คริปโตพลัส

ศูนย์รวมความรู้คริปโต เคล็ดลับลงทุน และอัปเดตราคาเหรียญแบบเรียลไทม์

ความรู้คริปโตและวิเคราะห์ราคา

ดุ ค ริ ป ชีวิตการเงิน: หยุดดูผิวเผิน เริ่มต้นสร้างฐานะที่มั่นคง

สวัสดีครับท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน กลับมาพบกันอีกครั้งกับคอลัมน์ที่จะชวนทุกคนมาคุยเรื่องเงินๆ ทองๆ แบบสบายๆ สไตล์เข้าใจง่าย ไม่ต้องปวดหัวกับตัวเลขยิบย่อยหรือศัพท์แสงการเงินยากๆ นะครับ

ช่วงนี้เดินไปไหนมาไหน ก็เห็นหลายคนก้มหน้าก้มตา ไม่ใช่ดูแผนที่ แต่กำลังตั้งใจ ดูคลิปอะไรบางอย่างอยู่บนจอมือถือจิ๋วๆ นี่แหละครับ บางคนก็ดูไปยิ้มไป บางคนก็ทำหน้าเครียดเหมือนเห็นอะไรที่ไม่ถูกใจ หรือบางทีก็หัวเราะเสียงดังลั่นออกมาเลย การดูคลิปเนี่ย มันมีเสน่ห์จริงๆ นะครับ มันไว มันเข้าถึงง่าย มันตอบโจทย์ความต้องการเสพสื่อสั้นๆ ได้ดีมากๆ

แต่พอผมเห็นภาพนี้บ่อยๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่า ชีวิตเรามันก็เหมือนกับการดูคลิปหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกันนะครับ มีทั้งเรื่องงาน เรื่องครอบครัว เรื่องความสัมพันธ์ เรื่องสุขภาพ และแน่นอนว่า… เรื่องเงินๆ ทองๆ ของเรานี่แหละครับ บางทีเราก็เผลอไปดูคลิปเรื่องเงินแบบผิวเผิน ดูแค่ตัวเลขยอดเงินในบัญชี หรือดูแค่ราคาหุ้นที่ขึ้นๆ ลงๆ รายวัน เหมือนดูแค่ตัวอย่างสั้นๆ แต่ไม่ได้เจาะลึกเข้าไปในเนื้อหาทั้งหมดเลย

เพื่อนซี้ผมคนหนึ่ง ชื่อพี่สมชาย แกเป็นมนุษย์เงินเดือนทั่วไปนี่แหละครับ วันก่อนแกโทรมาถามผมเสียงเครียดๆ บอกว่า “น้องเอ๊ย พี่เก็บเงินไม่ค่อยอยู่เลย รู้สึกว่าเงินเดือนออกปุ๊บ แป๊บเดียวหายวับไปกับตา ไม่รู้ว่าเงินมันไปไหนหมด” แกบอกว่าเห็นเพื่อนร่วมงานบางคนเขามีเงินเก็บ มีเงินลงทุน แถมยังดูสบายๆ กว่าแกอีก แกก็เลยกังวล ไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะมีเงินพอใช้ตอนแก่ไหม

ผมฟังแล้วก็เข้าใจเลยครับ ปัญหานี้ไม่ใช่แค่พี่สมชายเจอหรอกครับ ผมเชื่อว่าผู้อ่านหลายๆ ท่านก็อาจจะเคยมีความรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน มันเหมือนเรากำลังพยายามจะต่อภาพจิ๊กซอว์การเงินของเราให้ครบ แต่เราดันไปดูคลิปที่กระจัดกระจาย ไม่ได้เรียงลำดับ ไม่ได้มองภาพใหญ่ ปัญหาเรื่องเงินมันเลยดูซับซ้อน วุ่นวายไปหมด

ทีนี้… เราจะเริ่มตรงไหนดีล่ะ? เหมือนเวลาเราอยากเข้าใจเรื่องอะไรสักอย่าง เราก็ต้องหาข้อมูลที่มันครบถ้วนหน่อย ไม่ใช่แค่ดูคลิปสั้นๆ จริงไหมครับ เรื่องเงินก็เหมือนกันครับ ก้าวแรกที่เราจะออกจากวงจร “เงินไม่พอใช้” หรือ “เก็บเงินไม่อยู่” เนี่ย มันไม่ใช่การไปหาวิธีลงทุนที่ได้ผลตอบแทนสูงๆ หรือไปนั่งเฝ้าหน้าจอ ดูคลิปข่าวเศรษฐกิจทั้งวันนะครับ แต่มันคือการกลับมามองที่พื้นฐานที่สุดก่อนเลยครับ นั่นก็คือ “การบริหารจัดการเงินส่วนบุคคล” ของเราเองนี่แหละครับ

คุณอาจจะถามว่า “อ้าว! แค่เก็บเงินเนี่ยนะ มันจะช่วยอะไรได้มากมาย?” ใช่ครับ! มันช่วยได้เยอะมากครับ เหมือนการสร้างบ้าน ก็ต้องมีฐานที่มั่นคงก่อน การเงินของเราก็ต้องมีฐานคือ “เงินออมฉุกเฉิน” ครับ เงินก้อนนี้แหละที่จะเป็นเหมือนเกราะป้องกันเราเวลาเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น ตกงาน ป่วย ต้องซ่อมรถกะทันหัน ถ้าเรามีเงินส่วนนี้ เราก็ไม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสิน ไม่ต้องไปแตะเงินที่เตรียมไว้สำหรับเป้าหมายอื่นๆ ลองคิดดูนะครับ ถ้าเราเจอเรื่องฉุกเฉิน แล้วไม่มีเงินสำรองเลย เราจะเครียดแค่ไหน? เหมือนเวลาจะดูคลิปอะไรบน YouTube แต่เน็ตดันหมด ดูไม่ได้ อารมณ์ประมาณนั้นเลยครับ

ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนการเงินหลายท่านต่างเน้นย้ำถึงความสำคัญของเงินสำรองฉุกเฉินนะครับ บางคนแนะนำให้มีอย่างน้อย 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน หรือบางสถานการณ์อาจจะต้องมีถึง 12 เท่าเลยก็ได้ ตัวเลขนี้ขึ้นอยู่กับความมั่นคงของรายได้และภาระค่าใช้จ่ายของแต่ละบุคคลครับ การมีเงินสำรองฉุกเฉินก้อนนี้จะทำให้เรารู้สึกสบายใจขึ้นเยอะ เหมือนมีเบาะนุ่มๆ รองรับเวลาเราหกล้มครับ

แต่ประเด็นคือ หลายคนรู้สึกว่า “ไม่มีเงินจะเก็บ” หรือ “เงินเดือนไม่พอใช้” นี่แหละครับ เป็นปัญหาคลาสสิกเลย ซึ่งจริงๆ แล้ว ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าเราหาเงินได้น้อยแค่ไหน แต่อยู่ที่เรา “ใช้เงิน” อย่างไรต่างหากครับ ลองกลับไปดูพฤติกรรมการใช้จ่ายของเรานะครับ บางทีเราอาจจะใช้จ่ายไปกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ดูเหมือนไม่เยอะ แต่พอมารวมกันปลายเดือนแล้ว… โอ้โห! มันกลายเป็นก้อนใหญ่เอาเรื่องเลยครับ

ยกตัวอย่างนะครับ ค่ากาแฟแก้วโปรดทุกเช้า ค่าสั่งอาหารเดลิเวอรี่เกือบทุกมื้อ หรือการที่เราเผลอกดซื้อของออนไลน์เพราะเห็นว่า “ลดราคา” ทั้งๆ ที่ไม่ได้จำเป็นต้องใช้เลย สิ่งเหล่านี้แหละครับที่กัดกินเงินในกระเป๋าของเราไปเรื่อยๆ โดยที่เราไม่ทันสังเกต เหมือนเรากำลังดูคลิปเพลินๆ แล้วเวลาผ่านไปไวมาก เงินก็หายไปไวมากเช่นกัน

การแก้ปัญหานี้ไม่ได้ยากอะไรครับ แค่ต้องอาศัยวินัยนิดหน่อย ลองเริ่มทำบัญชีรายรับรายจ่ายแบบง่ายๆ ดูก็ได้ครับ ไม่ต้องถึงกับละเอียดทุกบาททุกสตางค์ก็ได้ครับ แค่ให้เรารู้ว่าเงินของเราไปไหนบ้าง แบ่งหมวดหมู่คร่าวๆ เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าช้อปปิ้ง ค่าบันเทิง พอเราเห็นตัวเลขชัดๆ เราจะรู้ว่าตรงไหนที่เราสามารถลดหย่อนได้บ้าง หรือตรงไหนที่เราใช้จ่ายเกินตัวไปหน่อย การเห็นตัวเลขพวกนี้เหมือนเรากำลังวิเคราะห์ “สคริปต์” หรือบทบรรยายของการเงินเรา เพื่อที่จะรู้ว่าเรากำลัง “ดูคลิป” ชีวิตแบบไหนอยู่ และจะปรับปรุงตรงไหนให้ดีขึ้นได้

มีงานวิจัยหลายชิ้นที่แสดงให้เห็นว่า คนที่ทำงบประมาณรายรับรายจ่ายส่วนบุคคล จะมีแนวโน้มที่จะมีเงินออมมากกว่าและมีหนี้น้อยกว่าคนที่ไม่ได้ทำเลยครับ นี่ไม่ใช่เรื่องมหัศจรรย์อะไรนะครับ มันคือผลของการ “รับรู้” และ “ควบคุม” การใช้จ่ายของตัวเองครับ เหมือนเวลาที่เราตั้งใจจะดูคลิปวิดีโอสอนทำอาหาร เราก็ต้องเปิดดูตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ใช่ดูแค่ช่วงสั้นๆ แล้วคาดหวังว่าจะทำตามได้ถูกต้องทันที

หลังจากที่เราเริ่มควบคุมการใช้จ่ายและมีเงินสำรองฉุกเฉินตามเป้าหมายแล้ว ทีนี้แหละครับ เราค่อยเริ่มมองหาช่องทางที่จะทำให้เงินของเรา “งอกเงย” หรือก็คือเรื่องของการลงทุนนั่นเองครับ หลายคนพอได้ยินคำว่า “ลงทุน” ก็จะรู้สึกว่าเป็นเรื่องยาก ไกลตัว ต้องมีเงินเยอะๆ ถึงจะลงทุนได้ หรือต้องมีความรู้มากๆ เหมือนต้องไปนั่งวิเคราะห์กราฟ ดูคลิปข่าวสารการเงินที่ซับซ้อนตลอดเวลา ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ได้ยากขนาดนั้นเสมอไปครับ

การลงทุนที่ง่ายที่สุดสำหรับคนเริ่มต้น และไม่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่เสมอไป ก็คือการลงทุนใน “กองทุนรวม” ครับ กองทุนรวมก็เหมือนการที่เราเอาเงินของเราไปรวมกับเงินของคนอื่นๆ อีกหลายๆ คน แล้วมีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพเป็นคนนำเงินก้อนใหญ่นี้ไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เช่น หุ้น พันธบัตร หรืออสังหาริมทรัพย์แทนเราครับ ข้อดีคือนอกจากจะไม่ต้องใช้เงินเยอะ (บางกองทุนเริ่มต้นแค่หลักร้อยบาทก็มีครับ) เรายังได้กระจายความเสี่ยงไปในสินทรัพย์หลายๆ ประเภทด้วยครับ เหมือนเราไม่ได้เอาไข่ทั้งหมดไปไว้ในตะกร้าใบเดียว

ลองนึกภาพนะครับ การลงทุนก็เหมือนการปลูกต้นไม้ครับ ช่วงแรกๆ อาจจะต้องดูแล รดน้ำ ใส่ปุ๋ย อาจจะยังไม่เห็นผลทันที เหมือนเวลาที่เราดูคลิปความสำเร็จของคนอื่นแล้วอยากจะสำเร็จแบบเขาบ้าง แต่ลืมไปว่ากว่าเขาจะมาถึงจุดนั้น เขาต้องใช้เวลา ต้องอดทน ต้องเรียนรู้เรื่องราวทั้งหมด ไม่ใช่แค่ฉากสั้นๆ ที่เราเห็น การลงทุนก็เช่นกันครับ มันต้องใช้เวลาเพื่อให้เงินของเราค่อยๆ เติบโต ทบต้นไปเรื่อยๆ

แน่นอนว่าการลงทุนมีความเสี่ยงนะครับ ตลาดการลงทุนมันไม่ได้มีแต่ขาขึ้นตลอดไป มันมีช่วงที่ผันผวน มีขึ้นมีลงเหมือนกราฟคลื่นเลยครับ บางทีเราเห็นตัวเลขพอร์ตลงทุนเราติดลบ ก็อาจจะใจหาย ตกใจ อยากจะขายทิ้งทันที เหมือนเวลาเราดูคลิปข่าวร้ายๆ แล้วรู้สึกหงุดหงิด ไม่อยากดูต่อ แต่อย่าลืมนะครับว่า การลงทุนในระยะยาวนั้นมักจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการเก็บเงินไว้เฉยๆ ที่จะถูกเงินเฟ้อกัดกินมูลค่าไปเรื่อยๆ

ลองดูข้อมูลย้อนหลังได้นะครับ ในอดีต ตลาดหุ้นทั่วโลกผ่านวิกฤตมาหลายครั้ง แต่ในระยะยาว ตลาดก็ยังคงเติบโตและฟื้นตัวได้เสมอครับ สิ่งสำคัญคือเราต้องเข้าใจธรรมชาติของมัน และเตรียมใจรับความผันผวนให้ได้ เหมือนเวลาดูคลิปหนังชีวิต ก็ต้องมีทั้งฉากสุข เศร้า เหงา ซึ้ง ปนๆ กันไปครับ เราต้องมองภาพรวม มองในระยะยาวครับ

ผู้เชี่ยวชาญบางท่านแนะนำว่า ให้เรา “ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ” หรือที่เรียกว่า DCA (Dollar-Cost Averaging) ครับ คือการที่เราเจียดเงินจำนวนเท่าๆ กัน มาลงทุนในสินทรัพย์ที่เราเลือกเป็นประจำทุกเดือน วิธีนี้จะช่วยลดความเสี่ยงเรื่องการจับจังหวะตลาดได้ดีครับ เพราะเราจะได้ซื้อทั้งตอนที่ราคาขึ้น (ได้ของแพงแต่ก็ยังได้) และตอนที่ราคาลง (ได้ของถูกลง) เฉลี่ยๆ กันไปในระยะยาวครับ วิธีนี้เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาติดตามข่าวสารหรือ ดูคลิปการเคลื่อนไหวของตลาดบ่อยๆ ครับ

นอกจากกองทุนรวมแล้ว ยังมีสินทรัพย์อื่นๆ ที่น่าสนใจนะครับ เช่น หุ้นรายตัว (ต้องศึกษาเยอะหน่อย) พันธบัตรรัฐบาล (ค่อนข้างปลอดภัย แต่ผลตอบแทนต่ำกว่าหุ้น) อสังหาริมทรัพย์ (ใช้เงินเยอะ สภาพคล่องต่ำ) หรือแม้แต่การลงทุนในทองคำครับ การจะเลือกลงทุนในสินทรัพย์ไหน ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของเรา ความเสี่ยงที่เรารับได้ และระยะเวลาที่เราจะลงทุนครับ

สำหรับคนที่สนใจลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศ หรือสนใจเครื่องมือการเงินที่หลากหลายขึ้น ก็มี “แพลตฟอร์มการลงทุนออนไลน์” ที่ให้บริการอยู่มากมายครับ เช่น บางแพลตฟอร์มจากต่างประเทศอย่าง Moneta Markets (โมเนต้า มาร์เก็ตส์) หรือแพลตฟอร์มอื่นๆ อีกหลากหลายแห่ง ซึ่งแต่ละแห่งก็มีข้อดีข้อเสียและเงื่อนไขที่แตกต่างกันไป ทั้งเรื่องค่าธรรมเนียม ชนิดของสินทรัพย์ที่ลงทุนได้ หรือเครื่องมือช่วยวิเคราะห์ต่างๆ ครับ หากสนใจ ก็ลองศึกษาเปรียบเทียบดูนะครับ แต่อย่าเพิ่งรีบร้อนตัดสินใจ แค่ดูคลิปโฆษณาแล้วกระโดดเข้าไปลงทุนทันทีนะครับ

การลงทุนที่ดีต้องมาจากการศึกษาและทำความเข้าใจครับ เหมือนเวลาเราจะดูคลิปอะไรสักเรื่องเพื่อหาข้อมูล เราก็ต้องเลือกแหล่งที่น่าเชื่อถือ ต้องดูให้ครบถ้วนรอบด้าน อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ แค่เห็นภาพสวยๆ หรือตัวเลขหวือหวาครับ ค่อยๆ เรียนรู้ไปทีละน้อย เริ่มจากสิ่งที่เราเข้าใจง่ายที่สุดก่อนก็ได้ครับ

มาถึงตรงนี้ ผมหวังว่าผู้อ่านทุกท่านจะพอเห็นภาพรวมของการบริหารจัดการเงินและการลงทุนมากขึ้นนะครับ มันไม่ได้ยากอย่างที่คิด เพียงแค่เราต้องให้ความสำคัญกับมัน ไม่ใช่แค่ดูคลิปเรื่องเงินแบบผ่านๆ ไป แต่ต้องลงมือทำ วางแผน และมีวินัยครับ

สุดท้ายนี้ ผมอยากจะฝากคำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ ไว้ให้ผู้อ่านทุกท่านนะครับ

1. **เริ่มเลย!** ไม่ว่าวันนี้คุณจะมีเงินมากน้อยแค่ไหน หรือมีความรู้เรื่องเงินมากแค่ไหน ขอแค่เริ่มลงมือทำครับ เริ่มจากทำบัญชีรายรับรายจ่าย หรือเริ่มออมเงินก้อนเล็กๆ ก่อนก็ได้ครับ
2. **ตั้งเป้าหมายการเงินให้ชัดเจน** อยากมีเงินสำรองเท่าไหร่? อยากเก็บเงินดาวน์บ้านตอนไหน? อยากมีเงินพอใช้ตอนเกษียณเท่าไหร่? การมีเป้าหมายจะช่วยให้เรามีแรงจูงใจในการลงมือทำมากขึ้นครับ
3. **ศึกษาหาความรู้อย่างสม่ำเสมอ** โลกการเงินมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาครับ ลองอ่านหนังสือ ฟัง Podcast หรือ ดูคลิปเนื้อหาเกี่ยวกับการเงินจากแหล่งที่น่าเชื่อถือนนะครับ ความรู้คือพลังครับ!
4. **อดทนและมีวินัย** การสร้างความมั่งคั่งต้องใช้เวลาครับ ไม่มีทางลัดที่ทำให้รวยได้ในพริบตาเหมือนในหนังหรือในดูคลิปสั้นๆ หรอกครับ ต้องอาศัยความสม่ำเสมอและความอดทนครับ

และที่สำคัญที่สุด อย่าลืมข้อนี้เด็ดขาดนะครับ:

⚠️ **การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเงินส่วนนั้นเป็นเงินที่มีสภาพคล่องไม่สูง ควรประเมินความพร้อมของตัวเองก่อนนำไปลงทุนอย่างเต็มที่ครับ**

จำไว้ว่า เราไม่ได้กำลังดูคลิปชีวิตการเงินของคนอื่นเพื่อเปรียบเทียบกับตัวเองนะครับ เรากำลังสร้างเรื่องราวการเงินของเราเอง เรื่องราวที่เราเป็นคนเขียนบท เป็นคนเลือกฉาก และเป็นคนกำหนดตอนจบ ขอให้ทุกท่านสนุกกับการเดินทางสู่เป้าหมายทางการเงินนะครับ แล้วพบกันใหม่ในคอลัมน์หน้าครับ!

LEAVE A RESPONSE