คริปโตพลัส

ศูนย์รวมความรู้คริปโต เคล็ดลับลงทุน และอัปเดตราคาเหรียญแบบเรียลไทม์

ความรู้คริปโตและวิเคราะห์ราคา

จิตวิทยาลวงตลาด: อ่านเกม “Fear & Greed” ก่อนเทรด

คุณเคยรู้สึกแบบนี้ไหมครับ?

เห็นราคาหุ้นพุ่งแรงจนกลัวตกรถ ต้องรีบกระโดดเข้าใส่ หรือพอเห็นข่าวร้ายทีไร ตลาดหุ้นดิ่งเหวพรวดพราด ใจก็หวิวๆ อยากจะรีบเทขายหนีให้ทันก่อนขาดทุนไปมากกว่านี้?

ความรู้สึกเหล่านี้แหละครับ ที่เราเรียกว่า “ความกลัว” และ “ความโลภ” สองอารมณ์พื้นฐานของมนุษย์เรานี่แหละ ที่เชื่อกันว่ามีอิทธิพลมหาศาลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดการเงินต่างๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น ตลาดคริปโทเคอร์เรนซี หรือแม้แต่ตลาดทองคำ

นักลงทุนเขาไม่ได้ดูแค่ตัวเลขเศรษฐกิจ หรือผลประกอบการบริษัทอย่างเดียวนะครับ แต่เขามองหาเครื่องมือที่จะช่วยวัด “อารมณ์” โดยรวมของตลาดด้วย เพื่อดูว่าตอนนี้ตลาดกำลัง “อิน” กับอารมณ์ไหนเป็นพิเศษ เครื่องมือที่ว่านี้ก็คือ **ดัชนี Fear & Greed** (ดัชนีความกลัวและความโลภ) นั่นเอง

เจ้าดัชนี Fear & Greed เนี่ย มันก็เหมือนเครื่องวัดไข้ของตลาดนั่นแหละครับ โดยเขาจะให้คะแนนตั้งแต่ ๐ ถึง ๑๐๐ เพื่อบอกว่าตอนนี้ตลาดกำลังรู้สึกอย่างไร

* ถ้าคะแนนต่ำๆ ใกล้ ๐ นั่นคือ **ความกลัวสุดขีด** ครับ แปลว่านักลงทุนกำลังกังวล หวาดระแวง และเทขายสินทรัพย์กันยกใหญ่ บางทีราคาอาจจะตกลงไปต่ำกว่าพื้นฐานจริงๆ ก็ได้
* ถ้าคะแนนสูงๆ ใกล้ ๑๐๐ นั่นคือ **ความโลภสุดขีด** ครับ แปลว่านักลงทุนกำลังฮึกเหิม มั่นใจ และไล่ซื้อสินทรัพย์กันอย่างบ้าคลั่ง บางทีราคาอาจจะพุ่งขึ้นไปสูงเกินพื้นฐาน จนเข้าใกล้ภาวะฟองสบู่แล้วก็ได้
* ส่วนคะแนนแถวๆ ๕๐ ก็คือ **ภาวะเป็นกลาง** ครับ อารมณ์ตลาดยังไม่สุดโต่งไปทางไหน

หลายสำนักก็มีวิธีคำนวณดัชนี Fear & Greed ในแบบของตัวเองนะครับ อย่าง **CNN Business** เขาก็พัฒนาขึ้นมาสำหรับตลาดหุ้น โดยใช้ตัวชี้วัดถึง ๗ อย่างมาคำนวณ เช่น ดูว่าดัชนี **S&P 500** (เอสแอนด์พี ๕๐๐) เทียบกับค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แล้วเป็นยังไง? มีหุ้นในตลาด **NYSE** (ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก) ที่ทำจุดสูงสุดหรือต่ำสุดในรอบ ๕๒ สัปดาห์เยอะแค่ไหน? ปริมาณการซื้อขายหุ้นที่ราคาขึ้นเทียบกับที่ราคาลงเป็นอย่างไร? หรือแม้แต่อัตราส่วนของสัญญา **Put Option** (พุท ออปชัน) เทียบกับ **Call Option** (คอล ออปชัน) ที่สะท้อนการคาดการณ์ทิศทางราคาในอนาคต

นอกจากนี้ยังมีตัวชี้วัดอย่าง **VIX** (ดัชนี VIX) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ดัชนีวัดความกลัว” ซึ่งใช้วัดความผันผวนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในตลาดหุ้น หรือดูว่านักลงทุนกำลังหนีไปหา “สินทรัพย์ปลอดภัย” อย่างพันธบัตรรัฐบาลมากน้อยแค่ไหน เทียบกับหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงกว่า และยังดูไปถึงความต้องการพันธบัตรที่มีความเสี่ยงสูง หรือ **Junk Bond** (จังค์ บอนด์) ด้วย ถ้าส่วนต่างผลตอบแทน (Yield Spread) ของ Junk Bond แคบลง แปลว่านักลงทุนเริ่มกล้าเสี่ยงมากขึ้น ก็สะท้อนถึงความโลภได้ครับ

ไม่ใช่แค่ตลาดหุ้นนะครับ ในโลกของคริปโทเคอร์เรนซี ก็มีดัชนีนี้เหมือนกัน อย่างของ **CoinMarketCap** (คอยน์มาร์เก็ตแคป) เขาก็ใช้ตัวชี้วัดที่ปรับให้เข้ากับตลาดคริปโทฯ โดยเฉพาะ เช่น ดูโมเมนตัมราคาของเหรียญใหญ่ๆ (ไม่รวม **Stablecoin** – สเตเบิลคอยน์) วัดความผันผวนที่คาดการณ์ล่วงหน้าด้วยเครื่องมืออย่าง **Volmex Implied Volatility Indices** (ดัชนีความผันผวนโดยนัยของ Volmex) วิเคราะห์ตลาดสัญญา **Derivatives Market** (ตลาดอนุพันธ์) อย่างอัตราส่วน Put/Call Option ของ Bitcoin (บิทคอยน์) และ Ethereum (อีเธอเรียม) ไปจนถึงดูการครอบงำตลาด (Market Dominance) ของ Bitcoin หรือใช้ข้อมูลจากโซเชียลมีเดียและแนวโน้มการค้นหาต่างๆ มาประกอบด้วย

ส่วนในตลาดทองคำ ทาง **JM Bullion** ก็มีดัชนี Fear & Greed ของตัวเอง ซึ่งจะดูจากปัจจัยเฉพาะของตลาดทองคำ เช่น ส่วนเพิ่มของราคาทองคำจริง (Physical Gold Premiums) ความผันผวนของราคาทองคำสปอต (Gold Spot Price Volatility) อารมณ์จากโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับทองคำ พฤติกรรมการซื้อขายทองคำรายย่อย หรือข้อมูลแนวโน้มการค้นหาคำเกี่ยวกับทองคำใน **Google Trends** (กูเกิล เทรนด์ส)

แล้วเราจะเอาดัชนีนี้ไปใช้ยังไงล่ะครับ?

หลักๆ เลยคือมันช่วยให้เรามองเห็น **Sentiment** (เซนติเมนต์) หรืออารมณ์โดยรวมของตลาด ซึ่งเป็นประโยชน์มากๆ ครับ โดยเฉพาะการนำไปใช้ร่วมกับกลยุทธ์ที่เรียกว่า **Contrarian** (คอนทราเรียน) หรือการลงทุนแบบสวนกระแส

จำคำพูดอมตะของปรมาจารย์ **Warren Buffett** (วอร์เรน บัฟเฟตต์) ได้ไหมครับที่ว่า “Be fearful when others are greedy, and greedy when others are fearful” (จงกลัวในขณะที่คนอื่นกำลังโลภ และจงโลภในขณะที่คนอื่นกำลังกลัว) เจ้าดัชนี Fear & Greed นี่แหละครับ ที่เป็นเครื่องมือชั้นดีที่ช่วยให้เรามองเห็นว่า “คนอื่น” กำลังรู้สึกอย่างไร

* ถ้าดัชนีพุ่งไปอยู่ในโซน **Greed** (โลภ) หรือ **Extreme Greed** (โลภสุดขีด) (ประมาณ ๖๐ ขึ้นไป) นั่นเป็นสัญญาณเตือนว่าตลาดอาจจะร้อนแรงเกินไปแล้ว คนกำลังไล่ราคาอย่างบ้าคลั่ง อาจไม่ใช่จังหวะที่ดีที่สุดในการเข้าไปซื้อเพิ่ม หรืออาจเป็นเวลาที่ต้องเริ่มพิจารณาทยอยขายทำกำไรออกมาบ้างแล้ว
* ตรงกันข้าม ถ้าดัชนีดิ่งลงไปอยู่ในโซน **Fear** (กลัว) หรือ **Extreme Fear** (กลัวสุดขีด) (ต่ำกว่า ๔๐) แปลว่าตลาดกำลังถูกครอบงำด้วยความกลัว คนเทขายอย่างรวดเร็ว ไม่สนแม้ว่าราคาจะตกลงมามากแล้ว นี่อาจเป็นช่วงเวลาที่สินทรัพย์มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Undervalue) และอาจเป็น “โอกาสทอง” ในการพิจารณาทยอยเข้าซื้อสินทรัพย์ดีๆ ในราคาที่ถูกลง (แน่นอนว่าต้องพิจารณาปัจจัยอื่นประกอบด้วยนะครับ)

ประวัติศาสตร์ก็ยืนยันให้เห็นนะครับว่า ช่วงที่ตลาดเกิดภาวะ **Panic** (แพนิก) หรือตื่นตระหนกสุดขีด ดัชนีมักจะไปแตะจุดต่ำสุด และช่วงที่ตลาดเข้าสู่ภาวะ **Greed** หรือความโลภสุดขีด ดัชนีมักจะไปแตะจุดสูงสุด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าดัชนีนี้จับสัญญาณอารมณ์สุดขั้วของตลาดได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียวครับ

แต่ต้องย้ำนะครับว่า ดัชนี Fear & Greed เป็นเพียง “เครื่องมือช่วย” ดูอารมณ์ตลาดเท่านั้น ไม่ใช่ไม้กายสิทธิ์ที่บอกจุดซื้อจุดขายที่แม่นยำเสมอไป **ไม่ควรใช้ดัชนีนี้เพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจลงทุน** เด็ดขาดครับ คุณต้องนำมันไปใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) และการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) อื่นๆ ด้วยเสมอ

ลองนึกภาพว่าคุณกำลังจะตัดสินใจซื้อบ้านสักหลัง คุณคงไม่ดูแค่ว่าเพื่อนบ้านอารมณ์ดีกันทั้งหมู่บ้านแล้วตัดสินใจซื้อเลยใช่ไหมครับ? คุณก็ต้องดูสภาพบ้าน ราคา ทำเล ประวัติเจ้าของประกอบด้วย ดัชนี Fear & Greed ก็เหมือนการประเมินอารมณ์เพื่อนบ้านนั่นแหละครับ เป็นปัจจัยหนึ่งที่ต้องนำมาพิจารณา แต่ไม่ใช่ทั้งหมด

สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือ เบื้องหลังอารมณ์ตลาดพวกนี้ มักจะได้รับอิทธิพลจากเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจสำคัญๆ ด้วยครับ โดยเฉพาะตัวเลขเศรษฐกิจและนโยบายของประเทศเศรษฐกิจใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา

ยกตัวอย่างเช่น กำหนดการประกาศตัวเลขสำคัญๆ อย่าง **GDP** (Gross Domestic Product – ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) ที่บอกภาพรวมสุขภาพเศรษฐกิจ, รายงานการจ้างงานรายเดือน ที่สะท้อนกำลังซื้อของผู้คน, หรือตัวเลข **CPI** (Consumer Price Index – ดัชนีราคาผู้บริโภค) หรือที่เราเรียกกันว่า **อัตราเงินเฟ้อ** นี่แหละครับ ตัวเลขพวกนี้มีผลต่อการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือที่เรารู้จักในชื่อ **FOMC** (Federal Open Market Committee – คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ) ในการปรับขึ้นหรือลงอัตราดอกเบี้ย ซึ่งการตัดสินใจเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อต้นทุนทางการเงินและบรรยากาศการลงทุนทั่วโลก ทำให้ตลาดผันผวนและส่งผลต่อเนื่องมาถึงดัชนี Fear & Greed ได้ครับ

ข้อมูลทั้งหมดนี้มาจากหลายแหล่งนะครับ ทั้งจาก **CNN Business**, **CoinMarketCap**, **JM Bullion**, **Wikipedia** (วิกิพีเดีย) ที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับอารมณ์ตลาด และ **MacroMicro** (มาโครไมโคร) ที่รวมรวมข้อมูลเศรษฐกิจต่างๆ

สรุปแล้ว ดัชนี Fear & Greed เป็นเครื่องมือที่น่าสนใจมากๆ ครับ มันช่วยให้เรามองเห็น “อารมณ์รวมหมู่” ของตลาด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนราคา มันเตือนให้เราตระหนักถึงอคติทางอารมณ์ของเราเอง (ทั้งความกลัวและความโลภ) และช่วยให้เราสามารถใช้มันเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การลงทุนแบบสวนกระแสได้

จำไว้ว่า ถ้าเห็นดัชนีอยู่ในโซนสุดขั้ว ไม่ว่าจะเป็นความกลัวสุดขีด หรือความโลภสุดขีด ให้ใช้มันเป็นสัญญาณเตือนให้ “ตั้งสติ” ครับ แล้วค่อยกลับไปดูปัจจัยพื้นฐานของสินทรัพย์ที่เราสนใจ ดูแนวโน้มทางเทคนิคอื่นๆ ประกอบ แล้วค่อยตัดสินใจอย่างมีเหตุผลครับ

⚠️ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน และไม่ควรนำเงินที่จำเป็นต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันมาลงทุนเด็ดขาดนะครับ

LEAVE A RESPONSE