最近大家是不是常聽到 “澳幣:เงินดิจิทัล” (Digital Currency), “澳幣:คริปโทฯ” (Cryptocurrency), “澳幣:บล็อกเชน” (Blockchain) เต็มไปหมด? บางคนอาจจะเคยเห็นข่าวราคาพุ่งทะลุฟ้า บางคนก็อาจจะเจอข่าวโดนหลอกลงทุน หรือไม่ก็ข่าวธนาคารแห่งประเทศไทยกำลังพัฒนา “澳幣:เงินบาทดิจิทัล” (Digital Baht) ของตัวเอง แล้วเคยสงสัยไหมครับว่า… สกุลเงินดิจิทัลมีอะไรบ้าง? มันคืออะไรกันแน่? เหมือนหรือต่างจากเงินในบัญชีธนาคารที่เราใช้ทุกวันยังไง?
ในฐานะคอลัมนิสต์การเงินที่ติดตามเรื่องนี้มาสักพัก วันนี้จะขออาสาพาไปทำความรู้จัก “澳幣:สกุลเงินดิจิทัล” แบบเจาะลึก แต่เข้าใจง่าย เหมือนคุยกับเพื่อนข้างบ้าน พร้อมทั้งแง่มุมที่ต้องรู้ก่อนก้าวเท้าเข้าสู่โลกการเงินยุคใหม่ที่น่าตื่นเต้นนี้ครับ

**ทำความรู้จัก “澳幣:สกุลเงินดิจิทัล” เงินยุคใหม่ที่ไม่ต้องจับต้องได้**
สรุปง่ายๆ สกุลเงินดิจิทัลก็คือ “澳幣:เงิน” ที่ไม่ได้อยู่ในรูปธนบัตรหรือเหรียญให้จับต้องได้ แต่อยู่ในรูปแบบดิจิทัลล้วนๆ ทำงานผ่านระบบคอมพิวเตอร์หรืออินเทอร์เน็ตนี่แหละครับ ทีนี้ถ้าถามว่า สกุลเงินดิจิทัลมีอะไรบ้าง? จริงๆ แล้วแยกได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ ที่แตกต่างกันในสาระสำคัญ คือ
1. **เงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง (Central Bank Digital Currency – CBDC):** อันนี้เหมือนเงินสดที่เราใช้กันนี่แหละครับ แค่อยู่ในรูปแบบดิจิทัล ออกและควบคุมโดยธนาคารกลางของประเทศนั้นๆ มีค่าคงที่เท่ากับเงินสกุลท้องถิ่น และเป็นเงินที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายเต็มที่ อย่างในบ้านเรา ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำลังพัฒนา “澳幣:เงินบาทดิจิทัล” (Digital Baht) อยู่ครับ
2. **คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency):** ตัวนี้แหละที่คนส่วนใหญ่ฮือฮาและเอาไปลงทุนกัน คริปโทฯ มักจะสร้างและบริหารจัดการด้วยเทคโนโลยีการเข้ารหัสบนระบบที่เรียกว่า “澳幣:บล็อกเชน” (Blockchain) จุดเด่นคือมักจะไม่มีหน่วยงานกลางใดๆ ควบคุม มูลค่าผันผวนสูงมาก และมักใช้เพื่อการลงทุน เก็งกำไร หรือแลกเปลี่ยนสินค้า/บริการในวงจำกัดครับ
จะเห็นว่าสองแบบนี้ต่างกันชัดเจน แบบแรกคือเงินของรัฐในรูปแบบดิจิทัล ส่วนแบบที่สองคือสินทรัพย์ดิจิทัลที่ทำงานแบบกระจายอำนาจ
แล้ว “澳幣:เงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-money)” ที่เราใช้ในแอปฯ วอลเล็ตต่างๆ ล่ะ? อันนี้จะต่างออกไปอีกครับ e-money เป็นเงินที่เราเติมไว้ล่วงหน้าเพื่อใช้จ่ายในวงจำกัด มักจะบริหารโดยบริษัทเอกชนภายใต้กฎหมายระบบการชำระเงิน พูดง่ายๆ คือเป็นเงินในวงปิดที่ใช้กับร้านค้าในเครือข่ายของผู้ให้บริการนั้นๆ ครับ
**เบื้องหลังความเทพ: เทคโนโลยี “澳幣:บล็อกเชน” หัวใจสำคัญของคริปโทฯ**

พอพูดถึง คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ก็ต้องพูดถึงเทคโนโลยีสุดล้ำที่ชื่อว่า “澳幣:บล็อกเชน” (Blockchain) เพราะนี่คือหัวใจสำคัญที่ทำให้คริปโทฯ ทำงานแบบกระจายอำนาจและมีความปลอดภัยสูง ลองนึกภาพ บล็อกเชน เหมือนสมุดบัญชีเล่มใหญ่ที่ไม่ได้อยู่ที่ธนาคารเดียว แต่กระจายสำเนาไปอยู่กับคอมพิวเตอร์จำนวนมากทั่วโลก ทุกธุรกรรมที่เกิดขึ้นจะถูกบันทึกใน “澳幣:บล็อก” และเชื่อมโยงกันเป็นลูกโซ่ด้วยการเข้ารหัสทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนมาก ทำให้ยากมากๆ ที่จะแก้ไขหรือปลอมแปลงข้อมูลในอดีตได้
เทคโนโลยีนี้เรียกว่า ระบบบัญชีแยกประเภทแบบกระจายศูนย์ (Distributed Ledger Technology – DLT) ซึ่งทำให้ทุกอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และไม่ต้องพึ่งพาตัวกลางอย่างธนาคารในทุกขั้นตอน นอกจากนี้ยังมีกลไกที่เรียกว่า “Proof of Work” หรือ “Proof of Stake” เข้ามาช่วยในการยืนยันและสร้างบล็อกใหม่ๆ ทำให้ระบบมีความปลอดภัยและน่าเชื่อถือโดยธรรมชาติของมันเองครับ
**เงินบาทดิจิทัล (CBDC) ทางเลือกใหม่จาก ธปท.**
มาดูแบบแรกที่น่าจะใกล้ตัวคนไทยที่สุด นั่นคือ “澳幣:เงินบาทดิจิทัล” หรือที่ศัพท์ทางการเรียกว่า CBDC (Central Bank Digital Currency) ตัวนี้ชัดเจนมากว่าเป็นเงินที่ออกโดย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งเป็นธนาคารกลางของเรา มีค่าเท่ากับเงินบาทจริงๆ เป๊ะๆ เป็นเงินที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย มีสินทรัพย์ภาครัฐหนุนหลังเต็มที่
เป้าหมายของ ธปท. ในการพัฒนาเงินบาทดิจิทัลคือเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและประสิทธิภาพในการชำระเงิน รองรับนวัตกรรมทางการเงินในอนาคต และเป็นทางเลือกที่น่าเชื่อถือและปลอดภัยสูงสำหรับประชาชน ลองนึกภาพว่าเราไม่ต้องพกเงินสดอีกต่อไป เงินทั้งหมดอยู่ในรูปแบบดิจิทัลในกระเป๋าเงินบนมือถือ หรืออาจจะอยู่ในรูปแบบการ์ดก็ได้ สามารถโอน แลกเปลี่ยน หรือใช้จ่ายได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น
ในช่วงปลายปี 2565 ที่ผ่านมา ธปท. ก็ได้ทดลองนำเงินบาทดิจิทัลไปใช้ในวงจำกัดกับประชาชนทั่วไป เพื่อดูผลลัพธ์และเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต เป็นการปูพื้นฐานระบบการเงินของประเทศให้ก้าวทันยุคดิจิทัลอย่างแท้จริงครับ
**คริปโทเคอร์เรนซี สกุลไหนฮิต? มูลค่าผันผวน น่าลงทุนจริงหรือ?**
ทีนี้มาถึงอีกประเภทที่หลายคนฮือฮาและเอาไปลงทุนกัน นั่นคือ “澳幣:คริปโทเคอร์เรนซี” (Cryptocurrency) ซึ่งต่างจากเงินบาทดิจิทัลตรงที่โดยทั่วไปแล้ว ไม่มีหน่วยงานกลางอย่างธนาคารกลางมาควบคุม การทำงานขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีบล็อกเชนและผู้ใช้งานทั่วโลก ทำให้มีอิสระและกระจายอำนาจมากกว่า
ถ้าถามว่า คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ที่เป็นที่นิยมมี สกุลเงินดิจิทัลมีอะไรบ้าง ในตลาดตอนนี้มีเยอะมากๆ ครับ ข้อมูล ณ เดือนพฤษภาคม 2565 บอกว่ามีเป็นหมื่นๆ สกุลเลย แต่ที่คุ้นหู คุ้นตา มีมูลค่าตลาดและปริมาณการซื้อขายสูงสุดก็หนีไม่พ้น
* **บิตคอยน์ (Bitcoin):** นี่คือ สกุลเงินดิจิทัล (Digital Currency) ตัวแรกของโลก ถือกำเนิดขึ้นในปี 2552 โดยบุคคลลึกลับนามว่า ซาโตชิ นากาโมโตะ เป็นเหมือนทองคำดิจิทัล เพราะมีจำนวนจำกัดแค่ 21 ล้านเหรียญ มีมูลค่าตลาดใหญ่ที่สุด และเป็นที่ยอมรับกว้างขวางที่สุดครับ
* **อีเธอร์เรียม (Ethereum):** ไม่ได้เป็นแค่เงิน แต่เป็นแพลตฟอร์มบล็อกเชนที่ทรงพลังมาก คิดค้นโดย วีตาลิค บูเจริน เหรียญหลักของแพลตฟอร์มนี้เรียกว่า อีเธอร์ (Ether) ใช้ในการสร้างแอปพลิเคชันกระจายอำนาจ (DApp) และ สัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) ต่างๆ ทำให้มีความสามารถหลากหลายกว่า และเป็นที่นิยมในการสร้าง โทเคนที่ไม่สามารถทดแทนกันได้ (NFT) ด้วย มีมูลค่าตลาดเป็นอันดับสองรองจากบิตคอยน์ครับ
* **เทเธอร์ (Tether):** ตัวนี้พิเศษหน่อย เรียกว่า สเตเบิลคอยน์ (Stablecoin) เพราะมีมูลค่าตรึงอยู่กับดอลลาร์สหรัฐฯ แบบ 1:1 ทำให้มีเสถียรภาพ ไม่ผันผวนเท่าตัวอื่น มักใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนจากเงินเฟียต (เงินทั่วไป) ไปยังคริปโทฯ ตัวอื่น หรือใช้พักเงินในช่วงที่ตลาดผันผวนครับ
* **ไบแนนซ์ คอยน์ (Binance Coin):** เป็นโทเคนหลักบนแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโทฯ ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Binance ใช้เป็นส่วนลดค่าธรรมเนียม และมีกลไกการเผาเหรียญเพื่อลดปริมาณหมุนเวียน ทำให้มูลค่าเพิ่มขึ้นได้

นอกจากนี้ก็ยังมีสกุลอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย เช่น Ripple (เน้นธุรกรรมระหว่างธนาคาร), Litecoin (คล้ายบิตคอยน์แต่ประมวลผลเร็วกว่า), Stellar (เน้นธุรกรรมข้ามพรมแดน), Solana, Cardano, Dogecoin และอื่นๆ อีกเพียบ แต่ละสกุลก็มีเทคโนโลยีและจุดประสงค์ที่แตกต่างกันไปครับ
**สถานะทางกฎหมายในประเทศไทย: ซื้อขายได้ แต่ต้องผ่านช่องทางที่ ก.ล.ต. รับรอง**
สำหรับประเทศไทย การซื้อขาย คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ถือว่าทำได้อย่างถูกกฎหมายนะครับ แต่ต้องทำผ่านผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาตจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เท่านั้น เพื่อให้มั่นใจว่าแพลตฟอร์มนั้นๆ อยู่ภายใต้การกำกับดูแล มีมาตรการรักษาความปลอดภัย และคุ้มครองผู้ลงทุนตามสมควร
จำได้ว่าเมื่อปี 2564 ก.ล.ต. เคยระบุ 7 สกุลที่สามารถซื้อขายบนแพลตฟอร์มที่ได้รับอนุญาตได้ แต่ตอนนี้กฎเกณฑ์ต่างๆ ก็อาจมีการปรับปรุงไปบ้าง สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าเรากำลังซื้อขายอยู่กับผู้ประกอบการที่ถูกกฎหมาย มีใบอนุญาตอย่างถูกต้องจาก ก.ล.ต. ครับ
ส่วนเรื่อง เงินบาทดิจิทัล อย่างที่บอกไป ธปท. กำลังเดินหน้าพัฒนาและทดลองใช้อยู่ ซึ่งหากมีการนำมาใช้จริงในวงกว้าง ก็จะเป็นเงินที่ออกโดยรัฐโดยตรง มีความน่าเชื่อถือสูงกว่าคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ที่เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลครับ
**ประโยชน์ของสกุลเงินดิจิทัล: สะดวก รวดเร็ว ไร้ตัวกลาง**
ทำไม สกุลเงินดิจิทัล ถึงเป็นที่พูดถึงกันขนาดนี้? แน่นอนว่าต้องมีข้อดีที่ทำให้มันแตกต่างและน่าสนใจกว่าระบบการเงินแบบเดิมๆ ครับ
* **ความสะดวก รวดเร็ว และค่าธรรมเนียมต่ำ:** ลองนึกถึงการส่งเงินไปต่างประเทศในระบบเดิมๆ ที่อาจจะใช้เวลาหลายวัน มีค่าธรรมเนียมแพง แต่การใช้คริปโทฯ หรือแม้แต่เงินบาทดิจิทัลในอนาคต อาจจะช่วยให้การทำธุรกรรมข้ามพรมแดนหรือแม้แต่ภายในประเทศรวดเร็วเกือบจะทันที และมีค่าธรรมเนียมที่ถูกลงกว่าเดิมมาก
* **เข้าถึงได้ตลอด 24 ชั่วโมง:** ระบบการเงินแบบดั้งเดิมมีเวลาทำการ มีวันหยุดธนาคาร แต่โลกของสกุลเงินดิจิทัลเปิดตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ อยากทำธุรกรรมตอนไหนก็ได้ ไม่ต้องรอ
* **ลดการพึ่งพาตัวกลาง:** โดยเฉพาะ คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ที่ทำงานบนบล็อกเชน ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถทำธุรกรรมระหว่างกันได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านธนาคารหรือสถาบันการเงินที่เป็นตัวกลาง ทำให้มีความเป็นอิสระและควบคุมสินทรัพย์ของตัวเองได้เต็มที่
* **ความปลอดภัยและความโปร่งใส:** ด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนที่บันทึกทุกอย่างอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้ ทำให้ยากต่อการโกงหรือปลอมแปลงข้อมูล และระบบการเข้ารหัสก็ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการทำธุรกรรม
* **เพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงิน:** สำหรับคนจำนวนมากทั่วโลกที่ไม่มีบัญชีธนาคาร หรือเข้าไม่ถึงบริการทางการเงินแบบดั้งเดิม สกุลเงินดิจิทัลสามารถเป็นประตูให้พวกเขาเข้าถึงระบบเศรษฐกิจดิจิทัลได้ง่ายขึ้น
**ความเสี่ยงและข้อควรพิจารณา: โอกาสมาพร้อมความผันผวนมหาศาล**
แต่เหรียญมีสองด้านเสมอ สกุลเงินดิจิทัล โดยเฉพาะ คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ก็มีความเสี่ยงสูงมากๆ ที่นักลงทุนต้องทำความเข้าใจก่อนตัดสินใจเข้าไปยุ่งเกี่ยวครับ
* **ความผันผวนสูงมาก:** นี่คือความเสี่ยงอันดับหนึ่งของคริปโทฯ ราคาของมันสามารถขึ้นหรือลงได้หลายสิบหรือหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ในเวลาอันสั้นมากๆ เหมือนนั่งรถไฟเหาะตีลังกา เหมาะกับคนที่รับความเสี่ยงได้สูงเท่านั้น
* **ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย:** แม้เทคโนโลยีบล็อกเชนจะปลอดภัย แต่ก็มีความเสี่ยงอื่นๆ เช่น การถูกโจรกรรมทางไซเบอร์จากผู้ไม่ประสงค์ดี กระเป๋าเงินดิจิทัลอาจถูกแฮก หรืออาจเจอการหลอกลวงรูปแบบต่างๆ ที่แฝงตัวมาในโลกคริปโทฯ
* **กรอบกฎหมายที่ยังไม่นิ่ง:** แม้ในไทยจะมีการกำกับดูแลแล้ว แต่ในระดับโลกหรือบางประเทศ กรอบกฎหมายเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลยังอยู่ในช่วงพัฒนา บางเรื่องยังไม่ชัดเจน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าหรือการใช้งานได้ในอนาคต
* **ความซับซ้อนทางเทคนิค:** การทำความเข้าใจและใช้งานเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลัง เช่น การจัดการกระเป๋าเงินดิจิทัล การโอนเหรียญ อาจมีความซับซ้อนสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป
* **การถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด:** ด้วยความที่เป็นระบบที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว ทำให้บางครั้งสกุลเงินดิจิทัลอาจถูกนำไปใช้ในการทำกิจกรรมที่ผิดกฎหมายได้
**การลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล: ต้องศึกษาและบริหารความเสี่ยงอย่างจริงจัง**
ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกสนใจ อยากลองก้าวเข้าสู่โลกการลงทุนใน คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่ว่าจะซื้อ สกุลเงินดิจิทัลมีอะไรบ้าง หรือตัวไหนจะพุ่งแรง แต่เป็นการ “ศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน” และ “บริหารความเสี่ยง” อย่างจริงจังครับ
การลงทุนในคริปโทฯ ส่วนใหญ่มักจะเป็นการเก็งกำไรจากราคาที่ผันผวน การซื้อขายมักทำผ่านแพลตฟอร์มของผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. ในประเทศไทย หรืออาจจะมีการลงทุนผ่านเครื่องมือทางการเงินที่ซับซ้อนขึ้น เช่น สัญญาการซื้อขายส่วนต่าง (CFD) ซึ่งมีความเสี่ยงสูงยิ่งกว่าเดิม
นักลงทุนจำเป็นต้องเข้าใจตลาด เข้าใจกลไกของแต่ละเหรียญ และที่สำคัญมากๆ คือต้องรู้จักตั้ง “ตั้งคำสั่งหยุดขาดทุน (Stop Loss)” เพื่อจำกัดความเสียหายหากราคาไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง แพลตฟอร์มซื้อขายหลายแห่งมีเครื่องมือช่วยบริหารความเสี่ยง เช่น การตั้ง Stop Loss ให้ใช้งาน ซึ่งเราควรเรียนรู้ที่จะใช้มันให้เป็นประโยชน์ครับ
**สรุปและคำแนะนำสำหรับผู้อ่าน**
สรุปแล้ว สกุลเงินดิจิทัล คือเทคโนโลยีทางการเงินที่น่าจับตา มีทั้งส่วนที่เป็นเงินดิจิทัลภาครัฐที่น่าเชื่อถืออย่าง เงินบาทดิจิทัล ที่ ธปท. กำลังพัฒนา และส่วนที่เป็น คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ซึ่งเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความเสี่ยงสูงแต่ก็มีโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการเก็งกำไร
สำหรับใครที่สนใจ หรือกำลังคิดจะก้าวเข้าสู่โลกนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือ “ศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน” ทำความเข้าใจว่า สกุลเงินดิจิทัลมีอะไรบ้าง แต่ละประเภทต่างกันยังไง ประโยชน์คืออะไร และที่สำคัญที่สุดคือ “ยอมรับความเสี่ยง” ที่จะเกิดขึ้นได้
⚠️ การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง โปรดศึกษาให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุน หากยังไม่แน่ใจ หรือรับความเสี่ยงไม่ได้มากนัก การศึกษาทำความเข้าใจ และอาจจะเริ่มต้นด้วยการทดลองใช้ “澳幣:เงินบาทดิจิทัล” หากมีการเปิดให้ใช้ในวงกว้าง อาจเป็นก้าวแรกที่น่าสนใจกว่าการกระโดดเข้าสู่โลกคริปโทฯ ที่มีความผันผวนรุนแรงครับ