
เคยไหมครับ เวลาเห็นราคาบิตคอยน์หรือคริปโทฯ สกุลอื่นๆ ขึ้นลงหวือหวาเหมือนนั่งรถไฟเหาะตีลังกา บางทีก็ดีใจกระโดดโลดเต้น บางทีก็ใจหายแวบลงไปอยู่ตาตุ่ม… แล้วถ้าเราแค่อยากจะเอาเงินดิจิทัลไปใช้จ่าย โอนข้ามประเทศ หรือเก็บไว้เฉยๆ โดยไม่ต้องมาลุ้นระทึกกับความผันผวนพวกนี้ล่ะ มีทางออกไหม?
นี่แหละครับคือที่มาของตัวละครที่เราจะมาทำความรู้จักกันวันนี้ นั่นก็คือ Stablecoin หรือที่บางคนเรียกว่า “เหรียญที่มีมูลค่าคงที่” ครับ
ลองนึกภาพตามง่ายๆ นะครับ ถ้าเงินบาทที่เราใช้กันทุกวันนี้ ราคาขึ้นๆ ลงๆ วันนี้ 1 บาทซื้อขนมได้ 1 ชิ้น พรุ่งนี้ 1 บาทซื้อได้แค่ครึ่งชิ้น อีกวันอาจจะซื้อได้ 2 ชิ้น แบบนี้คงไม่มีใครกล้าใช้เงินบาทมาซื้อขายของแน่ๆ จริงไหมครับ? คริปโทฯ ทั่วไปก็คล้ายๆ แบบนั้นแหละครับ มูลค่ามันผันผวนรุนแรง ทำให้เอามาใช้ในชีวิตจริง หรือใช้ทำธุรกรรมที่ต้องการความแน่นอนค่อนข้างยาก
Stablecoin ก็เลยถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหานี้ โดยมีเป้าหมายคือการทำให้มูลค่าของมัน “นิ่ง” หรือ “คงที่” ที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้มันทำหน้าที่เป็น “สื่อกลางในการแลกเปลี่ยน” หรือ “ที่พักเงิน” ในโลกคริปโทฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
**แล้ว Stablecoin มีอะไรบ้างล่ะ? และอะไรทำให้มัน “คงที่”?**
ความลับที่ทำให้ Stablecoin มีมูลค่าคงที่ก็คือ “กลไกการตรึงมูลค่า” หรือ Pegging Mechanism ครับ คือการเอาเหรียญดิจิทัลนี้ไป “อ้างอิง” กับสินทรัพย์ที่มีมูลค่าคงที่กว่าในโลกจริง หรือใช้กลไกบางอย่างเข้ามาควบคุม ซึ่งกลไกการอ้างอิงที่แตกต่างกันนี่แหละที่ทำให้ Stablecoin แบ่งออกเป็นหลายประเภทหลักๆ ครับ
ประเภทที่นิยมและคุ้นหูมากที่สุดก็คือ **Stablecoin ที่รองรับด้วยเงินเฟียต (Fiat-collateralized Stablecoin)** ครับ คำว่า “เงินเฟียต” ก็คือเงินจริงๆ ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี่แหละครับ เช่น เงินดอลลาร์สหรัฐฯ, เงินยูโร, หรือแม้กระทั่งเงินบาทไทย

Stablecoin ประเภทนี้จะพยายามตรึงมูลค่าตัวเองให้อยู่ในอัตราส่วนใกล้เคียง 1:1 กับสกุลเงินจริงที่มันอ้างอิงครับ ยกตัวอย่างที่โด่งดังมากๆ อย่าง Tether (USDT), USD Coin (USDC), หรือ Binance USD (BUSD) พวกนี้ส่วนใหญ่มักจะอ้างอิงกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ครับ และผู้ออกเหรียญจะต้องมีเงินดอลลาร์จริงๆ เก็บไว้เป็น “ทุนสำรอง” ในปริมาณที่ใกล้เคียงกับจำนวนเหรียญที่หมุนเวียนอยู่ในระบบ เพื่อให้มั่นใจว่าเหรียญนั้นมีสินทรัพย์จริงค้ำประกันอยู่
ข้อดีของ Stablecoin แบบนี้คือมันมีความมั่นคงสูง (ถ้าทุนสำรองโปร่งใสและเพียงพอ) และได้รับความนิยมอย่างมหาศาลในตลาดคริปโทฯ ปัจจุบัน แต่ข้อเสียก็คือมันขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือของ “ตัวกลาง” หรือผู้ออกเหรียญ และการตรวจสอบทุนสำรองว่ามีอยู่จริงและครบถ้วนตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ครับ ซึ่งเรื่องความโปร่งใสของทุนสำรองก็เป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะกับเจ้าเก่าแก่อย่าง Tether ครับ
นอกจากเงินเฟียตแล้ว Stablecoin ก็ยังสามารถอ้างอิงกับสินทรัพย์อื่นๆ ได้อีก เช่น **Stablecoin ที่รองรับด้วยสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity-collateralized Stablecoin)** อันนี้จะอ้างอิงกับสินทรัพย์จริงที่มีตัวตน เช่น ทองคำ น้ำมัน หรือแม้กระทั่งอสังหาริมทรัพย์ ตัวอย่างก็เช่น Tether Gold (XAUt) หรือ Pax Gold (PAXG) ที่อ้างอิงกับทองคำครับ ข้อดีคือมูลค่าผูกกับสินทรัพย์จริงโดยตรง แต่ข้อจำกัดคือความนิยมยังไม่มากเท่า Stablecoin ที่อิงเงินเฟียต และมีความซับซ้อนในการจัดการสินทรัพย์ค้ำประกันทางกายภาพ รวมถึงข้อกฎหมายต่างๆ ครับ
อีกประเภทที่น่าสนใจคือ **Stablecoin ที่รองรับด้วยคริปโทเคอร์เรนซี (Crypto-collateralized Stablecoin)** อันนี้จะใช้คริปโทฯ สกุลอื่นมาค้ำประกันมูลค่าครับ ฟังดูย้อนแย้งใช่ไหมครับ คริปโทฯ ผันผวนแล้วเอามาค้ำคริปโทฯ ที่ต้องการความมั่นคงได้ยังไง? กลไกที่ใช้มักจะเป็นการค้ำประกัน “เกินมูลค่า” (Over-collateralization) ครับ เช่น ถ้าอยากสร้าง Stablecoin มูลค่า 1 ดอลลาร์ อาจจะต้องเอาคริปโทฯ สกุลอื่นมูลค่า 1.5 หรือ 2 ดอลลาร์มาค้ำไว้ ถ้ามูลค่าคริปโทฯ ที่ค้ำลดลงจนใกล้เคียงมูลค่า Stablecoin ระบบก็จะขายคริปโทฯ ส่วนที่ค้ำไว้ทิ้ง (Liquidation) เพื่อรักษามูลค่า Stablecoin ครับ Stablecoin แบบนี้มักจะทำงานบนบล็อกเชนแบบ Decentralized (ไร้ตัวกลาง) อย่าง MakerDAO ซึ่งเป็นผู้ออกเหรียญ Dai ครับ ข้อดีคือมีความกระจายศูนย์สูง แต่ก็มีความเสี่ยงเรื่อง Liquidation หากตลาดคริปโทฯ ขาลงรุนแรงมากๆ
สุดท้ายคือประเภทที่ล้ำสมัยและเสี่ยงสูง นั่นคือ **Algorithmic Stablecoin (รองรับด้วยอัลกอริทึม)** Stablecoin ประเภทนี้ไม่ใช้สินทรัพย์ค้ำประกันโดยตรงเลยครับ แต่อาศัย “สมาร์ทคอนแทรค” (Smart Contract) และ “อัลกอริทึม” ในการควบคุมปริมาณเหรียญในระบบ เพื่อให้มูลค่าคงอยู่ที่เป้าหมาย เช่น ถ้ามูลค่า Stablecoin สูงกว่า 1 ดอลลาร์ อัลกอริทึมอาจจะสร้างเหรียญใหม่เพิ่มเข้ามาในระบบ ทำให้ปริมาณเหรียญมากขึ้น มูลค่าต่อเหรียญก็ลดลง (เหมือนการเพิ่มปริมาณเงินเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ) แต่ถ้ามูลค่าต่ำกว่า 1 ดอลลาร์ อัลกอริทึมก็จะหาวิธีลดปริมาณเหรียญในระบบ เช่น ให้คนเอา Stablecoin มาแลกกับเหรียญอื่นที่สร้างขึ้นมาคู่กัน แล้วเผา Stablecoin ทิ้งไปครับ

Stablecoin แบบ Algorithmic มีความซับซ้อนสูง และมีความเสี่ยงด้านความเสถียรสูงมาก หากอัลกอริทึมที่ออกแบบมาไม่แข็งแกร่งพอ หรือเผชิญกับภาวะตลาดที่ Extreme ตัวอย่างที่ช็อกโลกคริปโทฯ เมื่อปี 2022 คือ TerraUSD (UST) ซึ่งเป็น Algorithmic Stablecoin ที่เคยมีมูลค่ามหาศาล แต่สุดท้ายก็ “หลุด Peg” (Depegging) และมูลค่าร่วงลงแทบเป็นศูนย์ ทำให้เกิดความเสียหายอย่างหนักครับ แสดงให้เห็นว่า Stablecoin ก็ไม่ได้หมายความว่า “ไม่มีความเสี่ยง” เลยนะครับ โดยเฉพาะบางประเภท
**แล้วเราเอา Stablecoin ไปทำอะไรได้บ้างล่ะ?**
ประโยชน์หลักๆ ของ Stablecoin ก็คือการเป็น “สะพาน” เชื่อมระหว่างโลกการเงินแบบดั้งเดิมกับโลกคริปโทฯ ครับ
1. **การชำระเงินและโอนเงินระหว่างประเทศ:** นึกภาพว่าเราต้องโอนเงินข้ามประเทศ การโอนเงินแบบเดิมๆ ผ่านธนาคารอาจใช้เวลาหลายวัน มีค่าธรรมเนียมสูง แต่การใช้ Stablecoin ในการโอนเงินดิจิทัลสามารถทำได้รวดเร็วแทบจะทันที และมีค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่ามากๆ ครับ หลายบริษัทใหญ่ๆ อย่าง Visa ก็เริ่มร่วมมือกับผู้ออก Stablecoin เช่น Circle (ผู้ออก USDC) เพื่อนำ Stablecoin มาใช้ในการชำระเงินระหว่างธุรกิจ (B2B) แสดงให้เห็นว่า Stablecoin กำลังถูกนำมาใช้งานจริงในระดับองค์กรแล้วครับ หรืออย่าง PayPal เองก็ออก Stablecoin ของตัวเองชื่อ PYUSD ออกมา เพื่ออำนวยความสะดวกในการชำระเงินบนแพลตฟอร์มของตัวเอง
2. **ที่พักเงินและป้องกันความเสี่ยง:** ในช่วงที่ตลาดคริปโทฯ ผันผวน หรืออยู่ในช่วงขาลง นักลงทุนมักจะเทขายคริปโทฯ สกุลอื่นๆ ที่มีความเสี่ยง แล้วนำเงินไปพักไว้ใน Stablecoin เพื่อ “รักษาความมั่งคั่ง” ครับ เพราะมูลค่า Stablecoin มันนิ่งกว่า ทำให้เงินเราไม่ลดลงตามตลาด หรือในบางประเทศที่สกุลเงินท้องถิ่นอ่อนค่าลงเรื่อยๆ Stablecoin ที่อ้างอิงกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ก็กลายเป็นที่หลบภัยจากภาวะเงินเฟ้อได้เช่นกันครับ
3. **หัวใจสำคัญของโลก DeFi:** Stablecoin เป็นส่วนประกอบที่สำคัญมากๆ ในระบบการเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi – Decentralized Finance) ครับ บริการ DeFi ต่างๆ เช่น การกู้ยืม (Lending) การให้ยืม (Borrowing) การแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ (Decentralized Exchange) มักจะใช้ Stablecoin เป็นคู่เทรดหลัก หรือเป็นสินทรัพย์ที่ใช้ในการให้กู้ยืม/กู้ยืม ทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินรูปแบบใหม่ๆ ได้อย่างสะดวก
**ความเสี่ยงและความท้าทายที่ต้องรู้**
ถึงแม้จะชื่อ Stablecoin แต่ก็อย่างที่เล่าไป พวกมันก็มี “ความเสี่ยง” อยู่ครับ ไม่ได้คงที่แบบไม่มีอะไรต้องกังวลเลย
* **ความเสี่ยงเรื่อง “หลุด Peg” (Depegging Risk):** นี่คือความเสี่ยงที่ร้ายแรงที่สุดครับ คือมูลค่าของ Stablecoin มัน “หลุด” ออกจากสินทรัพย์ที่มันอ้างอิงไปเลย อย่างกรณีของ UST ที่เคยเป็นข่าวใหญ่ มูลค่าร่วงลงเหลือไม่กี่เซนต์ ซึ่งเกิดจากกลไกหรือทุนสำรองไม่สามารถรองรับแรงเทขาย หรือความตื่นตระหนกในตลาดได้ แม้แต่ Stablecoin ที่อ้างอิงเงินเฟียตก็เคยมีประวัติหลุด Peg สั้นๆ มาแล้วนะครับ เช่น USD Coin (USDC) เคยหลุด Peg ชั่วคราวในปี 2023 ช่วงที่มีข่าวปัญหาของธนาคารบางแห่งในสหรัฐฯ ครับ
* **ความเสี่ยงด้านความโปร่งใสของทุนสำรอง:** โดยเฉพาะ Stablecoin ที่อิงเงินเฟียต ผู้ออกบางรายยังถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูลทุนสำรองอย่างละเอียด ว่ามีสินทรัพย์อะไรบ้าง มีสภาพคล่องแค่ไหน และมีการตรวจสอบบัญชีโดยหน่วยงานที่เป็นกลางจริงหรือไม่ ข้อมูลที่ขาดความชัดเจนนี้ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือและความมั่นคงของเหรียญได้ครับ
* **ความเสี่ยงจากการรวมศูนย์ (Centralization Risk):** Stablecoin บางประเภทที่ต้องพึ่งพาตัวกลาง ผู้ออก หรือผู้ดูแลสินทรัพย์ค้ำประกัน อาจขัดแย้งกับหลักการกระจายศูนย์ของคริปโทฯ และทำให้เกิดความเสี่ยงที่ตัวกลางนั้นอาจถูกควบคุมโดยหน่วยงานรัฐ หรือมีข้อจำกัดในการใช้งานบางอย่างได้ครับ
**อนาคตของ Stablecoin และการกำกับดูแล**
ตลาด Stablecoin เติบโตขึ้นอย่างมากและต่อเนื่องครับ ในปี 2024 เราเห็น Stablecoin ถูกนำมาใช้และพัฒนาในรูปแบบที่หลากหลายขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในด้านขนาดมูลค่าตลาด จำนวนผู้ใช้งาน และประเภทของสินทรัพย์ที่นำมาค้ำประกัน
ที่น่าจับตาคือ บริษัทการเงินและเทคโนโลยีขนาดใหญ่ทั่วโลกต่างเข้ามามีบทบาทมากขึ้น นอกเหนือจาก Visa และ PayPal ที่กล่าวไป ยังมีบริษัทอย่าง Ripple ที่ร่วมมือกับรัฐบาลประเทศปาเลาออก Stablecoin ของประเทศ หรือ Standard Chartered ธนาคารใหญ่ระดับโลก ก็มีการจัดตั้งธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อสำรวจการใช้ Stablecoin ในการชำระเงินระหว่างประเทศครับ การที่องค์กรใหญ่ๆ เข้ามาแสดงให้เห็นว่า Stablecoin มีศักยภาพในการใช้งานจริงในวงกว้าง ไม่ใช่แค่ในโลกคริปโทฯ เล็กๆ อีกต่อไป
แน่นอนว่าเมื่อ Stablecoin มีบทบาทมากขึ้น หน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลกก็เริ่มให้ความสนใจและออกกฎระเบียบที่ชัดเจนขึ้นเพื่อควบคุมครับ ในสหรัฐฯ มีการพูดถึงกฎหมายต่างๆ ที่จะมากำกับดูแล Stablecoin โดยเฉพาะ เช่น STABLE Act หรือ GENIUS Act ส่วนในยุโรปก็มีข้อบังคับ MiCA ที่มีการกำหนดหลักเกณฑ์การออกและการดำเนินงานของ Stablecoin ไว้อย่างชัดเจน ซึ่งสิ่งเหล่านี้กำลังผลักดันให้ Stablecoin เข้าสู่กรอบกฎหมายทางการเงินแบบดั้งเดิมมากขึ้น และจะส่งผลต่อการยอมรับและความมั่นคงในระยะยาวครับ
**สรุปและข้อแนะนำ**
Stablecoin เป็นนวัตกรรมที่น่าสนใจในโลกคริปโทเคอร์เรนซี ที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาความผันผวน และเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานจริง ไม่ว่าจะเป็นการโอนเงิน การชำระเงิน หรือการเป็นที่พักเงิน
อย่างไรก็ตาม แม้จะชื่อว่า Stablecoin แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีความเสี่ยงเลยครับ ก่อนตัดสินใจใช้งาน หรือลงทุนใน Stablecoin ใดๆ ควรทำความเข้าใจประเภทของ Stablecoin นั้นๆ กลไกการทำงานของมัน ความโปร่งใสของทุนสำรอง (ถ้ามี) รวมถึงความน่าเชื่อถือของผู้ออก
**⚠️ ข้อแนะนำ:** หากคุณเป็นผู้ที่ต้องการใช้ Stablecoin เป็นสื่อกลางในการทำธุรกรรม หรือเป็นที่พักเงินชั่วคราว ควรเลือก Stablecoin ประเภทที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง มีมูลค่าตลาดสูง มีประวัติที่ดีในการรักษา Peg และพยายามตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับทุนสำรองและความน่าเชื่อถือของผู้ออกอยู่เสมอครับ หากเงินทุนที่คุณต้องการใช้มีสภาพคล่องไม่สูง หรือคุณไม่ต้องการรับความเสี่ยงจากการหลุด Peg ควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนนำเงินจำนวนมากไปพักไว้ใน Stablecoin หรือใช้ Stablecoin เป็นเครื่องมือหลักในการทำธุรกรรมที่สำคัญครับ การศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เช่น บทวิเคราะห์จากสถาบันการเงิน หน่วยงานกำกับดูแล หรือผู้เชี่ยวชาญในวงการ จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลและปลอดภัยมากขึ้นครับ