คริปโตพลัส

ศูนย์รวมความรู้คริปโต เคล็ดลับลงทุน และอัปเดตราคาเหรียญแบบเรียลไทม์

สกุลเงินดิจิทัลและโทเคน

ไขปริศนา! ใครคือ Market Maker (ผู้ดูแลสภาพคล่อง) ในโลก DW?

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน วันนี้ผมมีเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับ “หลังบ้าน” ของโลกการลงทุนมาเล่าให้ฟังครับ หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า Market Maker (ผู้ดูแลสภาพคล่อง) กันมาบ้าง แต่ก็อาจจะยังงงๆ ว่าเขาคือใคร มีบทบาทสำคัญยังไง โดยเฉพาะในตลาดใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า DW ที่กำลังฮิตกันระเบิดเถิดเทิงในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวันนี้ ถ้าคุณเคยสงสัยว่าทำไมบางทีเราถึงซื้อขาย DW ได้ง่ายราวกับเดินตลาดนัด แต่บางทีก็รู้สึกเหมือนเดินอยู่ในซอยเปลี่ยว หาคนซื้อคนขายยากเหลือเกิน นั่นแหละครับ “Market Maker” (ผู้ดูแลสภาพคล่อง) นี่แหละคือคำตอบ!

ลองนึกภาพตามผมนะครับ สมมติว่าคุณอยากซื้อส้มโอสักลูกที่ตลาด แต่แม่ค้ามีส้มโอแค่ 2 ลูก แถมตั้งราคาแพงลิบลิ่ว หรือคุณอยากจะขายผักที่ปลูกมา แต่เดินทั้งตลาดก็ไม่มีใครสนใจสักคน! สถานการณ์แบบนี้เราจะรู้สึกหงุดหงิดทันทีใช่ไหมครับ ตลาดหุ้นก็ไม่ต่างกันเลยครับ ถ้าไม่มีคนคอยดูแลให้มีสินค้า (DW) เพียงพอต่อความต้องการซื้อ และมีคนคอยรับซื้อในราคาที่เหมาะสม เราคงต้องปาดเหงื่อกันแน่ๆ และนี่คือบทบาทสำคัญของ Market Maker (ผู้ดูแลสภาพคล่อง) ครับ เขาคือ “ผู้สร้างตลาด” ตัวจริง เสียงจริง ที่ทำให้การซื้อขายมีสีสัน มีการเคลื่อนไหว และที่สำคัญที่สุดคือ “มีสภาพคล่อง” นั่นเอง

แล้วใครล่ะครับที่มาเป็น Market Maker (ผู้ดูแลสภาพคล่อง) ให้กับ DW? โดยปกติแล้ว โบรกเกอร์ผู้ออก DW นั่นแหละครับที่มักจะรับบทเป็น Market Maker (ผู้ดูแลสภาพคล่อง) เอง เพราะพวกเขามีข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับ DW ที่ออก ทั้งราคาอ้างอิงและเงื่อนไขต่างๆ ทำให้สามารถดูแลตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ หน้าที่หลักของพวกเขาก็คือ การตั้งราคาเสนอซื้อ (Bid) และราคาเสนอขาย (Offer) รวมถึงปริมาณการซื้อขาย เพื่อให้แน่ใจว่านักลงทุนอย่างเราๆ สามารถซื้อและขาย DW ได้ตลอดเวลา ไม่ต้องกังวลว่าจะหาคู่ค้าไม่เจอ หรือต้องซื้อขายในราคาที่ไม่สมเหตุสมผล พูดง่ายๆ คือทำให้เราอุ่นใจว่ามี “ของ” ให้เราซื้อขายอย่างเพียงพอและในราคาที่ “สมน้ำสมเนื้อ” นั่นเองครับ

แต่ก็เหมือนกับทุกอย่างในโลกนี้ครับ ที่มีกฎก็ต้องมีข้อยกเว้น! Market Maker (ผู้ดูแลสภาพคล่อง) ก็มี “ข้อกำหนดสิทธิ” (Terms and Conditions) เป็นเหมือนคู่มือการปฏิบัติงานของเขา ซึ่งระบุเงื่อนไขและสถานการณ์ที่เขาอาจจะ “งด” การปฏิบัติหน้าที่ดูแลสภาพคล่องได้ด้วย ตัวอย่างง่ายๆ ที่เจอได้บ่อยก็เช่น เมื่อราคาของ DW ต่ำกว่า 0.05 บาท หรือเมื่อ DW ใกล้จะหมดอายุมากๆ เหลืออายุคงเหลือน้อยกว่า 14 วันทำการ เป็นต้น ในสถานการณ์แบบนี้ก็เหมือนกับสินค้าที่ใกล้หมดอายุ หรือราคาถูกจนแทบไม่มีมูลค่า ผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) ก็อาจจะไม่เข้ามาดูแลสภาพคล่องแล้ว เพราะมันยากที่จะบริหารจัดการและอาจไม่คุ้มค่ากับการทำหน้าที่ ดังนั้นในฐานะนักลงทุน เราจึงควรศึกษา “ข้อกำหนดสิทธิ” เหล่านี้ให้ละเอียดก่อนลงทุน เพื่อไม่ให้เกิดอาการ “อ้าว! ทำไมซื้อขายไม่ได้?” ในภายหลังนะครับ

ทีนี้ เราจะรู้ได้ยังไงว่า Market Maker (ผู้ดูแลสภาพคล่อง) รายไหน ‘งานดี’ ‘น่าคบหา’ และจะช่วยให้เราทำกำไรในตลาด DW ได้อย่างราบรื่นขึ้น? นักลงทุนอย่างเราๆ ต้องจับตาดู 3 ประเด็นสำคัญนี้ให้ดีครับ เปรียบเสมือนการตรวจสุขภาพ Market Maker (ผู้ดูแลสภาพคล่อง) ก่อนจะมอบความไว้วางใจให้เขานำทางเราในโลก DW

**1. สภาพคล่องเสนอซื้อ-เสนอขาย (Bid-Offer) ที่แน่นปึ้กและไม่ห่างกันเกินไป**

ลองนึกภาพคุณเดินเข้าตลาดสดครับ ถ้าคุณเจอแผงผักที่มีผักกองเป็นภูเขา และมีคนมาซื้อขายกันคึกคัก คุณจะรู้สึกสบายใจที่จะเลือกซื้อใช่ไหมครับ ในตลาด DW ก็เช่นกันครับ Market Maker (ผู้ดูแลสภาพคล่อง) ที่ดีต้องตั้งราคาเสนอซื้อ (Bid) และราคาเสนอขาย (Offer) ให้หนาแน่นพอสมควร และที่สำคัญคือ “ช่วงห่าง” ของราคานี้ต้องแคบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ครับ โดยปกติแล้วควรห่างกันเพียง 1 Tick Size (ช่องราคา) เท่านั้น เพื่ออะไรน่ะหรือครับ? ก็เพื่อให้นักลงทุนอย่างเราๆ สามารถซื้อขายได้สะดวก ไม่ต้องเสียเปรียบราคามากเกินไปไงครับ

ยกตัวอย่างง่ายๆ สมมติราคาเสนอซื้อ (Bid) อยู่ที่ 0.50 บาท และราคาเสนอขาย (Offer) อยู่ที่ 0.51 บาท นั่นหมายความว่าช่องว่างระหว่างซื้อกับขายมีเพียง 1 ช่องราคาเท่านั้น ทำให้คุณสามารถซื้อได้ในราคาใกล้เคียงกับราคาที่คนอื่นอยากซื้อ และขายได้ในราคาใกล้เคียงกับที่คนอื่นอยากขาย ถ้าช่องว่างราคาห่างกันมากๆ เช่น ซื้อ 0.50 บาท แต่ขาย 0.60 บาท นั่นหมายความว่าคุณเสียส่วนต่างไปเยอะทันทีที่ซื้อขาย ซึ่งไม่ใช่ Market Maker (ผู้ดูแลสภาพคล่อง) ที่ดีแน่นอนครับ แถมราคา Bid-Offer ควรเปลี่ยนแปลงไปตามราคาหุ้นอ้างอิงอย่างรวดเร็วและสอดคล้องกันด้วยนะ ไม่งั้นเราจะรู้สึกเหมือนโดนจับแพะชนแกะยังไงไม่รู้! การที่ Bid-Offer หนาและแคบ เป็นดัชนีสำคัญที่บ่งบอกถึงประสิทธิภาพของผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) และทำให้การเข้าออกสถานะเป็นไปอย่างราบรื่น ช่วยลดความเสี่ยงที่เราจะ ‘ติดดอย’ หรือ ‘ขาดทุน’ แบบไม่จำเป็นตั้งแต่ก้าวแรกเลยล่ะครับ

**2. ราคาอ้างอิง (Indicative Price) ขยับเร็วและแม่นยำ**

นี่คือ “แผนที่ขุมทรัพย์” ที่ผู้ออก DW เขาทำมาให้นักลงทุนโดยเฉพาะเลยครับ! ผู้ออก DW ทุกรายจะมี “ตารางราคาเหมาะสม” หรือ “Indicative Price Table” ที่แสดงให้เห็นว่า ถ้าหุ้นอ้างอิงขยับขึ้นหรือลงไปเท่านี้ๆ DW ควรจะมีราคาเท่าไหร่ Market Maker (ผู้ดูแลสภาพคล่อง) ที่ดีต้องเคาะราคาตามแผนที่นี้เป๊ะๆ ครับ ไม่ใช่เคาะตามใจฉัน หรือเคาะช้าจนเราซื้อขายไม่ทัน เหมือนคุณเปิด Google Maps แล้วพบว่าทางที่คุณกำลังขับไปไม่ตรงกับแผนที่เลยสักนิด แบบนั้นคงหลงทางแย่เลยใช่ไหมครับ

ดังนั้น สิ่งที่เราต้องสังเกตคือ ราคากระดานจริงที่เราเห็น ควรจะเปลี่ยนแปลงไปตามตารางราคา Indicative Price อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ไม่ควรแตกต่างกันมากนัก เพราะตารางนี้เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนอย่างเราๆ สามารถประเมินราคา DW ที่ควรจะเป็นตามการเคลื่อนไหวของหุ้นอ้างอิงได้ ช่วยให้เรากะเก็งได้แม่นยำขึ้น และวางแผนการซื้อขายได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้นครับ (ข้อมูลนี้อ้างอิงจากแหล่งความรู้ด้านการลงทุนที่เชื่อถือได้อย่าง setinvestnow.com ด้วยนะครับ) การที่ Market Maker (ผู้ดูแลสภาพคล่อง) ปรับราคาตาม Indicative Price ได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และสมเหตุสมผล แสดงถึงความเป็นมืออาชีพและความน่าเชื่อถือของผู้ออก DW และผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) ครับ

**3. ปริมาณการซื้อขาย (Volume) เพียงพอต่อความต้องการ**

ลองนึกถึงตลาดนัดที่มีคนเดินเยอะๆ มีของให้เลือกซื้อเยอะแยะ และพ่อค้าแม่ค้าก็พร้อมซื้อพร้อมขายอยู่ตลอดเวลา คุณจะรู้สึกว่าการซื้อขายมันง่ายมากๆ ใช่ไหมครับ ตลาด DW ก็เหมือนกันครับ ปริมาณการซื้อขาย หรือ “Volume” ที่เยอะๆ นั่นแหละคือสิ่งที่บอกว่า Market Maker (ผู้ดูแลสภาพคล่อง) ทำงานได้ดีขนาดไหน

Market Maker (ผู้ดูแลสภาพคล่อง) ที่ดีจะต้องดูแลให้มีปริมาณวอลุ่มของ DW ที่เพียงพอต่อความต้องการซื้อขายของนักลงทุนอยู่เสมอครับ การมีวอลุ่มที่มากพอจะช่วยให้เราสามารถเข้าซื้อหรือขาย DW ได้อย่างสะดวกสบาย ไม่ต้องกลัวว่าซื้อแล้วจะหาคนขายต่อไม่ได้ หรือจะขายออกแล้วหาคนซื้อไม่ได้ ยิ่งวอลุ่มเยอะเท่าไหร่ การซื้อขายของเราก็ยิ่งราบรื่นเท่านั้นครับ แถมวอลุ่มที่เยอะยังสะท้อนถึงความน่าเชื่อถือและความตั้งใจของผู้ออก DW ในการดูแลสภาพคล่องอีกด้วย เพราะ Market Maker (ผู้ดูแลสภาพคล่อง) ที่มีวอลุ่มดีๆ นั่นแหละคือตัวบอกว่าเขาดูแลดีแค่ไหน และเป็นที่นิยมของนักลงทุนมากแค่ไหนครับ

สรุปง่ายๆ ก็คือ Market Maker (ผู้ดูแลสภาพคล่อง) คือหัวใจของ DW ที่ทำให้เราซื้อขายได้อย่างสบายใจครับ เขาไม่ใช่แค่คนกลาง แต่เป็นผู้ที่เข้ามา “รับประกัน” ว่าจะมีสภาพคล่องเพียงพอให้เราเข้าออกได้ตลอดเวลา และราคาที่ซื้อขายก็สมเหตุสมผลและสอดคล้องกับหุ้นอ้างอิง ผู้ออกและผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) ที่มีประสบการณ์ยาวนานและใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่น่าเชื่อถือนั้น จะช่วยลดความเสี่ยงและสร้างโอกาสทำกำไรให้กับนักลงทุนได้เป็นอย่างดี เพราะพวกเขาสามารถบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงของราคาและปริมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ดังนั้น ก่อนจะกระโดดเข้าสู่สนาม DW ทุกครั้ง ลองส่อง 3 จุดนี้ให้ดีนะครับ ไม่ว่าจะเป็นความหนาแน่นของราคาเสนอซื้อ-เสนอขาย (Bid-Offer) ความรวดเร็วและแม่นยำของราคาอ้างอิง (Indicative Price) และปริมาณการซื้อขาย (Volume) ที่เพียงพอ การตรวจสอบปัจจัยเหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนอย่างเราๆ ประเมินประสิทธิภาพของ Market Maker (ผู้ดูแลสภาพคล่อง) และตัดสินใจลงทุนได้อย่างชาญฉลาดมากขึ้นครับ

⚠️ **ข้อควรระวังสำคัญ:** แต่จำไว้นะครับว่า ตลาดหุ้นมีความผันผวนเสมอ ไม่ว่า Market Maker (ผู้ดูแลสภาพคล่อง) จะดีแค่ไหน การลงทุนใน DW ก็ยังคงมีความเสี่ยงที่สูงกว่าการลงทุนในหุ้นโดยตรง เนื่องจาก DW มีเรื่องของอัตราทด (Gearing), ค่าเสื่อมราคา (Time Decay) และปัจจัยอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง นักลงทุนควรศึกษา “ข้อกำหนดสิทธิ” ของ DW แต่ละรุ่นอย่างละเอียดถี่ถ้วน และเข้าใจถึงกลไกการเคลื่อนไหวของราคา DW และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้งนะครับ อย่าเอาแต่พุ่งชนด้วยความมั่นใจเกินร้อย เพราะแม้แต่ Market Maker (ผู้ดูแลสภาพคล่อง) ที่เก่งที่สุดก็ยังไม่สามารถรับประกันผลตอบแทนให้คุณได้ 100% ครับ ขอให้ทุกท่านลงทุนอย่างมีสติและรอบคอบนะครับ!

LEAVE A RESPONSE