คริปโตพลัส

ศูนย์รวมความรู้คริปโต เคล็ดลับลงทุน และอัปเดตราคาเหรียญแบบเรียลไทม์

สกุลเงินดิจิทัลและโทเคน

โท เค็ น ริ ง: จากดาวรุ่งสู่ดาวร่วง บทเรียนลงทุนโครงสร้างดิจิทัล

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่านที่หลงใหลในโลกของการเงินและการลงทุน แต่วันนี้ขออนุญาตพาทุกท่านออกนอกกรอบการเงินสักเล็กน้อย มาทำความเข้าใจ “โครงสร้างพื้นฐาน” ที่สำคัญไม่แพ้กันในโลกดิจิทัล นั่นก็คือ “เครือข่ายคอมพิวเตอร์” ครับ

คุณเคยสงสัยไหมว่า ทำไมเราถึงสามารถส่งรูปให้เพื่อนได้ในพริบตาเดียว? ทำไมการประชุมออนไลน์ถึงไหลลื่นราวกับนั่งอยู่ข้างกัน? เบื้องหลังความสะดวกสบายเหล่านี้ มีถนนสายข้อมูลที่ซับซ้อนแต่ทรงประสิทธิภาพวางตัวอยู่เปรียบเสมือน “โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล” ที่คอยส่งผ่านข้อมูลจำนวนมหาศาลตลอดเวลา และเช่นเดียวกับการลงทุนในหุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์ การทำความเข้าใจ “โครงสร้าง” หรือ “โทโปโลยี” (Topology) ของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กันครับ เพราะมันคือหัวใจที่จะบอกว่าระบบของคุณจะ “คล่องตัว” หรือ “สะดุด” เหมือนกับถนนที่ออกแบบมาดีหรือไม่ดีนั่นแหละครับ และในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับเทคโนโลยีหนึ่งที่เคยเป็นดั่ง “หุ้นบลูชิป” ของวงการเครือข่ายยุคก่อน นั่นก็คือ “โท เค็ น ริ ง” (Token Ring) นั่นเองครับ

**ไขรหัสโลกดิจิทัล: เครือข่ายคอมพิวเตอร์คืออะไร? ทำไมถึงสำคัญเหมือนการลงทุน?**

ลองจินตนาการถึงบ้านหลังหนึ่งที่มีคอมพิวเตอร์หลายเครื่อง เครื่องพิมพ์เพียงเครื่องเดียว แต่ทุกคนอยากใช้พร้อมกัน หรือบริษัทที่มีข้อมูลลูกค้ากระจัดกระจายอยู่ในเครื่องใครเครื่องมันคงเป็นเรื่องวุ่นวายใช่ไหมครับ? นั่นคือเหตุผลที่เราต้องมี “เครือข่ายคอมพิวเตอร์” ครับ มันคือการนำคอมพิวเตอร์ตั้งแต่สองเครื่องขึ้นไปมา “เชื่อมต่อ” กัน เพื่อให้สามารถ “แลกเปลี่ยนข้อมูล” กันได้อย่างรวดเร็ว และที่สำคัญคือ “ใช้ทรัพยากรร่วมกัน” ได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ

เหมือนกับการลงทุนที่เป้าหมายคือ “เพิ่มผลตอบแทน” และ “ลดต้นทุนโดยรวม” การสร้างเครือข่ายก็มีวัตถุประสงค์คล้ายกันครับ คือการเพิ่มขีดความสามารถของระบบทั้งหมด ลดต้นทุนในการจัดซื้ออุปกรณ์ซ้ำซ้อน และที่สำคัญคือส่งเสริมให้ “การทำงานร่วมกันเป็นทีม” เกิดขึ้นได้อย่างราบรื่น ไม่ว่าจะเป็นการแชร์ไฟล์เอกสาร การพิมพ์งาน หรือแม้แต่การเข้าถึงฐานข้อมูลเดียวกันครับ ลองคิดดูว่าถ้าองค์กรในปัจจุบันไม่มีระบบเครือข่าย แลน (LAN) ที่ดี คงไม่สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพเหมือนทุกวันนี้ได้อย่างแน่นอนครับ ระบบเครือข่ายจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินงานของทั้งภาครัฐและเอกชน ช่วยยกระดับการทำงานให้ดีขึ้นในทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ อุตสาหกรรม การศึกษา สาธารณสุข หรือแม้แต่การเงินก็ตาม

**LAN: “ถนนส่วนบุคคล” ในโลกเครือข่ายของคุณ**

เมื่อพูดถึงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ สิ่งแรกที่เรามักนึกถึงก็คือ “เครือข่ายแลน” (Local Area Network – โลคอลแอเรียเน็ตเวิร์ก) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “แลน” นั่นเองครับ เปรียบง่าย ๆ มันคือ “ถนนส่วนบุคคล” ที่จำกัดขนาดและระยะทาง ไม่เกิน 92 เมตร หากใช้อุปกรณ์ทวนสัญญาณไม่เกิน 4 ตัว ถูกสร้างขึ้นภายในบริเวณใกล้เคียงกัน เช่น ภายในแผนกเดียว สำนักงานเดียว หรืออาคารเดียวกัน เหมือนกับถนนในหมู่บ้านจัดสรรที่เราอาศัยอยู่ครับ วัตถุประสงค์หลักของแลนก็คือ การแลกเปลี่ยนข้อมูล และการใช้ทรัพยากรร่วมกันภายในพื้นที่จำกัดนั้น ๆ

แล้วแลนประกอบด้วยอะไรบ้างล่ะ? ก็เหมือนกับถนนที่มีทั้งพื้นผิวถนน ป้ายบอกทาง และไฟจราจรนั่นแหละครับ แลนก็ประกอบด้วยทั้ง “ฮาร์ดแวร์” (Hardware) เช่น คอมพิวเตอร์ สายสัญญาณ และ “ซอฟต์แวร์” (Software) สำหรับควบคุมการทำงาน และเพื่อความเข้ากันได้ของอุปกรณ์จากผู้ผลิตที่หลากหลาย สถาบันไออีอีอี (IEEE) ได้กำหนด “มาตรฐานกลาง” โดยโครงการไออีอีอี 802 (IEEE 802) ขึ้นมา เพื่อให้อุปกรณ์ต่างยี่ห้อกันสามารถ “พูดคุย” และทำงานร่วมกันได้ เหมือนกับการที่รถทุกยี่ห้อในโลกนี้ต้องขับบนถนนเส้นเดียวกันได้นั่นเองครับ แลนเองก็มี “รูปแบบการใช้งาน” ที่แตกต่างกัน เช่น แบบ “ไคลเอนต์เซิร์ฟเวอร์” (Client-Server) ที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย (Server) คอยให้บริการ หรือแบบ “เพียร์ทูเพียร์” (Peer-to-Peer) ที่ทุกเครื่องมีสถานะเท่าเทียมกัน เหมือนการจัดสรรทรัพยากรแบบรวมศูนย์หรือแบบกระจายอำนาจในการลงทุนนั่นแหละครับ

**โทโปโลยีเครือข่าย: การจัดพอร์ตลงทุน “ถนนข้อมูล” ของคุณ**

ถ้าแลนคือถนนส่วนบุคคลแล้ว “โทโปโลยีเครือข่าย” (Network Topology) ก็คือ “รูปแบบการออกแบบ” หรือ “ผังการจัดวาง” ถนนเหล่านั้นครับ มันคือแผนผังว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แต่ละชิ้นจะ “เชื่อมต่อ” และ “รับส่งข้อมูล” กันอย่างไร รูปแบบการเชื่อมต่อนี้ส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพ ความน่าเชื่อถือ และความง่ายในการดูแลรักษาเครือข่าย เหมือนกับการออกแบบผังเมืองที่มีผลต่อการจราจรและการพัฒนาเมืองในระยะยาวเลยทีเดียว

โทโปโลยีหลัก ๆ แบ่งได้เป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือ “แบบจุดต่อจุด” (Point to Point) ที่อุปกรณ์แต่ละคู่มีเส้นทางเชื่อมต่อเฉพาะของตัวเอง ซึ่งค่อนข้างจำกัดการทำงาน และ “แบบหลายจุด” (Multipoint) ที่อุปกรณ์หลายเครื่องใช้ช่องทางการสื่อสารร่วมกัน ซึ่งเป็นรูปแบบที่นิยมและพบเห็นได้บ่อยกว่าครับ โดยเฉพาะในรูปแบบที่เรียกว่า “รูปทรงเรขาคณิต” ที่คุ้นตาเรากันดี:

* **โทโปโลยีแบบดาว (สตาร์ โทโปโลยี – Star Topology):**
ลองนึกภาพ “ฮับ” (Hub) หรือ “สวิตช์” (Switch) เป็นเหมือน “ศูนย์กลางการจราจร” หรือ “สี่แยกใหญ่” ที่รถทุกคันต้องวิ่งผ่านครับ ในรูปแบบนี้ คอมพิวเตอร์หรือเครื่องจักรทุกเครื่องจะ “เชื่อมต่อตรง” เข้ามาที่ฮับเป็นจุดศูนย์กลางข้อดีคือ การ “ขยายเครือข่าย” ทำได้ง่ายมากครับ เหมือนกับการเพิ่มถนนมายังสี่แยกกลาง และถ้ามี “จุดเดียวมีปัญหา” เช่น สายขาดในเครื่องใดเครื่องหนึ่ง ก็จะไม่กระทบกับเครื่องอื่น ๆ ในระบบทั้งหมด ทำให้ “ตรวจสอบและแก้ไขปัญหา” ได้ง่ายกว่ามากครับ แต่ข้อเสียก็คือ คุณต้องใช้ “สายสัญญาณจำนวนมาก” ในการเชื่อมต่อแต่ละเครื่องเข้ากับฮับ และถ้าหาก “ฮับมีปัญหา” ขึ้นมาเมื่อไหร่ นั่นหมายถึงข้อมูลทั้งหมดจะ “หยุดไหล” ทันทีครับ และค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งก็ค่อนข้างสูงด้วย เครือข่ายแบบนี้เหมาะกับระบบที่ไม่ใหญ่มาก เช่น ซีซี-ลิงก์ ไออี ฟิลด์ เบสิก (CC-Link IE Field Basic) ที่นิยมใช้ในระดับการดำเนินการผลิตที่ต้องการความน่าเชื่อถือ

* **โทโปโลยีแบบเส้นตรง/บัส (ไลน์ โทโปโลยี/บัส โทโปโลยี – Line Topology/Bus Topology):**
อันนี้เหมือนกับการสร้าง “ถนนหลักเส้นเดียว” ที่ยาวไปตลอดสาย แล้วอาคารหรือบ้านเรือนต่าง ๆ ก็มา “เชื่อมต่อ” เข้ากับถนนหลักเส้นนี้ครับ ในเครือข่ายแบบบัส คอมพิวเตอร์หรือเครื่องจักรจะ “เชื่อมต่อเข้ากับสายสื่อสารหลักเพียงสายเดียว” ที่เรียกว่า “แบ็กโบน” (Backbone) หรือ “บัส” (Bus) ข้อมูลจะถูกส่งผ่านสายหลักนี้ทีละเครื่อง ข้อดีคือ “ระบบง่าย” มาก และที่สำคัญคือ “ประหยัดสายสัญญาณ” ได้มากเลยครับ และ “ขยายกำลังการผลิต” หรือเพิ่มเครื่องเข้ามาในระบบก็ทำได้ง่าย แค่ต่อพ่วงเข้าไปในสายหลักก็จบครับ แต่ข้อเสียคือ “หาจุดปัญหาได้ยาก” มากครับ หากเกิดปัญหากับสายหลักเพียงจุดเดียว ข้อมูลจะ “ส่งผลกระทบทั้งเครือข่าย” และประสิทธิภาพก็จะ “ลดลง” อย่างมาก เมื่อมีการส่งข้อมูลจำนวนมากในเวลาเดียวกัน เหมือนถนนที่รถติดขัดนั่นแหละครับ เครือข่ายแบบนี้เหมาะกับไลน์การผลิตที่มีความต่อเนื่องและต้องการความเร็วสูงระดับกิกะบิต (Gigabit) อย่างเช่น ซีซี-ลิงก์ ไออี ฟิลด์ (CC-Link IE Field)

**จาก “บลูชิป” สู่ “อดีตดาวเด่น”: เรื่องราวของ โท เค็ น ริ ง (Token Ring)**

มาถึง “พระเอก” หรือจะเรียกว่า “อดีตพระเอก” ของเรื่องราวในวันนี้ครับ นั่นคือ “โท เค็ น ริ ง” (Token Ring) หากเปรียบในตลาดหุ้น ก็เหมือนกับหุ้นบลูชิปตัวหนึ่งที่เคยโดดเด่นและเป็นที่ต้องการอย่างมากในช่วงปี 1980s ครับ โท เค็ น ริ ง เป็นเครือข่ายแบบ “วงแหวน” ที่พัฒนาโดยบริษัท “ไอบีเอ็ม” (IBM) และมี “มาตรฐาน” กำหนดโดย “ไออีอีอี 802.5” (IEEE 802.5) ที่ทำให้มันมีความน่าเชื่อถือสูงในยุคนั้น

จุดเด่นที่ไม่เหมือนใครของ โท เค็ น ริ ง คือมันใช้การควบคุมการส่งข้อมูลแบบ “โทเคน-พาซิง” (Token-Passing) ครับ ลองนึกภาพการส่งข้อความต่อ ๆ กันไปเป็นวงกลม โดยมี “โทเคน” หรือ “บัตรผ่าน” เพียงใบเดียวลอยวนอยู่ในวงแหวน ใครที่ “ครอบครองโทเคน” นี้อยู่เท่านั้น ถึงจะมีสิทธิ์ “ส่งข้อมูล” ได้ครับ เมื่อผู้ส่งต้องการส่งข้อมูล ก็จะ “ทำเครื่องหมาย” โทเคนว่า “ไม่ว่าง” แล้วแนบข้อมูลส่งต่อไปยังผู้รับ เมื่อผู้รับได้รับข้อมูลแล้ว ก็จะ “ยืนยัน” การรับ และโทเคนก็จะ “กลับสู่ผู้ส่ง” จากนั้นผู้ส่งก็จะ “ลบข้อมูล” ที่ส่งไปแล้วออกจากระบบ และ “ปล่อยโทเคน” กลับคืนสู่สถานะ “ว่าง” เพื่อให้เครื่องอื่นใช้งานต่อไปได้ วงจรนี้ทำให้ “ไม่มีการชนกันของข้อมูล” (Collision) เลย ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากเครือข่ายอีเทอร์เน็ต (Ethernet) ที่อาจมีการชนกันของข้อมูลได้ และต้องใช้วิธีตรวจจับและแก้ไข

แม้ โท เค็ น ริ ง จะมีโครงสร้างทาง “กายภาพ” ที่อาจจะดูเหมือน “แบบสตาร์” (Star) เพราะเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่เรียกว่า “เอ็มเออยู่” (MAU – Multistation Access Unit) แต่ในทาง “ตรรกะ” หรือการทำงานของมันยังคงเป็น “วงแหวน” อยู่ดีครับ ความเร็วเริ่มต้นของ โท เค็ น ริ ง อยู่ที่ 4 เมกะบิตต่อวินาที (Megabit per second) และได้พัฒนาเป็น 16 เมกะบิตต่อวินาที ซึ่งถือว่าเร็วมากในยุคนั้น โทเคนที่ใช้ในการส่งข้อมูลมีขนาด 3 ไบต์ (Byte) ตามมาตรฐานไออีอีอี 802.5 และไอบีเอ็มกำหนด

สิ่งที่ทำให้ โท เค็ น ริ ง น่าสนใจอีกอย่างคือคุณสมบัติ “ฟอลต์-โทเลอเรนต์” (Fault-Tolerant) หรือ “ความทนทานต่อความผิดพลาด” ครับ มันสามารถ “ตรวจจับ” และ “แยกจุดที่มีปัญหา” ออกจากเครือข่ายได้ เช่น การใช้คอมพิวเตอร์ทำหน้าที่ “มอนิเตอร์” โทเคน หรือกระบวนการที่เรียกว่า “บีคอนนิง” (Beaconing) เพื่อส่งสัญญาณตรวจจับข้อผิดพลาดและปิดกั้นจุดที่มีปัญหาไปโดยอัตโนมัติ กล่าวกันว่าบุคคลสำคัญอย่าง Werner Bux และ Hans Müller จากห้องปฏิบัติการวิจัยไอบีเอ็ม ซูริก (IBM Zurich Research Laboratory) มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีนี้ในช่วงทศวรรษที่ 1980s ครับ

แต่เหมือนกับหุ้นบลูชิปที่ต้องเจอคู่แข่งหรือเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เข้ามาแทนที่ โท เค็ น ริ ง ก็ประสบชะตากรรมเดียวกันครับ แม้จะมีข้อดีเรื่องการไม่มีข้อมูลชนกัน แต่ด้วยความซับซ้อนในการติดตั้ง ค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า และความยืดหยุ่นในการขยายน้อยกว่า ทำให้ “อีเทอร์เน็ต” (Ethernet) ที่พัฒนาไปสู่ความเร็วที่สูงกว่าและมีต้นทุนที่ถูกกว่า เข้ามาเป็นที่นิยมและแทนที่ โท เค็ น ริ ง ในที่สุด ปัจจุบัน โท เค็ น ริ ง จึงกลายเป็นเทคโนโลยีที่ “กำลังล้าสมัย” และ “ใช้น้อยลง” มากแล้วครับ

นอกจาก โท เค็ น ริ ง แล้ว ยังมีอีกเทคโนโลยีที่น่าสนใจคือ “โทเค็นบัส” (Token Bus) ครับ ซึ่งเป็นเครือข่ายแลนตามมาตรฐานไออีอีอี 802.4 ที่ใช้สายโคแอคเซียล (Coaxial Cable) เป็นตัวกลางในการส่งข้อมูล มีความเร็ว 1, 5, หรือ 10 เมกะบิตต่อวินาที และใช้โทโปโลยีแบบ “บัส” ร่วมกับการส่งผ่านโทเคน โดยแต่ละสถานีจะทราบที่อยู่ของสถานีข้างเคียง คล้ายกับการส่งบัตรผ่านในเส้นทางเดียว เพื่อควบคุมไม่ให้มีการชนกันของข้อมูลเช่นกัน

**บทสรุป: การลงทุนในโครงสร้างดิจิทัลที่ต้องมองไปข้างหน้า**

จากเรื่องราวของ โท เค็ น ริ ง ที่เคยเป็นเทคโนโลยีล้ำหน้าในอดีต แต่ปัจจุบันกลับถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีที่ใหม่กว่า เราเรียนรู้อะไรได้บ้างครับ? สำหรับองค์กรหรือแม้แต่การสร้างเครือข่ายในบ้าน การเลือกใช้เทคโนโลยีเครือข่ายเปรียบเสมือน “การลงทุน” ในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลครับ เราต้องพิจารณาให้รอบด้าน ไม่ใช่แค่ดูที่ราคาเริ่มต้น แต่ต้องมองถึง:

1. **ความเหมาะสมกับความต้องการ:** เครือข่ายของคุณต้องรองรับผู้ใช้กี่คน? ต้องการความเร็วเท่าไหร่? ลักษณะการใช้งานเป็นอย่างไร?
2. **ต้นทุนรวมในระยะยาว:** ไม่ใช่แค่ค่าอุปกรณ์ แต่รวมถึงค่าติดตั้ง ค่าบำรุงรักษา และค่าใช้จ่ายในการอัปเกรดในอนาคตด้วยครับ
3. **ความสามารถในการขยายตัว:** เทคโนโลยีที่เลือกจะสามารถรองรับการเติบโตในอนาคตได้หรือไม่?
4. **ความน่าเชื่อถือและการจัดการความเสี่ยง:** เทคโนโลยีมีคุณสมบัติในการป้องกันความผิดพลาดและการกู้คืนระบบที่ดีเพียงใด?

⚠️ **ข้อควรระวัง:** การเลือกใช้ “เทคโนโลยีเก่า” แม้จะดูประหยัดในบางกรณี แต่ก็อาจนำมาซึ่ง “ความเสี่ยง” ด้าน “ต้นทุนการบำรุงรักษาที่สูง” เนื่องจากอะไหล่หรือผู้เชี่ยวชาญหายาก หรือ “ปัญหาความเข้ากันได้” กับอุปกรณ์หรือซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคตครับ

ในขณะเดียวกัน การ “เร่งรัดลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด” โดยไม่ประเมินความจำเป็นอย่างรอบคอบ ก็อาจนำไปสู่ “การลงทุนที่มากเกินไป” หรือเผชิญกับ “ความไม่เสถียร” ของเทคโนโลยีที่ยังไม่แพร่หลายได้เช่นกันครับ

ดังนั้น ในฐานะที่เราเป็นนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในหุ้น อสังหาริมทรัพย์ หรือแม้แต่โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลอย่างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ก็ตาม การ “ทำความเข้าใจ” แก่นแท้ของสิ่งที่เรากำลังลงทุน “ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ” และ “ประเมินสถานการณ์” ของตนเองอย่างรอบด้าน คือกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ “การตัดสินใจที่คุ้มค่าและยั่งยืน” ที่สุดครับ ขอให้ทุกท่านสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพเพื่อรองรับทุกโอกาสในโลกดิจิทัลครับ!

LEAVE A RESPONSE