
จำได้ไหมครับสมัยก่อนเวลาจะโอนเงินที… ต้องรีบไปธนาคารก่อนบ่ายสามครึ่ง บางทีก็เจอคิวยาวเหยียด หรือจะจ่ายบิลอะไรทีก็ต้องเดินทางไปที่นั่นที่นี่ ไหนจะเรื่องการขอสินเชื่อ การลงทุนที่ดูเหมือนเป็นเรื่องไกลตัว เข้าถึงยาก ต้องมีเงินเยอะๆ เท่านั้นถึงจะทำได้
แต่วันนี้ โลกเปลี่ยนไปเยอะมาก! แค่มีมือถือเครื่องเดียว เราทำได้เกือบทุกอย่างที่เกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ ไม่ว่าจะเป็นการโอน จ่าย กู้ ลงทุน ซื้อประกัน หรือแม้แต่จัดการเงินเก็บของตัวเอง อะไรกันที่ทำให้ชีวิตทางการเงินของเราง่ายขึ้น สะดวกขึ้น แถมบางทียังถูกลงอีกด้วย? สิ่งที่ทำให้ชีวิตทางการเงินของเราเป็นแบบนี้ได้ เราเรียกมันว่า ‘ฟินเทค’ (Fintech) หรือชื่อเต็มๆ ก็คือ Financial Technology นั่นเองครับ
ถ้าให้พูดแบบเข้าใจง่ายๆ ฟินเทค คือ การเอา ‘เทคโนโลยี’ เจ๋งๆ ที่เราคุ้นเคยนี่แหละ ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชันบนมือถือ อินเทอร์เน็ต บล็อกเชน (Blockchain) ปัญญาประดิษฐ์ (AI) หรือแม้แต่การสแกนใบหน้า สแกนลายนิ้วมือ มาผสมเข้ากับ ‘บริการทางการเงิน’ ที่เราคุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็นการธนาคาร การลงทุน การกู้ยืม หรือการประกันภัย เพื่อสร้างบริการหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ทำให้ทุกอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ลดต้นทุน และที่สำคัญคือเปิดโอกาสให้คนจำนวนมากเข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายกว่าเดิมครับ
ลองมองไปรอบๆ ตัวเราสิครับ ฟินเทค อยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิดเยอะเลย ตั้งแต่แอปพลิเคชันธนาคารบนมือถือ (Mobile Banking) ที่เราใช้เช็กยอด โอนเงิน จ่ายบิล หรือขอสินเชื่อออนไลน์ได้ทุกที่ทุกเวลาตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องไปสาขาธนาคารอีกต่อไป นี่คือหนึ่งในตัวอย่างของ ฟินเทค คือ ที่ชัดเจนมากๆ ในชีวิตประจำวันของเราเลย หรืออย่างการชำระเงินผ่านมือถือ (Mobile Payments) หรือกระเป๋าเงินออนไลน์ (E-Wallet) ที่ทำให้เราสแกนจ่ายเงินตามร้านค้าต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องพกเงินสดเยอะๆ อีกแล้ว บริการเหล่านี้ทำให้การใช้จ่ายง่ายขึ้น สะดวกขึ้นมากๆ ครับ ซึ่งแตกต่างจาก Mobile Banking ตรงที่ E-Wallet จะเน้นไปที่ฟังก์ชันการชำระเงินโดยเฉพาะเป็นหลัก

นอกจากเรื่องใกล้ตัวอย่างการจ่ายเงินหรือโอนเงินแล้ว ฟินเทค คือ ยังขยายไปในวงกว้างอีกหลายด้านเลยครับ เช่น การระดมทุนออนไลน์ หรือที่เรียกว่า คราวด์ฟันดิง (Crowdfunding) อันนี้เหมือนกับการที่เรามีไอเดียดีๆ มีโครงการที่อยากทำ แต่ขาดเงินทุน ก็สามารถนำเสนอโครงการบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อให้คนจำนวนมากที่สนใจมาร่วมลงทุนหรือร่วมบริจาคเงินสนับสนุนได้ ถือเป็นทางเลือกใหม่ในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับผู้ประกอบการ ศิลปิน หรือโครงการต่างๆ ที่น่าสนใจได้ง่ายขึ้นมากๆ ครับ หรือจะเป็นเรื่องการให้สินเชื่อดิจิทัล (Digital Lending) ที่ทำให้การขอกู้เงินสำหรับทั้งบุคคลธรรมดาและธุรกิจขนาดเล็ก (SME) ทำได้รวดเร็วขึ้น มีโอกาสได้รับอนุมัติง่ายกว่าช่องทางแบบดั้งเดิม เพราะมีการนำเทคโนโลยีมาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล
อีกด้านที่น่าสนใจมากๆ คือการจัดการลงทุน (Investment Management) สมัยก่อนการลงทุนอาจจะดูซับซ้อน ต้องไปหาผู้แนะนำการลงทุน หรือต้องมีความรู้เยอะมากๆ แต่ตอนนี้มีแพลตฟอร์มหรือแอปพลิเคชันที่ใช้เทคโนโลยี เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) หรือโรโบแอดไวเซอร์ (Robo Advisor) มาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล เสนอคำแนะนำ หรือช่วยจัดพอร์ตการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น กองทุน คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) หรือทองคำ ทำให้การลงทุนเข้าถึงง่ายขึ้น และยกระดับการจัดการพอร์ตของเราให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น แอปพลิเคชัน Streaming ที่ใช้ดูข้อมูลหุ้น หรือแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตอย่าง Bitkub ที่เป็นส่วนหนึ่งของโลกการลงทุนแบบฟินเทค หรือแพลตฟอร์มอย่าง Funding Societies ที่เป็นผู้ให้บริการ Digital Lending และ Crowdfunding สำหรับ SME ครับ
รวมไปถึงเทคโนโลยีที่อาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับผู้ใช้งานทั่วไปโดยตรง แต่สำคัญต่อระบบการเงินมากๆ อย่าง บล็อกเชน (Blockchain) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีบัญชีแยกประเภทแบบกระจายศูนย์ (Distributed Ledger Technology หรือ DLT) ที่มีความปลอดภัย โปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยไม่ต้องพึ่งตัวกลาง เทคโนโลยีนี้ถูกนำมาใช้ในธุรกรรมหลากหลายรูปแบบ เช่น การจัดการเอกสารการค้า หนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์ หรือแม้แต่เป็นพื้นฐานของสกุลเงินดิจิทัลต่างๆ ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ ความปลอดภัย และความรวดเร็วในการทำธุรกรรม ลดความจำเป็นในการใช้เอกสารหรือตัวกลางลงไปได้เยอะเลยครับ
แล้วยังมีด้านอื่นๆ อีก เช่น อินชัวร์เทค (Insurtech) ที่นำเทคโนโลยีมาใช้ในธุรกิจประกันภัย ทำให้การซื้อ ขาย หรือจัดการกรมธรรม์ประกันภัยทำได้ง่ายและตรงความต้องการมากขึ้น หรือซอฟต์แวร์จัดการการเงินภายในองค์กร (Enterprise Financial Software) อย่าง Flow Account ที่ช่วยธุรกิจ SME จัดการเรื่องบัญชี เงินเดือน หรือภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือแม้แต่แอปพลิเคชันช่วยจัดการการเงินส่วนบุคคล (Personal Financial Management หรือ PFM) ที่ช่วยเราติดตามค่าใช้จ่าย วางแผนงบประมาณ หรือวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้จ่ายของตัวเองได้ดีขึ้น และสำหรับสถาบันการเงิน ก็มีเทคโนโลยีที่ช่วยให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบต่างๆ ได้ง่ายขึ้น อย่าง เร็กเทค (Regtech) และเทคโนโลยีสำหรับจัดการความมั่งคั่ง (Wealth Management) สำหรับลูกค้ารายใหญ่
มองภาพรวมในระดับโลก ตลาด ฟินเทค คือ กำลังเติบโตแบบก้าวกระโดดจริงๆ ครับ ลองดูตัวเลขที่เราเห็นในข้อมูลกัน มูลค่าตลาดฟินเทคทั่วโลกในปี 2566 อยู่ที่ประมาณ 2.94 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเยอะมากๆ แล้วใช่ไหมครับ? แต่ที่น่าตื่นเต้นกว่านั้นคือ มีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2575 หรืออีกไม่ถึง 10 ปีข้างหน้า มูลค่าตลาดนี้จะพุ่งทะยานไปเกิน 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เลยทีเดียว! การเติบโตแบบนี้มาจากหลายปัจจัยขับเคลื่อน ทั้งความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่เร็วขึ้น การที่สมาร์ทโฟนเข้าถึงผู้คนทั่วโลกมากขึ้น ความต้องการบริการทางการเงินที่สะดวก เข้าถึงง่าย ทุกที่ทุกเวลา และการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบต่างๆ ทั่วโลกที่เอื้อให้เกิดการแข่งขันในภาคบริการทางการเงินมากขึ้น ที่สำคัญคือช่วงการระบาดของโควิด-19 ก็เป็นปัจจัยเร่งชั้นดีที่ทำให้คนหันมาใช้บริการออนไลน์มากขึ้น ปรับตัวสู่ชีวิตดิจิทัลกันแบบเต็มตัว
แล้วในบ้านเราล่ะ ฟินเทค คือ พัฒนาไปถึงไหนแล้ว? ต้องบอกว่าฟินเทคมีบทบาทสำคัญและเติบโตอย่างรวดเร็วมากๆ ในประเทศไทยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาครับ เรามีผู้เล่นในตลาดหลากหลาย ทั้งบริษัทฟินเทคสตาร์ทอัปน้องใหม่ที่เก่งๆ จำนวนมาก (อย่างที่เราเห็นข้อมูลว่ามีสมาชิกสมาคมฟินเทคประเทศไทยเกือบ 70 บริษัท) และสถาบันการเงินดั้งเดิมอย่างธนาคารต่างๆ ซึ่งธนาคารไทยเองก็ตื่นตัวสุดๆ ครับ ไม่ได้หยุดนิ่ง แต่รีบปรับตัวนำเทคโนโลยีฟินเทคมาใช้ในการปรับปรุงการดำเนินงานและรูปแบบธุรกิจของตัวเองอย่างต่อเนื่อง
พัฒนาการที่เห็นได้ชัดเจนมากๆ ในประเทศไทยคือมาตรฐาน QR Code เพื่อการชำระเงินครับ อันนี้เป็นสิ่งที่ช่วยร้านค้าขนาดกลางและเล็กจำนวนมากให้สามารถรับชำระเงินแบบดิจิทัลได้สะดวกขึ้นมากๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินสดหรือเครื่องรูดบัตรอีกต่อไป หรืออย่างแอปพลิเคชัน Mobile Banking ของธนาคารต่างๆ ก็พัฒนาไปไกลมาก ใช้งานง่ายขึ้นเรื่อยๆ มีการนำเทคโนโลยีไบโอเมตริกซ์ (Biometrics) เช่น การสแกนลายนิ้วมือหรือใบหน้า มาใช้ในการยืนยันตัวตนและเปิดบัญชี ทำให้สะดวกและปลอดภัยขึ้น

นอกจากนี้ภาครัฐและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เองก็มีบทบาทสำคัญมากๆ ในการส่งเสริมและวางกรอบการกำกับดูแลระบบนิเวศฟินเทคในประเทศไทย มีการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญอย่าง National Digital Identity (NDID) เพื่อใช้ในการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล ซึ่งช่วยให้เราทำธุรกรรมออนไลน์กับผู้ให้บริการทางการเงินต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ลดการใช้เอกสารลงไปได้เยอะเลยครับ ส่วนเทคโนโลยีเบื้องหลังอย่าง DLT หรือ Blockchain ก็ถูกนำมาใช้ในภาคการเงินไทยแล้ว เช่น ในรูปแบบของหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเพิ่มความรวดเร็วและน่าเชื่อถือให้กับกระบวนการ
ไม่ใช่แค่บริษัทสตาร์ทอัป แต่ธนาคารเองก็เป็นส่วนสำคัญในโลกของ ฟินเทค คือ ยุคใหม่นี้ครับ สถาบันการเงินมีการปรับตัวสู่ Digital Banking อย่างเต็มที่ ทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีภายในองค์กรเอง จัดตั้งห้องทดลอง R&D เพื่อคิดค้นนวัตกรรม หรือออกผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นดิจิทัลโดยเฉพาะ ขณะเดียวกันก็มีการร่วมมือกับบริษัทฟินเทคต่างๆ ทั้งในรูปแบบของการเป็นพันธมิตร ร่วมลงทุน (Venture Capital) หรือจัดโครงการบ่มเพาะสตาร์ทอัป (Incubator) เพื่อสนับสนุนไอเดียใหม่ๆ นอกจากนี้ยังมีการปรับรูปแบบสาขาธนาคารให้เข้ากับยุคดิจิทัล และพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้รองรับการใช้งานบนสมาร์ทโฟนได้อย่างเต็มที่ครับ
ยกตัวอย่างผลิตภัณฑ์ดิจิทัลของธนาคารที่เราเห็นกันบ่อยๆ เช่น บริการ K-Personal Loan สินเชื่อบุคคลที่ขอผ่านแอปพลิเคชัน K-Mobile Banking PLUS ของธนาคารกสิกรไทยได้ง่ายๆ หรือบริการโอนเงินระหว่างบุคคล (P2P) ที่สะดวกมากๆ ผ่านแอปพลิเคชัน Bualuang mBanking ของธนาคารกรุงเทพฯ หรือบริการ SCB E PASSBOOK ของธนาคารไทยพาณิชย์ ที่ช่วยให้เราไม่ต้องพกสมุดบัญชีอีกต่อไปแล้วครับ บริการเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าธนาคารก็ไม่ได้ยืนอยู่เฉยๆ แต่กำลังวิ่งตามและเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงที่ขับเคลื่อนด้วย ฟินเทค คือ เช่นกัน
สรุปแล้ว ฟินเทค คือ มอบอะไรให้ชีวิตเราบ้าง? ประโยชน์หลักๆ ที่เราสัมผัสได้เลยก็คือ
1. ความสะดวกสบายและเข้าถึงได้ง่าย: เราสามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้ทุกที่ทุกเวลาที่มีอินเทอร์เน็ต ผ่านมือถือหรือคอมพิวเตอร์ ไม่ต้องเดินทางไปสาขา ลดข้อจำกัดด้านเวลาและสถานที่ไปได้เยอะมาก
2. ลดค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียม: การดำเนินงานที่ใช้เทคโนโลยีทำให้ต้นทุนของบริการทางการเงินลดลง บางบริการจึงมีค่าธรรมเนียมถูกลง หรืออาจไม่มีค่าธรรมเนียมเลยในบางกรณี
3. ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย: ฟินเทค คือ นำเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง AI, Blockchain, หรือ Biometrics มาใช้ ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัย ความแม่นยำ และประสิทธิภาพในการทำธุรกรรม
4. การให้บริการทางการเงินที่หลากหลาย: เรามีทางเลือกมากขึ้นในการใช้บริการทางการเงิน มีผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบสนองความต้องการที่ซับซ้อนได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการลงทุน การออม การกู้ยืม หรือการประกันภัย
5. ส่งเสริม Financial Inclusion: ฟินเทค คือ ช่วยให้ประชาชนที่อาจจะเคยเข้าไม่ถึงบริการทางการเงินแบบดั้งเดิม สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เช่น คนที่อยู่ห่างไกลสาขาธนาคาร หรือคนที่มีรายได้ไม่สูงมาก ก็สามารถใช้บริการต่างๆ ผ่านมือถือได้
6. เพิ่มประสิทธิภาพ: กระบวนการทางการเงินต่างๆ ทำได้รวดเร็วขึ้น ถูกต้องมากขึ้น และมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นครับ
ฟังดูดีไปหมดใช่ไหมครับ? ชีวิตง่ายขึ้นเป็นกอง ด้วยความสามารถของ ฟินเทค คือ… แต่ทุกอย่างย่อมมีสองด้านเสมอครับ แม้ว่า ฟินเทค คือ จะนำความสะดวกสบายและโอกาสใหม่ๆ มาให้ แต่ก็มีความท้าทายและสิ่งที่ต้องระวังเช่นกันครับ
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของ ‘ความปลอดภัยทางไซเบอร์’ ครับ เมื่อทุกอย่างอยู่บนโลกออนไลน์ ก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดการถูกหลอกลวง ถูกขโมยข้อมูล หรือถูกโจมตีทางไซเบอร์ได้ง่ายขึ้น มิจฉาชีพเองก็ปรับตัวตามเทคโนโลยี ใช้ช่องทางออนไลน์มาหลอกลวงเราได้หลากหลายรูปแบบ ดังนั้น ผู้ใช้งานอย่างเราต้องมี ‘สติ’ ในการใช้งานอยู่เสมอครับ
สิ่งที่ควรทำคือ ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแอปพลิเคชันหรือแพลตฟอร์มที่เราจะใช้ให้ดีว่าเป็นของผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาตหรือมีความน่าเชื่อถือจริงหรือไม่ ตั้งรหัสผ่านที่ซับซ้อนและไม่ใช้ซ้ำๆ เปิดใช้งานการยืนยันตัวตนแบบสองชั้น (Two-Factor Authentication) ถ้าทำได้ ระมัดระวังการคลิกลิงก์ที่ไม่คุ้นเคย หรือการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวที่ไม่จำเป็นให้กับผู้อื่น
นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่มาจากฟินเทคบางอย่างอาจจะยังใหม่สำหรับเรา หรือมีความซับซ้อนกว่าบริการแบบดั้งเดิม เช่น การลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี หรือการใช้แพลตฟอร์ม Digital Lending หรือ Crowdfunding ต่างๆ สิ่งสำคัญคือต้องศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ ทำความเข้าใจเงื่อนไข ความเสี่ยง และค่าธรรมเนียมต่างๆ ให้ดีก่อนตัดสินใจใช้บริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริการที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน ควรประเมินความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้ และไม่นำเงินทั้งหมดที่มีมาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงครับ
สำหรับบางบริการ เช่น Digital Lending หรือ Crowdfunding บางแพลตฟอร์มอาจจะไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลเดียวกับธนาคารพาณิชย์ทั่วไป ซึ่งอาจมีความเสี่ยงที่แตกต่างกันไป ต้องศึกษาข้อมูลจากผู้ให้บริการให้ละเอียด หรือหากไม่แน่ใจ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนตัดสินใจครับ
โดยสรุปแล้ว ฟินเทค คือ กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าของโลกการเงินที่เราคุ้นเคยไปอย่างสิ้นเชิง นำความสะดวกสบาย โอกาส และทางเลือกใหม่ๆ มาให้เราในฐานะผู้ใช้งานอย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเงินง่ายๆ ด้วย QR Code การโอนเงินแค่ปลายนิ้ว การเข้าถึงแหล่งเงินทุนหรือการลงทุนที่ง่ายกว่าเดิม แม้แต่ธนาคารเองก็ปรับตัวและเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงนี้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความสะดวกสบายและความรวดเร็วที่ได้รับมานั้น สิ่งที่เราต้องไม่ลืมคือ การใช้งานอย่างรอบคอบ มีสติ ตระหนักถึงความปลอดภัยทางไซเบอร์ และศึกษาข้อมูลของผลิตภัณฑ์หรือบริการต่างๆ ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ก่อนตัดสินใจใช้งานครับ โลกการเงินในยุคดิจิทัลนี้น่าตื่นเต้น แต่ความรู้และความระมัดระวังของเราเองคือเครื่องมือที่สำคัญที่สุดที่จะช่วยให้เราใช้ประโยชน์จาก ฟินเทค คือ ได้อย่างเต็มที่และปลอดภัยครับ