คริปโตพลัส

ศูนย์รวมความรู้คริปโต เคล็ดลับลงทุน และอัปเดตราคาเหรียญแบบเรียลไทม์

สกุลเงินดิจิทัลและโทเคน

ไขข้อสงสัย: เหรียญโทเคน คืออะไร? ทำไมถึงต้องรู้จัก!

เพื่อนๆ เคยได้ยินคำว่า “สินทรัพย์ดิจิทัล” กันบ่อยๆ ช่วงนี้ใช่ไหมครับ ทั้งบิตคอยน์ อีเธอเรียม หรืออะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด จนบางทีก็งงๆ ว่าอันไหนเรียกว่า “เหรียญ” อันไหนเรียกว่า “โทเคน” แล้วไอ้เจ้า “เหรียญโทเคน” นี่มันคืออะไรกันแน่ วันนี้ผมในฐานะคนคุ้นเคยเรื่องพวกนี้พอสมควร จะมาเล่าให้ฟังแบบบ้านๆ เข้าใจง่ายๆ เหมือนนั่งคุยกันที่ร้านกาแฟเลยครับ

ช่วงที่สินทรัพย์ดิจิทัลเริ่มดังมากๆ ใหม่ๆ เรามักจะได้ยินคำว่า “เหรียญคริปโต” หรือ Cryptocurrency กันเป็นหลัก ซึ่งส่วนใหญ่ก็หมายถึงเหรียญดังๆ อย่าง Bitcoin หรือ Ethereum นั่นแหละครับ แต่พอโลกดิจิทัลมันพัฒนาไปเรื่อยๆ ก็เริ่มมีสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทใหม่ๆ เกิดขึ้นมา ที่แม้จะอยู่บนเทคโนโลยีคล้ายๆ กันอย่างบล็อกเชน (Blockchain) แต่มีหน้าที่และคุณสมบัติต่างกันออกไป เราเลยต้องทำความรู้จักกับอีกคำ นั่นคือ “โทเคน” หรือ “เหรียญโทเคน” นั่นเองครับ

ถ้าจะให้แบ่งแบบง่ายๆ ตามมาตรฐานสากลที่เขาใช้กันทั่วโลก เหรียญ (Coin) เนี่ย มักจะหมายถึงสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีระบบบล็อกเชนเป็นของตัวเอง เหมือนมีอาณาจักรส่วนตัวในการทำงานเลยครับ ตัวอย่างชัดๆ ก็อย่าง Bitcoin (BTC) ที่มี Bitcoin Blockchain หรือ Ethereum (ETH) ที่มี Ethereum Blockchain เป็นฐานรากในการทำธุรกรรมต่างๆ ส่วนเจ้า โทเคน (Token) หรือ เหรียญโทเคน เนี่ย จะไม่ได้มีบล็อกเชนเป็นของตัวเองครับ แต่จะถูกสร้างขึ้นมาและทำงานอยู่บนบล็อกเชนของเหรียญอื่นอีกที เหมือนไปขอเช่าพื้นที่บนอาณาจักรของคนอื่นเขาอยู่ ตัวอย่างเช่น โทเคนดังๆ ส่วนใหญ่ อย่างพวก Uniswap (UNI) หรือ Aave (AAVE) ก็มักจะสร้างอยู่บนเครือข่าย Ethereum ที่เป็นบล็อกเชนหลักครับ ทำให้การสร้างโทเคนทำได้ง่ายกว่าและรวดเร็วกว่าการสร้างเหรียญที่มีบล็อกเชนตัวเอง

ทีนี้ พอมาดูในบ้านเราเอง ตามกฎหมายไทยอย่าง พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า พรก. สินทรัพย์ดิจิทัล เนี่ย เขาก็มีนิยามที่ต่างออกไปเล็กน้อยและค่อนข้างชัดเจนเลยครับ ตามกฎหมายไทยเนี่ย “คริปโทเคอร์เรนซี” หรือ “Coin” ที่เราเรียกกัน จะหมายถึงหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้า บริการ หรือสิทธิอื่นใด เหมือนเงินตราทั่วไป เพียงแต่อยู่ในรูปดิจิทัล ตัวอย่างก็ยังคงเป็น Bitcoin หรือ Ethereum ที่เข้าข่ายนี้ ส่วน “โทเคนดิจิทัล” หรือ “เหรียญโทเคน” ในมุมของกฎหมายไทย จะหมายถึงหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อกำหนดสิทธิของบุคคลในการเข้าร่วมในโครงสร้างการลงทุนในโครงการหรือกิจการใดๆ หรือสิทธิในการได้รับสินค้า บริการ หรือสิทธิอื่นใดที่เฉพาะเจาะจง พูดง่ายๆ คือ ถ้าเป็น Coin คือทำหน้าที่เหมือนเงิน แลกอะไรก็ได้ แต่ถ้าเป็น เหรียญโทเคน คือเป็นตัวแทนของสิทธิอะไรบางอย่างที่ผู้ออกเขาบอกไว้ จะเป็นสิทธิในการใช้ประโยชน์ หรือสิทธิในการลงทุนก็ได้

จากนิยามตามกฎหมายไทยเมื่อกี้แหละครับ เราก็แบ่งประเภทของ เหรียญโทเคน ออกได้หลักๆ เป็น 2 แบบใหญ่ๆ คือ

1. **โทเคนดิจิทัลเพื่อการใช้ประโยชน์ (Utility Token):** ชื่อก็บอกตรงๆ เลยครับว่า “เพื่อการใช้ประโยชน์” โทเคนกลุ่มนี้จะกำหนดสิทธิให้ผู้ถือสามารถนำไปแลกเปลี่ยนเป็นสินค้า บริการ หรือสิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่ระบุไว้ได้ เหมือนเป็นคูปองดิจิทัล หรือเป็นตั๋วสำหรับเข้าใช้งานอะไรบางอย่าง ตามกฎหมายไทยยังแบ่งย่อยไปอีกเป็นแบบ “พร้อมใช้” คือได้โทเคนมาปุ๊บ ใช้สิทธิได้ทันที กับแบบ “ไม่พร้อมใช้” ที่ต้องรอเงื่อนไขหรือระยะเวลาที่กำหนดถึงจะใช้สิทธิได้ ตัวอย่างง่ายๆ ในชีวิตจริง ลองนึกภาพเวลาเราไปสวนสนุกแล้วแลกเงินสดเป็นเหรียญหรือโทเคนเพื่อเอาไปเล่นเกม โทเคนพวกนั้นก็ทำหน้าที่คล้ายๆ Utility Token ครับ แค่อยู่ในโลกดิจิทัลแทน ส่วนในโลกดิจิทัลเอง Utility Token ก็มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนแอปพลิเคชันแบบกระจายอำนาจ (dApp) หรือแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น เป็นค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมบน Decentralized Exchange (DEX) หรือเป็นสิทธิในการเข้าถึงฟีเจอร์พิเศษในโลก Metaverse หรือ Web3

2. **โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน (Investment Token):** โทเคนกลุ่มนี้จะชัดเจนเลยว่าออกมาระดมทุนเพื่อการลงทุนครับ ผู้ที่ถือ Investment Token จะมีสิทธิได้รับผลตอบแทน หรือส่วนแบ่งจากรายได้ หรือการปันผลจากโครงการหรือกิจการที่ออกโทเคนนั้นๆ เหมือนเวลาเราซื้อหุ้นในบริษัท ที่เรามีสิทธิได้รับปันผลจากกำไรของบริษัทนั่นแหละครับ เพียงแต่อยู่ในรูปของสินทรัพย์ดิจิทัล นี่คือกลุ่มที่ ก.ล.ต. หรือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เข้ามาดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะมีความเกี่ยวข้องกับการระดมทุนสาธารณะและคุ้มครองผู้ลงทุนครับ โทเคนกลุ่มนี้ตามมาตรฐานสากลอาจจะเรียกใกล้เคียงว่า Security Token นั่นแหละครับ ซึ่งก็คือโทเคนที่เปรียบเสมือนหลักทรัพย์ แสดงสิทธิความเป็นเจ้าของในสินทรัพย์จริงๆ แต่อยู่ในรูปแบบดิจิทัล ทำให้การซื้อขายสินทรัพย์อย่างอสังหาริมทรัพย์บางประเภททำได้โดยไม่ต้องผ่านคนกลางที่ยุ่งยากเหมือนสมัยก่อน

แล้วทำไมเราถึงต้องมี เหรียญโทเคน ด้วยล่ะ? มันมีความสำคัญยังไง? จริงๆ แล้ว เหรียญโทเคน มีบทบาทมากกว่าแค่เป็นตัวแทนของสิทธิครับ มันเป็นเหมือนหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนระบบนิเวศ (Ecosystem) ต่างๆ ในโลกดิจิทัลให้เติบโต ยกตัวอย่างเช่น ในโลกของการเงินแบบกระจายอำนาจ หรือ DeFi (Decentralized Finance) เนี่ย โทเคนเป็นตัวกลางสำคัญในการทำธุรกรรมต่างๆ ทั้งการฝาก การกู้ยืม การแลกเปลี่ยน รวมถึงยังทำหน้าที่เป็น Governance Token ที่ให้สิทธิผู้ถือมีส่วนร่วมในการออกเสียง เสนอแนะ หรือโหวตทิศทางของโปรโตคอลหรือแพลตฟอร์มนั้นๆ ทำให้เกิดการบริหารจัดการแบบกระจายอำนาจอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ เรายังได้ยินคำว่า NFT หรือ Non-Fungible Token บ่อยๆ ใช่ไหมครับ NFT ก็ถือเป็น เหรียญโทเคน ประเภทหนึ่งเหมือนกันครับ เพียงแต่มีความพิเศษคือแต่ละโทเคนมีความเฉพาะตัว ไม่เหมือนกัน ไม่สามารถนำมาแลกเปลี่ยนแทนกันได้แบบ 1 ต่อ 1 (Non-Fungible) NFT ใช้แสดงกรรมสิทธิ์ความเป็นเจ้าของในสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่เหมือนใครได้ เช่น งานศิลปะดิจิทัล ของสะสมในเกม หรือที่ดินเสมือนใน Metaverse

กลไกการทำงานของ เหรียญโทเคน ส่วนใหญ่จะอาศัยเทคโนโลยีที่เรียกว่า สัญญาอัจฉริยะ หรือ Smart Contract ซึ่งเป็นโค้ดโปรแกรมที่อยู่บนบล็อกเชน เมื่อเงื่อนไขที่กำหนดไว้ถูกตรง สัญญานี้ก็จะทำงานโดยอัตโนมัติ ทำให้การโอน การแบ่งสิทธิ หรือการทำงานอื่นๆ ของโทเคนเป็นไปอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้ โดยไม่ต้องมีคนกลางคอยควบคุม ตัวอย่างมาตรฐานโทเคนบนเครือข่าย Ethereum ที่เราคุ้นเคยกันดีก็คือ ERC-20 ซึ่งเป็นเหมือนแม่แบบกลางที่กำหนดว่าโทเคนที่จะสร้างบน Ethereum ต้องมีคุณสมบัติพื้นฐานอะไรบ้าง เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกับแอปพลิเคชันและกระเป๋าเงินดิจิทัลต่างๆ ได้อย่างราบรื่น นอกจาก Ethereum ก็มีบล็อกเชนอื่นๆ ที่นิยมใช้สร้างโทเคนเหมือนกัน เช่น Binance Smart Chain ที่มีมาตรฐาน BEP-20 เป็นต้น

ทีนี้ มาดูตัวอย่างใกล้ๆ ตัวในประเทศไทยกันบ้างดีกว่าครับว่า เหรียญโทเคน เนี่ย ถูกนำมาใช้จริงในโครงการแบบไหนบ้าง

หนึ่งในตัวอย่าง Investment Token ที่ได้รับความสนใจมากในไทยก็คือ SiriHub Token ครับ อันนี้เป็นโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนที่อิงกับกระแสรายรับจากอสังหาริมทรัพย์ หรือที่เรียกว่า Real Estate-backed Investment Token โครงการนี้ระดมทุนไปกว่า 2.4 พันล้านบาท โดยเอาเงินที่ได้ไปลงทุนในสิทธิที่จะได้รับรายได้ค่าเช่าจากอาคารสำนักงาน “สิริ แคมปัส” ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ บมจ. แสนสิริ นั่นแหละครับ สัญญานี้มีระยะยาว 12 ปี ตอนที่ออกโทเคนก็น่าจะเหลือประมาณ 10 ปี โครงการ SiriHub Token มีอายุ 4 ปี มีผู้ออกโทเคนคือบริษัท เอ็กซ์สปริง ดิจิทัล จำกัด (XSpring Digital) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล หรือ ICO Portal ที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. การซื้อขายเปลี่ยนมือในตลาดรองก็ทำได้ที่ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างบริษัท อีอาร์เอ็กซ์ จำกัด (ERX)

SiriHub Token แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ โทเคน A และ โทเคน B โดยผู้ถือโทเคนจะมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งรายได้ค่าเช่าเป็นรายไตรมาส โทเคน A จะได้รับส่วนแบ่งรายได้ 4.5% ต่อปี ส่วนโทเคน B ได้รับ 8% ต่อปี ฟังดูน่าสนใจใช่ไหมครับ เงินลงทุนเริ่มต้นก็น้อยมาก แค่ 10 บาทเท่านั้นเอง! นอกจากนี้ผู้ถือโทเคน A ยังมีสิทธิได้รับเงินไถ่ถอนคืนก่อนผู้ถือโทเคน B ด้วย ในปีสุดท้ายของโครงการ ตอนที่เปิดให้จองซื้อช่วงปลายปี 2564 เนี่ย ก็เปิดจองผ่านแอป XSpring และได้รับความสนใจไม่น้อยเลยครับ

อีกตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจในมุมของ Utility Token ในไทยก็คือ Vana Nava Token ครับ อันนี้แตกต่างจาก SiriHub ชัดเจน เพราะไม่ใช่โทเคนเพื่อการลงทุน แต่เป็นโทเคนเพื่อการใช้ประโยชน์โดยเฉพาะเลยครับ Vana Nava Token ถูกออกแบบมาให้ใช้แลกเปลี่ยนเพื่อเล่นเกมส์ในโซน Vana Nava Games Room หรือใช้แลกอาหารและเครื่องดื่มภายในบริเวณโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ วานา นาวา หัวหิน ที่น่าสนใจคือ โทเคนนี้ไม่ได้มีขายทั่วไปนะครับ แต่จะได้มาจากการจองและเข้าพักที่โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ วานา นาวา หัวหินเท่านั้น โดยจำนวนที่ได้ก็จะขึ้นอยู่กับประเภทห้องพักที่จอง ถือเป็นการนำ Utility Token มาใช้เป็น Loyalty Program หรือเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์การเข้าพักในรูปแบบดิจิทัล

นอกจากสองตัวอย่างนี้ ในไทยก็มี Investment Token อื่นๆ ที่อิงกับสินทรัพย์หรือโครงการที่จับต้องได้เหมือนกัน เช่น RealX Token ที่อิงกับอสังหาริมทรัพย์ หรือ Destiny Token ที่อิงกับรายได้จากโครงการภาพยนตร์เรื่องบุพเพสันนิวาส ๒ ในมุมของ Utility Token ก็มีอย่าง BNK Token ที่ออกโดยบริษัท iAM หรือการประยุกต์ใช้แทน Loyalty Point อย่างสายการบิน Singapore Airline ก็เคยมีแนวคิดนำโทเคนมาใช้ในลักษณะนี้ครับ แสดงให้เห็นว่า เหรียญโทเคน เนี่ย ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในโลกการเงินแบบจ๋าๆ เท่านั้น แต่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลายอุตสาหกรรมมากๆ เลย

ถ้ามองภาพรวมของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลเนี่ย ข้อมูล ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2565 (ซึ่งเป็นช่วงที่ข้อมูลดิบนี้ถูกรวบรวมมา) แสดงให้เห็นว่าตลาดนี้มีขนาดใหญ่มาก มีการจัดอันดับสินทรัพย์ดิจิทัล 100 อันดับแรกตามมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดขนาดของสินทรัพย์นั้นๆ เลยครับ เหรียญดังๆ อย่างบิตคอยน์ (Bitcoin) หรืออีเธอเรียม (Ethereum) เนี่ย มีมูลค่าตลาดรวมกันสูงถึงหลายสิบล้านล้านบาทเลยทีเดียว ในตารางข้อมูลตลาดที่เห็นมักจะแสดงราคาปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงราคาในรอบต่างๆ มูลค่าตลาดรวม ปริมาณการซื้อขายใน 24 ชั่วโมง และจำนวนอุปทานหมุนเวียน (จำนวนเหรียญหรือโทเคนที่มีอยู่ในตลาด) ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นประโยชน์สำหรับนักลงทุนที่ต้องการติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดครับ

ในด้านนโยบายการกำกับดูแลในประเทศไทย หน่วยงานหลักที่มีบทบาทสำคัญคือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. นั่นเองครับ ก.ล.ต. มีหน้าที่กำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล (ICO Portal) ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเสนอขาย Investment Token ให้แก่ประชาชน หรือศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ที่เป็นตลาดรองให้เราสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลต่างๆ ได้เหมือนตลาดหุ้น นอกจากนี้ ก.ล.ต. ยังมีบทบาทในการอนุญาตการเสนอขาย Investment Token ให้แก่ประชาชนทั่วไปเพื่อให้มั่นใจว่าโครงการนั้นๆ มีข้อมูลครบถ้วนและโปร่งใส ส่วนอีกหน่วยงานคือ ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. ก็มีเกณฑ์กำกับดูแลสำหรับ Utility Token ที่สำคัญคือ ห้ามนำ Utility Token ไปใช้เป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการทั่วไป เหมือนเงินบาท เพื่อไม่ให้กระทบต่อเสถียรภาพของระบบการเงินครับ

ฟังดูเหมือน เหรียญโทเคน จะมีประโยชน์และโอกาสน่าสนใจมากๆ เลยใช่ไหมครับ ทั้งในมุมการลงทุนและการใช้งานจริงในรูปแบบใหม่ๆ แต่ในฐานะคอลัมนิสต์ด้านการเงิน ผมต้องย้ำเตือนเสมอว่า การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล รวมถึง เหรียญโทเคน เนี่ย มีความเสี่ยงสูงมากๆ ครับ สูงกว่าการลงทุนในสินทรัพย์แบบดั้งเดิมหลายเท่าตัว

ความเสี่ยงหลักๆ ที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจลงทุนใน เหรียญโทเคน มีอะไรบ้าง? อย่างแรกเลยคือ ความเสี่ยงที่ผลตอบแทนที่ได้รับอาจจะไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง หรือที่ผู้ออกโครงการโฆษณาไว้ เพราะผลตอบแทนมักจะขึ้นอยู่กับผลประกอบการของโครงการหรือกิจการที่โทเคนนั้นอิงอยู่ ซึ่งอาจไม่เป็นไปตามเป้า

ต่อมาคือ ความเสี่ยงจากธุรกิจของผู้ออกโทเคน ครับ ถ้าผู้ออกโครงการมีปัญหาทางธุรกิจ หรือแย่กว่านั้นคือล้มเลิกโครงการไปเลย สิทธิที่เราถือในฐานะผู้ถือโทเคนก็อาจจะไร้ค่าไปได้เลยครับ ยิ่งถ้าเป็น Investment Token ที่อิงกับธุรกิจจริงๆ เราต้องศึกษาและประเมินความน่าเชื่อถือและความมั่นคงของผู้ออกให้ดีครับ

อีกความเสี่ยงที่สำคัญมากๆ ก็คือ ความผันผวนของราคา ครับ ราคาของ เหรียญโทเคน ในตลาดรองสามารถขึ้นลงได้อย่างรุนแรงและรวดเร็วมากๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ ด้วยปัจจัยหลายอย่าง ทั้งความรู้สึกของตลาด ข่าวสาร หรือการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ต่างๆ ถ้าเราซื้อในราคาที่สูง แล้วราคาตกลงมามากๆ เราก็อาจขาดทุนอย่างหนักได้ครับ

และสุดท้ายคือ ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง แม้จะมีศูนย์ซื้อขายให้ซื้อขายเปลี่ยนมือได้ แต่บางโทเคนโดยเฉพาะโทเคนที่มีขนาดเล็กหรือเฉพาะกลุ่มมากๆ อาจมีปริมาณการซื้อขายไม่มากพอ ทำให้เราอาจจะขายโทเคนที่เราถืออยู่ไม่ได้ทันทีตามราคาที่เราต้องการ หรืออาจจะต้องขายในราคาที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นมากหากต้องการขายด่วนครับ

**⚠️ คำเตือนสำคัญ:** การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน ควรศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจความเสี่ยงให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน และลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ท่านยอมรับได้เสมอครับ ผลตอบแทนในอดีตไม่สามารถเป็นเครื่องยืนยันผลตอบแทนในอนาคตได้นะครับ อย่ามองแค่โอกาส แต่ต้องมองความเสี่ยงให้รอบด้านด้วยครับ

หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เพื่อนๆ เห็นภาพรวมและเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Coin กับ เหรียญโทเคน มากขึ้นนะครับ รวมถึงรู้ว่าเจ้า เหรียญโทเคน เนี่ยมันมีกี่ประเภท มีกลไกยังไง และถูกนำมาใช้จริงในบ้านเราแบบไหนบ้าง ที่สำคัญคือ อย่าลืมว่าโลกสินทรัพย์ดิจิทัลยังเป็นโลกที่ค่อนข้างใหม่ มีความเปลี่ยนแปลงเร็ว และมีความเสี่ยงสูง การศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบและมีสติ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดก่อนที่จะกระโดดเข้าไปลงทุนนะครับ

LEAVE A RESPONSE