คริปโตพลัส

ศูนย์รวมความรู้คริปโต เคล็ดลับลงทุน และอัปเดตราคาเหรียญแบบเรียลไทม์

ความรู้คริปโตและวิเคราะห์ราคา

เจาะลึก “คริปไทย”: โอกาสและความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องรู้!

ช่วงนี้ใครที่ติดตามข่าวสารการลงทุน อาจจะเห็นพาดหัวข่าวใหญ่ๆ ประมาณว่า “ราคา Bitcoin ร่วงหนัก!”, “ตลาดคริปโตเลือดแดง” อะไรทำนองนี้ใช่ไหมครับ? เป็นเรื่องปกติในโลกของสินทรัพย์ดิจิทัลที่ขึ้นชื่อเรื่องความผันผวนสูง แต่ในความผันผวนนั้นก็มีเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับ “คริปไทย” บ้านเราซ่อนอยู่ไม่น้อยเลยครับ

ถ้ามองไปที่ตลาดโลกโดยรวม ช่วงวันที่ 18 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา ราคาบิทคอยน์ (Bitcoin) ซึ่งเป็นพี่ใหญ่ในวงการ ก็ปรับตัวลดลงไปแตะจุดต่ำสุดในรอบ 1 เดือน ทะลุ 65,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ลงไป สร้างบรรยากาศอึมครึมให้ตลาดโดยรวม หรือที่เรียกกันว่า “ตลาดสีเลือด” ทำเอาเหรียญเล็กเหรียญน้อย หรือ Altcoin หลายสกุลพลอยแดงตามไปด้วย มูลค่าตลาดคริปโตรวมทั่วโลกก็อยู่ที่ราวๆ 107.6 ล้านล้านบาท ลดลงไปกว่า 1% ใน 24 ชั่วโมง ขณะที่ปริมาณการซื้อขายก็หดตัวลงเกือบ 20% เลยทีเดียว ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนความกลัวที่ปกคลุมตลาด เห็นได้จากดัชนีความกลัวและความโลภ (Fear and Greed Index) ที่ลงไปอยู่ที่ระดับ 40/100 ซึ่งอยู่ในโซน “ความกลัว” ชัดเจนครับ แม้ว่าบิทคอยน์จะยังครองสัดส่วนมูลค่าตลาดรวมสูงถึงเกือบ 60% ก็ตาม

แต่ที่น่าแปลกใจและชวนให้ตีความคือ ท่ามกลางราคาที่ร่วงลงนี้ ข้อมูลกลับพบว่าจำนวนกระเป๋าเงิน Bitcoin ที่ถือครองบิทคอยน์ตั้งแต่ 10 เหรียญขึ้นไป กลับมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องครับ นักวิเคราะห์หลายคนมักตีความว่านี่อาจเป็นสัญญาณว่า “เจ้ามือ” หรือนักลงทุนรายใหญ่กำลังใช้จังหวะที่ราคาลดลงนี้ในการทยอยสะสมเหรียญเข้าพอร์ตตัวเอง ไม่รู้ว่าเตรียมพร้อมสำหรับรอบต่อไปหรือเปล่า แต่ก็เป็นอีกมุมที่น่าจับตาครับ

แล้วสถานการณ์ในไทย หรือเรื่องราวของ “คริปไทย” เราล่ะเป็นยังไง? ข้อมูลจาก Chainalysis ในปี 2023 ระบุว่าประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้อยู่ใน Top 3 ของโลกด้านการยอมรับคริปโตเลยทีเดียวครับ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าคนไทยค่อนข้างเปิดรับสินทรัพย์ดิจิทัล นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (รมว. DE) ก็เคยกล่าวถึงศักยภาพของเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ที่เป็นเบื้องหลังคริปโตฯ ว่าจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยได้ ทั้งด้านการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดขั้นตอนและค่าใช้จ่าย สร้างความโปร่งใส และเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ขณะที่คุณสัญชัย ปอปลี ผู้จัดงาน Blockchain Genesis และซีอีโอของ คริปโตมายด์ กรุ๊ป ก็มองว่าไทยมีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์กลางคริปโตของภูมิภาคอาเซียนได้ ด้วยปัจจัยสนับสนุนอย่างการมีหน่วยงานกำกับดูแลที่ชัดเจนอย่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) และการมีผู้เล่น รวมถึงชุมชนคริปโตที่ค่อนข้างเข้มแข็งและครอบคลุม

แต่เรื่องที่ยังเป็นปริศนาและถกเถียงกันในวงการ “คริปไทย” คือเรื่องตัวเลขผู้ถือครองคริปโตในประเทศครับ รายงานจากแหล่งข้อมูลต่างๆ เช่น DataReportal, Statista, TripleA ให้ตัวเลขที่แตกต่างกันมาก ตั้งแต่ 3.6 ล้านคน ไปจนถึง 7.1 ล้านคน ซึ่งตัวเลขเหล่านี้มาจากการสำรวจ (Survey) ทำให้มีข้อจำกัดด้านระเบียบวิธีและอาจมีความคลาดเคลื่อนได้ครับ เมื่อเทียบกับข้อมูลเพื่อการบริหาร (Administrative Data) จากจำนวนบัญชีซื้อขายรวมบนศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้การกำกับของ สำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 2.7 ล้านบัญชี ณ เดือนเมษายน 2565 จะเห็นว่าตัวเลขจากแหล่งสำรวจสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ความแตกต่างนี้ส่วนหนึ่งมาจากการนับผู้ใช้งานบน Exchange (เอ็กซ์เชนจ์) หรือศูนย์ซื้อขายต่างประเทศขนาดใหญ่ที่คนไทยนิยมใช้ ซึ่งไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับของไทย ทำให้เรายังไม่สามารถทราบจำนวนผู้ถือครอง “คริปไทย” ทั้งหมดได้อย่างแม่นยำจริงๆ ครับ

แล้วไอ้เจ้าคริปโตที่ว่าเนี่ย มันคืออะไรกันแน่? ในมุมของกฎหมายและคำนิยามอย่างง่ายๆ สินทรัพย์ดิจิทัลแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ คริปโทเคอร์เรนซี และ โทเคนดิจิทัล คริปโทเคอร์เรนซี อย่าง Bitcoin (บิทคอยน์) หรือ Ethereum (อีเธอเรียม) ก็คือหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้า บริการ หรือสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ เหมือนเงิน แต่ยังไม่ถือเป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายบ้านเรานะครับ ส่วนโทเคนดิจิทัล ก็เป็นหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เหมือนกัน แต่จะกำหนดสิทธิบางอย่าง เช่น สิทธิร่วมลงทุน (Investment Token) หรือสิทธิในการได้สินค้า/บริการ (Utility Token) ซึ่งอาจเสนอขายผ่านกระบวนการที่เรียกว่า ICO (Initial Coin Offering) ประเภทของเหรียญคริปโตที่เราได้ยินกันก็มีหลากหลาย ทั้ง Coins (เหรียญหลักๆ อย่างบิทคอยน์, อีเธอเรียม) Altcoins (เหรียญอื่นๆ ที่ไม่ใช่บิทคอยน์ เช่น XRP, Solana), Tokens (เหรียญที่มีสิทธิประโยชน์ต่างๆ รวมถึง NFT หรือ Non-Fungible Token ที่เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลเฉพาะตัว) และ Stablecoins (สเตเบิ้ลคอยน์) ซึ่งเป็นเหรียญที่มีมูลค่าค่อนข้างคงที่ ผูกกับสินทรัพย์อื่น เช่น เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อย่าง USDT หรือ USDC

เบื้องหลังการทำงานของคริปโตคือเทคโนโลยีที่เรียกว่า บล็อกเชน (Blockchain) ซึ่งเปรียบเสมือนสมุดบัญชีออนไลน์ขนาดใหญ่ที่กระจายไปอยู่ในคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่องทั่วโลก มีความปลอดภัยสูงเพราะข้อมูลที่บันทึกแล้วจะแก้ไขได้ยาก และทุกคนสามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ การสร้างเหรียญใหม่บางประเภทอย่างบิทคอยน์ต้องผ่านกระบวนการที่เรียกว่า การขุด (Mining) ที่ใช้พลังการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ในการแก้โจทย์คณิตศาสตร์เพื่อตรวจสอบและบันทึกธุรกรรมใหม่ๆ เข้าไปในบล็อกเชน

ข้อดีของคริปโตที่หลายคนชื่นชอบก็คือความรวดเร็วในการทำธุรกรรม ค่าธรรมเนียมที่มักจะต่ำกว่าการโอนเงินแบบดั้งเดิม และความเป็นส่วนตัวในระดับหนึ่ง เพราะไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนผู้ใช้แบบการทำธุรกรรมทางการเงินทั่วไป แต่ข้อเสียที่สำคัญและเป็นที่กังวลมาตลอดก็คือ ความซับซ้อนที่ทำให้คนทั่วไปเข้าใจยาก และที่สำคัญที่สุดคือ ความผันผวนของราคาที่สูงมาก ซึ่งเป็นดาบสองคม ทำให้มีโอกาสได้กำไรสูง แต่ก็มีโอกาสขาดทุนหนักได้เช่นกัน

ความเคลื่อนไหวในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลก็เกิดขึ้นตลอดเวลาครับ อย่างในระดับโลก เพย์พาล (PayPal) ก็เพิ่งเปิดบริการใหม่ให้ผู้ใช้ในสหรัฐฯ สามารถขายคริปโตจากกระเป๋าเงินดิจิทัล (Wallet) อย่าง เมตามาสก์ (MetaMask) เพื่อเปลี่ยนเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เข้าบัญชีเพย์พาลได้โดยตรง ซึ่งสะดวกขึ้นมาก หรือกรณีที่ เมตามาสก์ สแนปส์ (MetaMask Snaps) ร่วมมือกับ โซลานา (Solana) ผ่านแพลตฟอร์ม Solflare เพื่อให้ผู้ใช้เมตามาสก์สามารถจัดการสินทรัพย์บนเครือข่ายโซลานาได้ สะท้อนให้เห็นถึงการเชื่อมโยงกันของเครือข่ายบล็อกเชนต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และอีกเคสที่น่าติดตามคือ ศาลได้อนุมัติให้บริษัท เอฟทีเอ็กซ์ (FTX) อดีต Exchange ยักษ์ใหญ่ที่ล้มละลาย สามารถทยอยขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่บริษัทถือครองอยู่ได้ (ยกเว้นบิทคอยน์ อีเธอเรียม และโทเคนบางส่วน) โดยกำหนดวงเงินและระยะเวลาการขายไว้เพื่อไม่ให้กระทบตลาดมากเกินไป

ในส่วนของ “คริปไทย” ผู้ให้บริการในประเทศก็ยังคงเดินหน้าพัฒนาแพลตฟอร์มครับ ยกตัวอย่างเช่น InnovestX (อินโนเวสท์เอกซ์) ก็เป็นแพลตฟอร์มที่ให้บริการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลในไทย ที่เน้นมาตรฐานความปลอดภัยระดับธนาคาร คัดเลือกสินทรัพย์ตามเกณฑ์ของสำนักงาน ก.ล.ต. และยังมีบริการ Digital Asset OTC (โอทีซี) สำหรับนักลงทุนรายใหญ่โดยเฉพาะ หรือ Bitkub Blog (บิทคับ บล็อก) ซึ่งเป็นอีกแหล่งที่คอยรวบรวมข่าวสารสำคัญในวงการคริปโตและบล็อกเชนเพื่อเผยแพร่ข้อมูลความรู้แก่นักลงทุนไทยครับ

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางศักยภาพและการยอมรับที่สูงขึ้นของ “คริปไทย” ก็ยังมีประเด็นความเสี่ยงที่ต้องพิจารณาครับ อย่างกรณีของนายแทนไท ที่พอร์ตคริปโตมูลค่ากว่า 360 ล้านบาทบน Exchange อย่าง ไบแนนซ์ (Binance) ถูกสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ หรือ FBI ยึดไปจากประเด็นทางกฎหมายระหว่างประเทศ กรณีนี้เตือนให้เห็นว่าการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลไม่ได้มีแค่ความเสี่ยงด้านราคา แต่ยังมีประเด็นด้านกฎหมาย แพลตฟอร์ม หรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์มต่างประเทศที่อยู่นอกเหนือการกำกับดูแลของไทย

สรุปแล้ว ตลาด “คริปไทย” กำลังอยู่ในช่วงที่น่าสนใจครับ มีศักยภาพสูง มีการยอมรับในระดับโลก มีผู้กำหนดนโยบายและผู้เล่นในอุตสาหกรรมที่มองเห็นโอกาสในเทคโนโลยีบล็อกเชน แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญกับความผันผวนของตลาดโลก ความท้าทายด้านความน่าเชื่อถือของข้อมูลผู้ใช้งาน และความเสี่ยงต่างๆ ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมทางการเงินใหม่นี้

สำหรับใครที่สนใจอยากลองเข้ามาในโลกของ “คริปไทย” สิ่งสำคัญอันดับแรกเลยคือการทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ก่อนครับ เรียนรู้ว่าสินทรัพย์ดิจิทัลคืออะไร ทำงานอย่างไร มีประเภทไหนบ้าง เข้าใจทั้งข้อดีและข้อเสีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยงด้านราคาที่ผันผวนมหาศาล และความเสี่ยงอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้น การเริ่มต้นด้วยเงินจำนวนน้อยๆ ที่พร้อมจะสูญเสียไปได้โดยไม่กระทบการเงินส่วนตัวเป็นสิ่งที่แนะนำอย่างยิ่ง และควรเลือกใช้แพลตฟอร์มที่ได้รับการกำกับดูแลอย่างถูกต้องจาก สำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อความปลอดภัยและสบายใจในระดับหนึ่ง สุดท้าย อย่าลืมว่าการลงทุนทุกรูปแบบมีความเสี่ยง และสินทรัพย์ดิจิทัลก็มีความเสี่ยงสูงเป็นพิเศษครับ หากเงินที่เตรียมไว้สำหรับลงทุนเป็นเงินที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน หรือเป็นเงินที่สภาพคล่องไม่สูงนัก การพิจารณาอย่างรอบคอบและประเมินความพร้อมของตัวเองก่อนตัดสินใจลงทุนจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดครับ

LEAVE A RESPONSE