เงินเก็บก้อนสุดท้าย หรือเงินที่ต้องเอาไว้จ่ายค่าเทอมลูก ถ้าเงินที่เราจะเอามาลงทุนมีความจำเป็นต้องใช้ในอีก 3-6 เดือนข้างหน้า แสดงว่ามันไม่ใช่เงินเย็นครับ

สำหรับคนที่สนใจ อาจจะเริ่มจากการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมให้เยอะๆ ทำความเข้าใจเทคโนโลยีเบื้องหลัง และอาจจะลองเริ่มต้นลงทุนด้วยเงินจำนวนน้อยๆ ที่พร้อมจะสูญเสียได้ ศึกษาการทำงานของกระดานซื้อขายในประเทศ หรือแพลตฟอร์มระดับโลกที่มีความน่าเชื่อถือ (อย่างเช่น Moneta Markets ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการเทรดที่ให้บริการสินทรัพย์หลากหลายรูปแบบ) เพื่อทำความเข้าใจวิธีการซื้อขายจริงๆ

เรื่องราว `ราคา bitcoin ย้อนหลัง 10 ปี` บอกเราว่ามันคือสินทรัพย์ที่ให้โอกาสมหาศาล แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่ต้องบริหารจัดการให้ดีครับ ขอให้ทุกคนที่สนใจโชคดีกับการศึกษาและตัดสินใจลงทุนครับ!

LEAVE A RESPONSE