คริปโตพลัส

ศูนย์รวมความรู้คริปโต เคล็ดลับลงทุน และอัปเดตราคาเหรียญแบบเรียลไทม์

สกุลเงินดิจิทัลและโทเคน

ไขความลับเหรียญ POW: ขุดลึกกลไก, ขุดหาอนาคต

เอาล่ะ เพื่อนๆ นักลงทุน หรือคนที่แค่สนใจอยากรู้ว่าโลกคริปโทฯ ที่พูดถึงกันจังเนี่ย มันมีอะไรซ่อนอยู่บ้าง เคยสงสัยไหมครับว่าเจ้าเหรียญดิจิทัลที่เราเห็นราคาขึ้นๆ ลงๆ กันทุกวันเนี่ย เบื้องหลังมันทำงานกันยังไง? ทำไมบางเหรียญถึงใช้พลังงานมหาศาลในการผลิต ในขณะที่บางเหรียญดูจะสบายๆ กว่าเยอะ?

วันนี้ในฐานะคนเล่าเรื่องการเงิน ผมอยากพาไปเจาะลึกกลไกสำคัญที่เป็นเหมือน “หัวใจ” ของเหรียญคริปโทฯ นั่นก็คือ “กลไกฉันทามติ” หรือ Consensus Mechanism ครับ พูดง่ายๆ มันคือระบบที่ทำให้คนทั้งเครือข่ายบล็อกเชนเห็นพ้องต้องกันได้ว่า ธุรกรรมไหนจริง ธุรกรรมไหนปลอม โดยไม่ต้องมีคนกลางอย่างธนาคารมาคอยตัดสิน

ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลทุกวันนี้กว้างใหญ่มากนะ มีทั้งการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มตัวกลางที่เราคุ้นเคยกันดี (ที่ตอนนี้มีนับพันแห่งทั่วโลกเลยทีเดียว!) และการซื้อขายแบบไร้ตัวกลางผ่านบล็อกเชนโดยตรง ซึ่งเบื้องหลังการทำงานของเหรียญเหล่านี้ก็แตกต่างกันไปตามกลไกฉันทามติ โดยหลักๆ ที่นิยมกันก็มีสองแบบใหญ่ๆ คือ “พรูฟออฟเวิร์ค” (Proof-of-Work) หรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่า PoW และ “พรูฟออฟสเตค” (Proof-of-Stake) หรือ PoS นั่นเองครับ

ทีนี้มาทำความรู้จักกับพระเอกของเราวันนี้ก่อนเลย “เหรียญ pow” หรือเหรียญที่ใช้กลไก พรูฟออฟเวิร์ค นี่แหละครับ มันคือกลไกที่เก่าแก่ที่สุดในโลกคริปโทฯ เลยก็ว่าได้ ต้นตำรับอย่าง บิตคอยน์ (Bitcoin : BTC) ที่เป็นเหมือนคุณปู่ของวงการ ก็ใช้ระบบนี้แหละครับ

ลองนึกภาพตามนะ การทำงานของ “เหรียญ pow” เนี่ย เหมือนการแข่งขันแก้โจทย์คณิตศาสตร์ที่ยากโคตรๆ! ทั่วโลกจะมีคนที่เราเรียกว่า “นักขุด” (Miners) ใช้คอมพิวเตอร์ที่มีพลังประมวลผลสูงๆ แข่งกันแก้โจทย์นี้ ใครแก้ได้ก่อน ก็เหมือนเป็นคนได้สิทธิ์ในการตรวจสอบและยืนยันกลุ่มธุรกรรมล่าสุด แล้วนำไปต่อท้ายในบล็อกเชน และเป็นคนแรกที่ได้รับรางวัลเป็น “เหรียญ pow” ใหม่ๆ ที่เพิ่งถูกสร้างขึ้นมา พร้อมกับค่าธรรมเนียมจากธุรกรรมนั้นๆ ด้วย

กระบวนการนี้เองที่ทำให้ระบบ “เหรียญ pow” มีความปลอดภัยสูงมาก เพราะต้องใช้พลังการประมวลผลมหาศาลในการ “ขุด” หรือแก้โจทย์ ถ้าใครจะพยายามโกงหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลในอดีต ก็ต้องมีพลังในการขุดมากกว่าครึ่งหนึ่งของเครือข่ายทั้งหมด ซึ่งในทางปฏิบัติมันยากมากๆ ครับ แต่ข้อเสียที่ตามมาก็คือ การใช้พลังงานไฟฟ้าที่สูงลิ่ว ซึ่งเป็นประเด็นที่ถูกถกเถียงมาตลอดเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

เรามาดูตัวอย่าง “เหรียญ pow” ดังๆ ในตลาดกันหน่อยครับ (อิงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลสาธารณะ ซึ่งตัวเลขอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลานะครับ) แน่นอนว่าอันดับหนึ่งคือ บิตคอยน์ (Bitcoin : BTC) ที่มีมูลค่าตลาดนำโด่งไปไกลมากๆ ตามมาด้วยเหรียญอื่นๆ ที่ใช้กลไกเดียวกัน เช่น โดชคอยน์ (Dogecoin : DOGE) ที่หลายคนรู้จักจากกระแสไวรัล, บิตคอยน์แคช (Bitcoin Cash : BCH), ไลท์คอยน์ (Litecoin : LTC) หรือแม้แต่ โมเนโร (Monero : XMR) ที่เน้นเรื่องความเป็นส่วนตัว นอกจากนี้ก็ยังมี เอเธอเรียม คลาสสิก (Ethereum Classic : ETC), คาสปา (Kaspa : KAS), ซีแคช (Zcash : ZEC), บิตคอยน์ เอสวี (Bitcoin SV : BSV) และ คอนฟลักซ์ (Conflux : CFX) ซึ่งแต่ละ “เหรียญ pow” เหล่านี้ก็มีขนาด มูลค่า และปริมาณซื้อขายที่แตกต่างกันไป ตามความนิยมและการนำไปใช้งาน

คราวนี้มาดูกลไกอีกแบบที่เป็นขั้วตรงข้าม นั่นคือ พรูฟออฟสเตค (Proof-of-Stake : PoS) ครับ ถ้า “เหรียญ pow” เน้นพลังงาน PoS จะเน้น “กำลังทรัพย์” หรือจำนวนเหรียญที่คุณถืออยู่และนำไป “วางค้ำประกัน” หรือ Stake ไว้ในระบบ ผู้ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบและยืนยันธุรกรรมในระบบ PoS จะเรียกว่า “Validators” ซึ่งระบบจะสุ่มเลือกจากกลุ่มผู้ที่นำเหรียญมา Stake ไว้ ยิ่ง Stake เยอะ โอกาสถูกเลือกก็ยิ่งสูง

ข้อดีมากๆ ของ PoS คือมันประหยัดพลังงานกว่า “เหรียญ pow” อย่างเทียบไม่ติดเลยครับ แถมยังประมวลผลธุรกรรมได้เร็วกว่าด้วย ยกตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือ เอเธอเรียม (Ethereum) ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ จากเดิมที่เคยเป็น “เหรียญ pow” ก็เปลี่ยนมาใช้ PoS ในการอัปเกรดที่เรียกว่า The Merge ซึ่งตามข้อมูลระบุว่าช่วยลดการใช้พลังงานลงได้ถึง ๙๙.๙๘%! ลองคิดดูว่าพลังงานที่ประหยัดได้มันมหาศาลแค่ไหน เมื่อก่อน เอเธอเรียม ใช้พลังงานเทียบเท่าทั้งประเทศอุซเบกิสถานต่อปีเลยนะครับ พอเปลี่ยนมาเป็น PoS การใช้พลังงานก็ลดฮวบลงไปอย่างมีนัยสำคัญ

เหรียญดังๆ ที่ใช้ระบบ PoS ในปัจจุบันก็มีหลายเหรียญ เช่น คาร์ดาโน (Cardano), โซลานา (Solana), ทอนคอยน์ (Toncoin) หรือ อัลกอแรนด์ (Algorand) ครับ

ทีนี้มาถึงประเด็นที่น่าสนใจ (และอาจจะสร้างความงุนงงได้บ้าง) นั่นคือการวิเคราะห์เหรียญเฉพาะบางเหรียญที่อาจมีชื่อคล้ายกับกลไกอย่าง “เหรียญ พาว” (POW) ที่บางแพลตฟอร์มอาจมีการแสดงข้อมูลอยู่

เวลาเราจะประเมินค่าเหรียญคริปโทฯ สักเหรียญ ปกติแล้วเราจะดูจากหลายมุม ทั้งการวิเคราะห์ทางเทคนิค (ดูจากกราฟราคาและตัวชี้วัดต่างๆ) และการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (ดูจากข้อมูลของโปรเจกต์, อุปสงค์/อุปทาน, มูลค่าตลาด, ปริมาณซื้อขาย)

สำหรับการวิเคราะห์ทางเทคนิคของ “เหรียญ พาว” ที่ว่านี้ (อิงจากข้อมูล ณ เวลาที่รวบรวม) ตัวชี้วัดทางเทคนิคยอดนิยมอย่าง RSI (Relative Strength Index) ในกรอบเวลาระยะสั้นถึงกลาง มีแนวโน้มไปทางขาลง หรือเป็นกลางๆ ตัวชี้วัดอื่นๆ เช่น MACD (Moving Average Convergence Divergence) ก็ให้สัญญาณเชิงลบ ซึ่งจากมุมมองของคนดูกราฟ อาจมองว่าราคามีโอกาสปรับตัวลง หรือยังไม่มีสัญญาณกลับตัวที่ชัดเจน

แต่พอมาดูที่ข้อมูลพื้นฐานสำคัญของ “เหรียญ พาว” ตัวนี้ กลับพบว่าข้อมูลหลายๆ อย่างเป็น “ศูนย์” ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นมูลค่าตลาดสด, ปริมาณการซื้อขายใน ๒๔ ชั่วโมง, หรืออุปทานหมุนเวียน! นี่คือจุดที่น่าสนใจมากครับ เพราะการที่ข้อมูลเหล่านี้เป็นศูนย์ อาจบ่งชี้ได้หลายอย่าง เช่น สภาพคล่องของเหรียญต่ำมากจนแทบไม่มีการซื้อขาย หรือข้อมูลของเหรียญยังไม่ครบถ้วนในแพลตฟอร์มที่ใช้อ้างอิง ทำให้การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเพื่อประเมินมูลค่า “ที่แท้จริง” ทำได้ยากลำบากมากๆ ครับ

ดังนั้น แม้ตัวชี้วัดทางเทคนิคจะให้สัญญาณบางอย่าง แต่ถ้าข้อมูลพื้นฐานสำคัญๆ ยังไม่ปรากฏหรือไม่น่าเชื่อถือ การตัดสินใจลงทุนจากข้อมูลเพียงส่วนเดียวก็ถือเป็นความเสี่ยงสูงครับ

ไม่ว่าจะเป็น “เหรียญ pow” หรือ PoS หรือกลไกอื่นๆ ทั้งหมดล้วนมีข้อดีข้อเสียและความเสี่ยงในตัวเองครับ อย่างที่บอกไป “เหรียญ pow” ให้ความมั่นคงสูง แลกกับการใช้พลังงานมหาศาล และก็มีความเสี่ยงเรื่องการรวมศูนย์อำนาจการขุด (นักขุดรายใหญ่รวมตัวกันเป็น Mining Pools) หรือแม้กระทั่งความเสี่ยงของการโจมตีแบบ ๕๑% (ถ้ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมีกำลังขุดเกิน ๕๑% ของเครือข่ายทั้งหมด ก็อาจควบคุมหรือก่อกวนระบบได้)

ส่วน PoS ที่ประหยัดพลังงานกว่าและเร็วกว่า ก็มีความเสี่ยงเรื่องการรวมศูนย์ได้เช่นกัน ถ้ามีผู้ถือเหรียญรายใหญ่มากๆ ที่ Stake เหรียญไว้จำนวนมหาศาล ก็อาจมีอิทธิพลต่อเครือข่ายได้มากกว่าผู้ถือรายย่อยครับ ท้ายที่สุดแล้ว ทั้งสองระบบก็ยังมีความเป็นไปได้ที่อำนาจจะกระจุกตัวอยู่ที่คนกลุ่มน้อย แทนที่จะกระจายอำนาจอย่างแท้จริงตามอุดมการณ์ดั้งเดิมของบล็อกเชน

เพื่อนๆ ครับ การตัดสินใจว่าจะลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีตัวไหน ไม่ควรมองแค่ว่ามันเป็น “เหรียญ pow” หรือ PoS เท่านั้นนะครับ กลไกฉันทามติเป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพใหญ่เท่านั้น ปัจจัยสำคัญอื่นๆ ที่เราควรพิจารณาร่วมด้วย ได้แก่:

* **ทีมนักพัฒนา:** ใครอยู่เบื้องหลังโปรเจกต์ มีความสามารถและวิสัยทัศน์แค่ไหน?
* **ประโยชน์การใช้งาน:** เหรียญนี้ถูกสร้างมาเพื่อแก้ปัญหาอะไร มี Use Case จริงๆ ในโลกปัจจุบันหรืออนาคตหรือไม่?
* **วัตถุประสงค์ของเครือข่าย:** บล็อกเชนของเหรียญนี้มีเป้าหมายอะไร?
* **พัฒนาการของเทคโนโลยี:** ตัวเทคโนโลยีของเหรียญมีความก้าวหน้า แข็งแกร่ง และพร้อมรับมือกับอนาคตแค่ไหน?
* **ความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์:** มีพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่งหรือไม่?

เหมือนเวลาเราจะซื้อรถยนต์คันหนึ่ง เราไม่ได้ดูแค่ว่ามันใช้น้ำมันหรือไฟฟ้าใช่ไหมครับ เราต้องดูยี่ห้อ รุ่น สมรรถนะ ฟังก์ชันพิเศษ และบริการหลังการขายด้วย การลงทุนในคริปโทฯ ก็เช่นกันครับ

สิ่งสำคัญที่สุดที่ผมอยากจะเน้นย้ำส่งท้ายก็คือ โลกของคริปโทเคอร์เรนซีมีความผันผวนสูงมาก ราคาขึ้นลงได้แรงในเวลาอันสั้น และมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น “เหรียญ pow” หรือเหรียญประเภทไหนก็ตาม ดังนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจนำเงินเก็บที่หามาอย่างยากลำบากไปลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลตัวไหนก็ตาม “โปรดทำการบ้านด้วยตัวเองอย่างละเอียดถี่ถ้วน” หรือ Do Your Own Research (DYOR) เสมอครับ

ศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน ทำความเข้าใจในความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และลงทุนเฉพาะเงินที่พร้อมจะเสียไปเท่านั้นนะครับ นี่คือหัวใจของการอยู่รอดในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลครับ!

LEAVE A RESPONSE