สวัสดีครับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ นักอ่านทุกท่าน วันนี้เรามาคุยกันเรื่องที่กำลังฮิตติดลมบนในโลกการเงินยุคใหม่กันดีกว่าครับ นั่นก็คือเรื่องของ “คริปโตเคอร์เรนซี” (Cryptocurrency) นั่นเอง แต่เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่งทำหน้าเบื่อ เพราะวันนี้เราไม่ได้จะมาพูดถึงบิตคอยน์ (Bitcoin) หรืออีเธอเรียม (Ethereum) ที่คุ้นหูกันอยู่แล้ว แต่เราจะพาทุกท่านไปรู้จักกับโปรเจกต์สุดเจ๋งที่น่าจับตามอง แถมยังเป็นฝีมือคนไทยแท้ๆ อย่าง “Alpha Finance Lab” (อัลฟา ไฟแนนซ์ แล็บ) และเหรียญประจำตัวของเขาอย่าง เหรียญ alphaครับ!

เพื่อนผมคนนึงชื่อเอก เพิ่งทักมาเมื่อวันก่อน “เฮ้ยแกรู้จัก เหรียญ alpha ป่าววะ เห็นเขาว่าเป็นของคนไทยทำ เก่งจังวะ น่าสนไหม?” คำถามของเอกนี่จุดประกายเลยครับ เพราะผมเชื่อว่าหลายคนก็คงสงสัยเหมือนกันว่าไอ้เจ้า Alpha Finance Lab เนี่ยมันคืออะไรกันแน่ แล้ว เหรียญ alpha ที่ว่าเนี่ย มันทำอะไรได้บ้าง มันจะมาเปลี่ยนโลกการเงินเหมือนที่เขาว่ากันจริงหรือเปล่า วันนี้เราจะมาค่อยๆ แกะกล่องทำความรู้จักไปพร้อมๆ กันแบบเข้าใจง่าย สไตล์คนคุยกัน ไม่ต้องปีนกระไดฟังศัพท์ยากๆ ครับ
ก่อนอื่นเลย ต้องขอปูพื้นฐานกันนิดหน่อยสำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับคำว่า “DeFi” (ดีไฟ) ที่มักจะได้ยินคู่กับโปรเจกต์แบบนี้ DeFi ย่อมาจาก Decentralized Finance แปลเป็นไทยง่ายๆ ก็คือ “การเงินแบบกระจายอำนาจ” ลองนึกภาพโลกการเงินที่เราคุ้นเคย ทุกอย่างต้องผ่านตัวกลางใช่มั้ยครับ? จะโอนเงิน กู้เงิน ลงทุน ก็ต้องมีธนาคาร มีสถาบันการเงินคอยจัดการ แต่ DeFi เนี่ย เขาพยายามจะตัดตัวกลางเหล่านี้ออกไป โดยใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า “บล็อกเชน” (Blockchain) และ “สัญญาอัจฉริยะ” (Smart Contract) เข้ามาทำงานแทน เหมือนมีระบบอัตโนมัติที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ ทำงานตามเงื่อนไขเป๊ะๆ โดยไม่ต้องพึ่งพาใครคนใดคนหนึ่ง นี่แหละครับคือคอนเซ็ปต์หลักของ DeFi
ทีนี้ Alpha Finance Lab ก็คือหนึ่งในผู้เล่นคนสำคัญในสนาม DeFi นี่แหละครับ แต่ที่พิเศษคือ เขาเป็นแพลตฟอร์ม DeFi แบบ “Cross-chain” (ครอสเชน) คือไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่แค่บนบล็อกเชนเดียว แต่ทำงานได้ทั้งบน Ethereum (อีเธอเรียม) และ Binance Smart Chain (ไบแนนซ์ สมาร์ทเชน) ซึ่งเป็นสองเครือข่ายยอดนิยมในโลกคริปโตฯ เหมือนกับว่าเขาสร้างสะพานเชื่อมให้คนจากสองฝั่งแม่น้ำมาใช้บริการร่วมกันได้นั่นเอง เป้าหมายหลักของ Alpha Finance Lab คือการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ DeFi ที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานอย่างเราๆ เนี่ย สามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลได้มากขึ้น และในขณะเดียวกันก็พยายามหาวิธีลดความเสี่ยงลงด้วย ฟังดูดีใช่ไหมล่ะครับ? ที่สำคัญคือ โปรเจกต์นี้พัฒนาโดยทีมงานคนไทยล้วนๆ นี่แหละที่ทำให้มันน่าสนใจและน่าภูมิใจเป็นพิเศษ
แล้ว Alpha Finance Lab เขามี “สินค้า” หรือบริการอะไรเด็ดๆ บ้างล่ะ? ต้องบอกว่าเขามีหลายตัวที่น่าสนใจเลยครับ เหมือนเปิดซูเปอร์มาร์เก็ต DeFi ขนาดย่อมๆ เลยก็ว่าได้ ตัวแรกที่ต้องพูดถึงคือ “Alpha Lending” (อัลฟา เลนดิ้ง) อันนี้เข้าใจง่ายครับ เหมือนแพลตฟอร์มให้กู้ยืมเงินนี่แหละ แต่เปลี่ยนจากเงินบาทเป็นเหรียญคริปโตฯ แทน คนที่มีเหรียญเหลือๆ อยากได้ดอกเบี้ย ก็เอามาฝากไว้ในระบบ (เป็นผู้ปล่อยกู้) ส่วนคนที่ต้องการใช้เหรียญ แต่ไม่อยากขายเหรียญที่ตัวเองถืออยู่ ก็สามารถเอาเหรียญอื่นมาค้ำประกันแล้วกู้เหรียญที่ต้องการออกไปได้ โดยมี Smart Contract คอยจัดการเรื่องดอกเบี้ยและหลักประกันให้โดยอัตโนมัติ

แต่ตัวที่สร้างชื่อเสียงให้ Alpha Finance Lab จริงๆ ต้องยกให้ “Alpha Homora” (อัลฟา โฮโมรา) ครับ ตัวนี้ถือเป็นผู้บุกเบิกแพลตฟอร์ม “Yield Farming” (ยิลด์ฟาร์มมิ่ง) แบบมี “Leverage” (เลเวอเรจ) รายแรกๆ ของวงการเลยก็ว่าได้ เอ๊ะ! ศัพท์ใหม่มาอีกแล้ว ใจเย็นๆ ครับ Yield Farming ถ้าแปลตรงตัวก็คือ “การทำฟาร์มผลตอบแทน” ในโลก DeFi มันหมายถึงการที่เรานำสินทรัพย์ดิจิทัลของเราไปฝากไว้ในแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อให้ระบบนำไปใช้ประโยชน์ เช่น เพิ่มสภาพคล่องในการแลกเปลี่ยนเหรียญ แล้วเราก็จะได้รับผลตอบแทนกลับมาในรูปของค่าธรรมเนียมหรือเหรียญของแพลตฟอร์มนั้นๆ คล้ายๆ การฝากเงินกินดอกเบี้ย แต่ผลตอบแทนมักจะสูงกว่า (และความเสี่ยงก็สูงกว่าด้วยนะ!)
ส่วนคำว่า Leverage ก็คือการ “งัด” หรือการใช้ “พลังทวี” ในทางการเงิน หมายถึงการที่เรายืมเงินหรือสินทรัพย์มาลงทุนเพิ่ม เพื่อหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้น เหมือนเรามีเงินทุนอยู่ 100 บาท แต่อยากลงทุน 300 บาท ก็ไปยืมมาอีก 200 บาท ถ้าการลงทุนกำไร 10% เราจะได้กำไรจากเงิน 300 บาท (คือ 30 บาท) แทนที่จะได้แค่ 10 บาทจากเงินทุน 100 บาทของเรา แต่! เหรียญมีสองด้านเสมอ ถ้าขาดทุน 10% เราก็จะขาดทุนจากยอด 300 บาท (คือ 30 บาท) ซึ่งหนักกว่าขาดทุนแค่ 10 บาทจากเงินทุนเดิม ดังนั้น Alpha Homora ก็คือเครื่องมือที่ช่วยให้เราทำ Yield Farming ได้ผลตอบแทนสูงขึ้น โดยการเปิดโอกาสให้เรากู้ยืมเหรียญมาเพิ่มพลังในการฟาร์มได้นั่นเองครับ แน่นอนว่ามันมาพร้อมความเสี่ยงที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน หลังจากนั้น เขาก็พัฒนา “Alpha Homora V2” (อัลฟา โฮโมรา วีทู) ที่มีความสามารถซับซ้อนมากขึ้นไปอีก เช่น สามารถยืมเหรียญจากแพลตฟอร์มกู้ยืมอื่นๆ ที่เชื่อมต่อกันได้ด้วย
นอกจากนี้ ในแผนงานเดิม (ข้อมูลอาจจะเก่าหน่อยนะครับ ประมาณปี 2021) เขายังมีแผนจะเปิดตัว “AlphaX” (อัลฟาเอ็กซ์) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับซื้อขายตราสารอนุพันธ์ประเภท Perpetual Swap (เพอร์เพทชวล สวอป) ซึ่งเป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ไม่มีวันหมดอายุ แต่ตรงนี้อาจจะต้องเช็คข้อมูลอัปเดตอีกทีนะครับว่าสถานะปัจจุบันเป็นอย่างไร เพราะโลกเทคโนโลยีมันหมุนเร็วเหลือเกิน
ทีนี้ มาถึงคำถามสำคัญ “แล้วใครล่ะคือผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้?” ต้องบอกว่าทีมผู้สร้าง Alpha Finance Lab นี่โปรไฟล์ไม่ธรรมดาเลยครับ นำทีมโดยคนไทยเก่งๆ สองท่านคือ คุณทชา ปัญญาเนรมิตดี รับตำแหน่ง Project Leader (หัวหน้าโครงการ) ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็นถึงอดีตหัวหน้าทีมกลยุทธ์ของ Band Protocol (แบนด์ โพรโทคอล) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโปรเจกต์บล็อกเชนชื่อดังของไทย และยังมีประสบการณ์โชกโชนในแวดวงการเงินมาก่อนด้วย อีกท่านคือ คุณนิปุณ ปิติมานะอารี รับตำแหน่ง Lead Engineer and Blockchain Researcher (หัวหน้าทีมวิศวกรและนักวิจัยบล็อกเชน) ดีกรีไม่ธรรมดา จบจาก MIT (เอ็มไอที) หรือ Massachusetts Institute of Technology (สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์) มหาวิทยาลัยด้านเทคโนโลยีอันดับต้นๆ ของโลก แถมยังเป็นอัจฉริยะทางคณิตศาสตร์ การันตีด้วยการคว้าเหรียญทองจากการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ (IMO) ถึง 4 ปีซ้อน! แค่เห็นโปรไฟล์ทีมงานก็ต้องร้องว้าวแล้วใช่ไหมครับ นี่แหละคือข้อพิสูจน์ว่าคนไทยก็มีศักยภาพในการสร้างสรรค์นวัตกรรมระดับโลกได้ไม่แพ้ชาติใด
เอาล่ะครับ รู้จักแพลตฟอร์มกับทีมงานไปแล้ว ก็มาถึงพระเอกของเราอย่าง เหรียญ alpha กันบ้าง เจ้าเหรียญนี้มันมีความสำคัญยังไง? ทำไมคนถึงให้ความสนใจ? เหรียญ alpha ถือเป็นหัวใจหลักของระบบนิเวศ Alpha Finance Lab เลยก็ว่าได้ครับ มันมีบทบาทสำคัญสองอย่างหลักๆ คือ เป็นทั้ง “Utility Token” (โทเคนยูทิลิตี้) และ “Governance Token” (โทเคนกำกับดูแล)
Utility Token หมายความว่า เหรียญนี้มีประโยชน์ใช้สอยจริงในแพลตฟอร์ม เช่น เราสามารถนำ เหรียญ alpha ไป “Stake” (สเตก) หรือคือการล็อคเหรียญไว้ในระบบ เพื่อช่วยยืนยันธุรกรรม หรืออาจจะนำไปใช้ในการปล่อยกู้ภายในแพลตฟอร์ม Alpha Lending ได้ ซึ่งการ Stake นี้ เราก็จะได้รับผลตอบแทนเป็น เหรียญ alpha เพิ่มเติมกลับมา คล้ายๆ การฝากประจำกินดอกเบี้ยนั่นแหละครับ นอกจากนี้ เหรียญ alpha ยังสามารถใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน หรือใช้เป็นสินทรัพย์ค้ำประกันในการกู้ยืมบนแพลตฟอร์มได้อีกด้วย
ส่วนบทบาท Governance Token ก็คือการที่ผู้ถือ เหรียญ alpha จะมีสิทธิ์มีเสียงในการกำหนดทิศทางการพัฒนาของแพลตฟอร์ม เหมือนเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทนั่นแหละครับ ใครมีเหรียญเยอะ ก็มีสิทธิ์โหวตเยอะ โดยผู้ถือเหรียญสามารถร่วมกันเสนอและลงคะแนนในข้อเสนอต่างๆ (Proposal) ที่เกี่ยวกับการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง หรือพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ ของ Alpha Finance Lab ได้ นี่คือหลักการสำคัญของความเป็น “Decentralized” (กระจายอำนาจ) ที่ให้ชุมชนผู้ใช้งานเป็นผู้ร่วมตัดสินใจนั่นเองครับ ดังนั้น เหรียญ alpha จึงไม่ใช่แค่เหรียญเก็งกำไรธรรมดา แต่มันคือ “กุญแจ” ที่ทำให้ผู้ถือได้เป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตและกำหนดอนาคตของแพลตฟอร์ม

แล้วถ้ามองในมุมของนักลงทุนล่ะ? เหรียญ alpha เคยสร้างปรากฏการณ์อะไรไว้บ้าง? ต้องบอกว่าข้อมูลตรงนี้อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลานะครับ เพราะตลาดคริปโตฯ มีความผันผวนสูงมาก แต่ถ้าลองย้อนกลับไปดูข้อมูลเก่าๆ เพื่อเป็นกรณีศึกษา (ย้ำว่าข้อมูลอาจไม่อัปเดต โปรดตรวจสอบข้อมูลล่าสุดจากแหล่งที่น่าเชื่อถือเสมอ เช่น Coinmarketcap (คอยน์มาร์เก็ตแคป)) ณ เดือนเมษายน ปี 2021 เหรียญ alpha เคยมีมูลค่าตลาดรวม (Market Capitalization) อยู่ในอันดับที่ 152 ของโลก คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 10,819 ล้านบาท ถือว่าไม่น้อยเลยทีเดียว และเคยทำราคาสูงสุด (All-Time High) ได้ที่ประมาณ 2.92 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2021 ส่วนข้อมูลที่ใหม่ขึ้นมาหน่อย ณ วันที่ 4 เมษายน 2023 พบว่ามีอุปทานหมุนเวียน (Circulating Supply) อยู่ที่ประมาณ 774 ล้านเหรียญ จากอุปทานสูงสุด (Max Supply) ที่จำกัดไว้ที่ 1,000 ล้านเหรียญ และมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ราวๆ 86.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตัวเลขเหล่านี้เป็นเพียงภาพในอดีตนะครับ ปัจจุบันราคาและอันดับอาจเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว การยกมาก็เพื่อให้เห็นภาพว่า เหรียญ alpha เคยได้รับความสนใจและมีมูลค่าในตลาดคริปโตฯ อย่างมีนัยสำคัญ
แต่เรื่องราวยังไม่จบแค่นั้นครับ! ในปี 2022 Alpha Finance Lab ได้ประกาศการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ คือการ “รีแบรนด์” (Rebrand) เปลี่ยนชื่อและปรับวิสัยทัศน์ใหม่เป็น “Alpha Venture DAO” (อัลฟา เวนเจอร์ ดาว) คำว่า DAO ย่อมาจาก Decentralized Autonomous Organization แปลว่า องค์กรอัตโนมัติแบบกระจายศูนย์ ซึ่งสอดคล้องกับหลักการ DeFi ที่กล่าวไปตอนต้น การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของทีมงาน เพื่อมุ่งเน้นไปที่อนาคตของอินเทอร์เน็ตยุคถัดไป ที่เรียกว่า “Web3.0” (เว็บสามจุดศูนย์)
แล้ว Web3.0 มันคืออะไร? พูดง่ายๆ คือเป็นวิวัฒนาการของอินเทอร์เน็ตที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ให้มีความกระจายอำนาจมากขึ้น ผู้ใช้งานมีความเป็นเจ้าของข้อมูลและเนื้อหาของตัวเองมากขึ้น โดยมีเทคโนโลยีบล็อกเชนและคริปโตเคอร์เรนซีเป็นพื้นฐานสำคัญ Alpha Venture DAO จึงไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่แค่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ DeFi ของตัวเองเท่านั้น แต่ขยายบทบาทไปสู่การเป็น “ผู้สร้างและบ่มเพาะ” (Incubator) โปรเจกต์ Web3.0 อื่นๆ ด้วย โดยเปิดโอกาสให้ชุมชนผู้ถือ เหรียญ alpha และผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเข้ามาร่วมกันสร้างสรรค์ สนับสนุน และลงทุนในนวัตกรรม Web3.0 ใหม่ๆ เปรียบเสมือนการสร้างระบบนิเวศขนาดใหญ่ขึ้น ที่ไม่ได้มีแค่ต้นไม้ของ Alpha เอง แต่ยังช่วยให้ต้นไม้อื่นๆ เติบโตไปด้วยกัน ซึ่งแน่นอนว่าการขยายตัวของระบบนิเวศนี้ ก็อาจส่งผลดีต่อ เหรียญ alpha ในระยะยาวได้เช่นกัน เพราะมันคือหัวใจที่ขับเคลื่อน DAO นี้นั่นเอง
มาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะเริ่มตาลุกวาว รู้สึกว่า เหรียญ alpha และ Alpha Venture DAO นี่มันน่าสนใจจริงๆ แต่เดี๋ยวก่อนครับ! อย่างที่เกริ่นไป โลกของการลงทุนคริปโตเคอร์เรนซีมีความเสี่ยงสูงและผันผวนมาก การที่โปรเจกต์มีพื้นฐานดี มีทีมงานเก่ง มีวิสัยทัศน์น่าสนใจ ไม่ได้การันตีว่าราคาเหรียญจะขึ้นเสมอไปนะครับ มันมีปัจจัยภายนอกอีกมากมายที่ส่งผลกระทบ ทั้งสภาวะตลาดโดยรวม ข่าวสารต่างๆ กฎระเบียบข้อบังคับ หรือแม้แต่คู่แข่งที่เกิดขึ้นใหม่ตลอดเวลา
ดังนั้น หากเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ อ่านมาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกสนใจ อยากจะลองศึกษาหรือลงทุนใน เหรียญ alpha หรือสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ ผมมีคำแนะนำจากใจจริงในฐานะเพื่อนร่วมวงการ (ถึงแม้จะเป็นแค่คอลัมนิสต์ ไม่ใช่กูรูชี้ทางรวยนะครับ ฮ่าๆ) ดังนี้ครับ
1. **ศึกษาข้อมูลให้ถ่องแท้ (Do Your Own Research – DYOR):** อย่าเชื่อแค่สิ่งที่ผมเล่า หรือสิ่งที่เพื่อนบอก หรือสิ่งที่เห็นตามโซเชียลมีเดีย ลองเข้าไปอ่าน Whitepaper (เอกสารข้อมูลโครงการ) ของ Alpha Venture DAO โดยตรง ติดตามข่าวสารจากช่องทาง Official (เป็นทางการ) ของโครงการ ทำความเข้าใจในเทคโนโลยีและความเสี่ยงจริงๆ ก่อนตัดสินใจ
2. **ประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้:** การลงทุนคริปโตฯ มีโอกาสขาดทุนสูงมาก ถามตัวเองว่าถ้าเงินก้อนนี้หายไป ชีวิตเราจะเดือดร้อนไหม? **ห้าม** นำเงินร้อน เงินที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน หรือเงินที่กู้ยืมมาลงทุนเด็ดขาด! ควรใช้เงินเย็น เงินออมส่วนที่พร้อมจะเสียได้เท่านั้น
3. **กระจายความเสี่ยง:** อย่าใส่ไข่ทุกฟองไว้ในตะกร้าใบเดียว การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลแค่ตัวใดตัวหนึ่งมีความเสี่ยงสูง ควรพิจารณากระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ หรือเหรียญอื่นๆ ที่เราศึกษามาอย่างดีแล้วด้วย
4. **ติดตามข่าวสารและสภาวะตลาดอยู่เสมอ:** โลกคริปโตฯ เปลี่ยนแปลงเร็วมาก ต้องคอยอัปเดตข้อมูลข่าวสารอยู่เสมอ ทั้งข่าวเกี่ยวกับตัวโปรเจกต์เอง และภาพรวมของตลาดคริปโตฯ และเศรษฐกิจโลก
5. **เลือกแพลตฟอร์มซื้อขายที่น่าเชื่อถือ:** หากตัดสินใจจะลงทุน ควรเลือกใช้บริการ Exchange (ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล) ที่ได้รับการรับรองและมีความน่าเชื่อถือ มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี ในประเทศไทยก็มีผู้ให้บริการที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. หลายราย หรือหากมองหาแพลตฟอร์มระดับสากล ก็อาจจะมีตัวเลือกอย่าง Moneta Markets (โมเนต้า มาร์เก็ตส์) และอื่นๆ ที่ให้บริการซื้อขายสินทรัพย์หลากหลายประเภท ซึ่งแต่ละแห่งก็มีเงื่อนไขและผลิตภัณฑ์แตกต่างกันไป ควรศึกษาเปรียบเทียบให้ดีก่อนเปิดบัญชีและทำธุรกรรม (การกล่าวถึงชื่อแพลตฟอร์มเป็นเพียงตัวอย่าง ไม่ใช่การแนะนำให้ลงทุนนะครับ)
⚠️ **คำเตือนสำคัญ:** การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ราคาผันผวนมาก ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งจำนวนได้ โปรดศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจความเสี่ยงอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน หากท่านมีข้อจำกัดด้านความรู้ ประสบการณ์ หรือสภาพคล่องทางการเงิน ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือพิจารณาอย่างรอบคอบเป็นพิเศษก่อนดำเนินการใดๆ
โดยสรุปแล้ว Alpha Venture DAO (หรือชื่อเดิม Alpha Finance Lab) และ เหรียญ alpha ถือเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจของวงการเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเงินของไทย ที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของนักพัฒนาไทยในการสร้างสรรค์โปรเจกต์ระดับโลกในเวที DeFi และ Web3.0 ที่มีการแข่งขันสูง แม้เส้นทางข้างหน้าจะยังมีความท้าทายและความผันผวนรออยู่ แต่การมีอยู่ของโปรเจกต์นี้ก็ถือเป็นเรื่องที่น่าติดตามและน่าสนับสนุนในฐานะคนไทยด้วยกันครับ หวังว่าบทความนี้จะช่วยไขข้อข้องใจและให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับทุกท่านไม่มากก็น้อยนะครับ แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้า สวัสดีครับ!