ลองจินตนาการถึงยุคตื่นทองในอดีต ผู้คนแห่กันไปแสวงโชคในป่าเขาเพื่อขุดทองคำที่ซ่อนอยู่ใต้ดิน หวังจะได้เจอขุมทรัพย์ก้อนโตพลิกชีวิต แต่ยุคนี้ ไม่ใช่ทองคำที่อยู่ใต้ดินนะครับ… มันคือ “บิทคอยน์” ที่อยู่ในโลกดิจิทัล ที่หลายคนเชื่อว่าเป็นทองคำแห่งยุคใหม่ และการ “ขุด” บิทคอยน์ ก็กลายเป็นอีกหนึ่งความฝันที่ดึงดูดผู้คนจำนวนไม่น้อย

หลายคนคงเคยได้ยิน หรือแม้แต่เคยตั้งคำถามในกระทู้ดังๆ อย่าง ขุดบิทคอยน์ คือ pantip ที่เขาพูดถึงกัน มันใช่ทางรวยทางลัดจริงเหรอ? การเป็น “นักขุด” บิทคอยน์ในยุคนี้ยังน่าสนใจอยู่ไหม? วันนี้ผมในฐานะนักเขียนคอลัมน์การเงินรุ่นเก๋า จะพาทุกท่านไปเจาะลึกเบื้องหลังโลกของการขุดบิทคอยน์ในบริบทเศรษฐกิจไทย พร้อมตีแผ่ความจริงที่อาจจะไม่สวยหรูอย่างที่คิด จากข้อมูลที่รวบรวมมาจากหลายแหล่ง ทั้งพันทิป ฟินโนมินา คริปโทดริลลิง ไทยพีบีเอส และคอยน์ดอทซีโอทีเอช รับรองว่าอ่านจบแล้ว คุณจะมีคำตอบในใจแน่นอนครับ
แรกเริ่มเดิมที การขุดบิทคอยน์มันก็เหมือนกับการเสาะหาขุมทรัพย์ดิจิทัล ที่ให้ผลตอบแทนเป็นกอบเป็นกำ แต่โลกคริปโทเคอร์เรนซีมันหมุนเร็วกว่าจรวด และมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ปัจจุบันนี้ ตลาดการขุดบิทคอยน์มีความผันผวนสูงและท้าทายขึ้นเรื่อยๆ จนบางทีก็รู้สึกเหมือนกำลังวิ่งแข่งกับลมครับ
ตัวแปรสำคัญที่เข้ามาเปลี่ยนเกมการขุดก็คือปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “บิทคอยน์ลดครึ่ง” หรือ “Halving” (ฮาล์ฟวิ่ง) ครับ มันคือเหตุการณ์ที่รางวัลจากการขุดบิทคอยน์จะลดลงครึ่งหนึ่งทุกๆ สี่ปี ลองนึกภาพเค้กที่เคยแบ่งได้ 50 ชิ้นในยุคแรกเริ่มปี 2552 อยู่ดีๆ ปี 2555 ก็เหลือแค่ 25 ชิ้น ปี 2559 เหลือ 12.5 ชิ้น และปี 2563 ที่ผ่านมา เหลือแค่ 6.25 ชิ้นต่อบล็อกเท่านั้นเอง! ที่น่าตกใจคือ คาดการณ์ว่าปี 2567 นี้ รางวัลจะลดเหลือเพียง 3.125 ชิ้น ซึ่งลดลงจากปีแรกกว่า 1,500 เปอร์เซ็นต์เลยนะ! การลดครึ่งนี้บีบให้นักขุดที่ต้นทุนสูงหรือไม่คุ้มทุนต้องจำใจถอนตัวไปโดยปริยาย
ยังไม่นับคู่แข่งที่โผล่มาเป็นดอกเห็ดอีกนะครับ ยิ่งเครือข่ายบิทคอยน์เติบโตและมีนักขุดมากขึ้น อัลกอริทึม (ระบบคำนวณ) ในการขุดก็ยิ่งยากขึ้นตามไปด้วย แถมผู้ผลิตเครื่องขุดก็ขยันออกเครื่องรุ่นใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น แรงขุดรวมในเครือข่ายก็สูงปรี๊ดขึ้น ทำให้ส่วนแบ่งรางวัลของนักขุดแต่ละรายยิ่งน้อยลงไปอีก เหมือนเราพยายามหาปลาในบ่อที่มีคนมาทอดแหเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นั่นแหละครับ นี่แหละครับที่ทำให้หลายกระทู้ในพันทิปถามกันเยอะว่า ขุดบิทคอยน์ คือ อะไร และยังคุ้มไหมในยุคนี้

คราวนี้มาฟังเรื่องราวเตือนใจจาก “อีเธอเรียม” กันบ้างครับ นี่ไม่ใช่บิทคอยน์โดยตรง แต่เป็นเหรียญคริปโทฯ อีกตัวที่เคยเป็นที่นิยมในการขุดเหมือนกัน เมื่อก่อนอีเธอเรียมก็ใช้ระบบแบบเดียวกันกับบิทคอยน์ คือ “Proof of Work” (พรูฟ-ออฟ-เวิร์ก) ที่ต้องใช้แรงขุดมหาศาลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่วันดีคืนดี เมื่อปลายปี 2565 จู่ๆ พี่แกก็เปลี่ยนไปใช้ระบบ “Proof of Stake” (พรูฟ-ออฟ-สเตค) แทน เหมือนกับบอกว่า “ฉันไม่อยากเสียค่าไฟเยอะแล้วนะ แค่เอาเหรียญมาค้ำไว้ก็ได้รางวัลแล้ว”
ผลคือ… แรงขุดจำนวนมหาศาลจากเครือข่ายอีเธอเรียมก็ไม่มีที่ไป ต้องไหลทะลักไปหาเหรียญอื่นๆ ที่ยังใช้ระบบ Proof of Work ทำให้รายได้จากการขุดเหรียญเหล่านั้นดิ่งเหว ชนิดที่ว่าจากวันละ 30 ดอลลาร์สหรัฐ เหลือแค่ 3 ดอลลาร์สหรัฐในชั่วข้ามคืน! ลองคิดดูสิครับว่ามันเสียหายขนาดไหน นักขุดชาวไทยหลายคน รวมถึงเคสที่คุณเคยเล่าในพันทิป ก็เจอเหตุการณ์แบบนี้เป๊ะๆ ครับ มีนักขุดคนหนึ่งลงทุนดึงเงินจากพอร์ตหุ้นประมาณ 8 แสนบาท ซื้อเครื่องขุดตระกูลอีเธอเรียม จนมีทั้งหมด 9 เครื่อง มูลค่ารวมกว่า 1.2 ล้านบาท ในช่วงแรกก็พอมีรายได้หักค่าไฟเหลือประมาณเดือนละ 3-4 หมื่นบาท แต่พออีเธอเรียมเปลี่ยนระบบ รายได้ก็ลดลงสิบเท่าจนต้องปิดเครื่องเพราะไม่คุ้มทุน ส่วนเครื่องขุดบิทคอยน์สองเครื่องของเขาก็ประสบภาวะขาดทุนค่าไฟมากกว่าผลตอบแทนและต้องปิดลงหลังการลดครึ่งเช่นกัน นี่คือบทเรียนราคาแพงที่แสดงให้เห็นว่า “การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี” ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่นักขุดต้องเจอ
ถ้ามีใครถามว่า ต้นทุนที่แท้จริงของการขุดบิทคอยน์คืออะไร? ผมจะตอบเสียงดังฟังชัดเลยว่า “ค่าไฟ” ครับ! มันคือปัจจัยสำคัญที่สุดในการทำกำไร เพราะเครื่องขุดพวกนี้มันเหมือนสัตว์ประหลาดกินไฟ ที่ต้องเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีหยุดพัก Bitcoin ใช้ไฟฟ้าสูงถึง 951.58 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อชั่วโมง เพื่อให้เห็นภาพชัดๆ ลองเทียบกับการใช้พลังงานของเงินสดที่ใช้แค่ 0.044 กิโลวัตต์ชั่วโมง หรือบัตรเครดิตอย่างมาสเตอร์การ์ดที่ใช้แค่ 0.0006 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งน้อยกว่าบิทคอยน์ถึง 1.58 ล้านเท่า!
ไม่แปลกใจเลยที่มหาเศรษฐีอย่าง “อีลอน มัสก์” เคยออกมาบ่นเรื่องพลังงานที่บิทคอยน์ใช้มหาศาล และเคยยกเลิกการรับบิทคอยน์ในการชำระค่ารถยนต์ไฟฟ้า เพราะกังวลเรื่องการใช้พลังงาน และกล่าวว่ามีโอกาสกลับมารับอีกครั้งหากการขุดบิทคอยน์ใช้พลังงานสะอาดเกิน 50 เปอร์เซ็นต์
นักขุดมืออาชีพทั่วโลกถึงกับต้องย้ายเหมืองไปอยู่ในประเทศที่ค่าไฟฟ้าถูกสุดๆ อย่างเช่น บางประเทศในตะวันออกกลาง หรืออเมริกาใต้ เพื่อให้ได้ค่าไฟต่ำกว่า 0.06 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง จึงจะสามารถทำกำไรได้แม้ในภาวะตลาดหมี แต่ในเมืองไทย… ค่าไฟก็ขึ้นเอาขึ้นเอา จนหลายคนบ่นว่าขุดแล้วไม่คุ้ม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้หลายกระทู้ในพันทิปถามว่า ขุดบิทคอยน์ คือ อะไร และยังทำกำไรได้อยู่ไหมในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้

และที่สำคัญที่สุดคือเรื่องการ “ลักลอบใช้ไฟฟ้าหลวง” ครับ! มันผิดกฎหมายนะครับ อย่าได้คิดลองเด็ดขาด เพราะมีข่าวการจับกุมแหล่งขุดเหมืองบิทคอยน์ที่ลักลอบใช้ไฟฟ้าหลวงโดยตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอยู่บ่อยครั้ง ตัวอย่างกรณีที่เคยพบคือมีการลักลอบใช้นานกว่าสองเดือน คิดเป็นมูลค่าไฟฟ้ากว่าห้าล้านบาท และมีการยึดเครื่องขุดบิทคอยน์จำนวน 652 เครื่อง มูลค่ากว่า 200 ล้านบาทในกรณีดังกล่าว นอกจากจะเสี่ยงโดนจับแล้ว การกระทำดังกล่าวยังอาจเกี่ยวข้องกับการหลอกลวงลงทุนซื้อหรือเช่ากำลังขุดเหมืองสกุลเงินดิจิทัลอีกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่งครับ
นอกจากค่าไฟแล้ว การลงทุนใน “เครื่องขุด” ก็เป็นอีกหนึ่งก้อนโตที่ต้องควักกระเป๋า เครื่องขุดบิทคอยน์โดยเฉพาะ หรือที่เรียกว่า ASIC (เอซิก) นั้นราคาแพงหูฉี่ บางรุ่นเป็นแสนบาทต่อชุด หรือถ้าจะประกอบเครื่องเองโดยใช้การ์ดจอ (GPU) คุณภาพสูง ก็ต้องลงทุนในส่วนประกอบอื่นๆ อีกเยอะแยะ ทั้งหน่วยประมวลผลกลาง เมนบอร์ด แรม ฮาร์ดดิสก์ และหน่วยจ่ายไฟ (พาวเวอร์ซัพพลาย) ที่ต้องทนทานและจ่ายไฟได้นิ่งๆ ตลอด 24 ชั่วโมง
ปัญหาคือเทคโนโลยีมันไปไวมากครับ ซื้อวันนี้ พรุ่งนี้อาจจะมีรุ่นใหม่ที่แรงกว่า ประหยัดไฟกว่าออกมา ทำให้เครื่องเก่าเราตกรุ่นเร็วและทำกำไรได้น้อยลงไปอีก นี่คือวงจรที่นักขุดต้องเจออยู่เสมอ บางคนอาจจะมองหาทางเลือกอื่นอย่าง “Cloud Mining” (คลาวด์ ไมน์นิ่ง) หรือการเช่ากำลังขุด ฟังดูง่าย ไม่ต้องดูแลเครื่องเอง แต่ก็ต้องจ่ายค่าบริการให้ผู้ให้บริการนะครับ ไม่ใช่ได้มาฟรีๆ และต้องพึ่งพาความน่าเชื่อถือของผู้ให้บริการเหล่านั้นด้วย
ในส่วนของกฎระเบียบและภาษีก็เป็นอีกจุดที่ต้องระวัง แม้ว่า ณ ต้นปี 2565 รายได้ที่เกิดจากการขุดบิทคอยน์ยังไม่ถือเป็นเงินได้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่ก็ไม่มีอะไรแน่นอนนะครับ กรมสรรพากรอาจมีการพิจารณาเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ในอนาคตเมื่อไหร่ก็ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด และที่สำคัญคือเรื่องความเสถียรของอินเทอร์เน็ต เครือข่ายต้องดีตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรองรับการทำงานของโปรแกรมขุดบิทคอยน์
โดยสรุปแล้ว การขุดบิทคอยน์ในวันนี้ ไม่ใช่ “ทางลัดสู่ความร่ำรวย” อีกต่อไปแล้วครับ จากปัจจัยต่างๆ ที่ผมเล่ามา ทั้งราคาเหรียญที่ผันผวน ต้นทุนค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น การลดลงของผลตอบแทนจากการลดครึ่ง (Halving) การแข่งขันที่รุนแรง และการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ทำให้การทำกำไรจากการขุดบิทคอยน์ในปัจจุบันเผชิญกับความท้าทายอย่างมาก นักขุดในไทยต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านค่าใช้จ่ายและกฎระเบียบที่อาจเปลี่ยนแปลงในอนาคต
หากคุณกำลังคิดจะกระโดดเข้าสู่โลกนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือ “การทำการบ้านอย่างหนัก” คำนวณต้นทุนค่าไฟฟ้าให้ละเอียดที่สุด เปรียบเทียบกับราคาเหรียญในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต พร้อมทำความเข้าใจความเสี่ยงทุกด้าน
⚠️ ที่สำคัญคือต้องยอมรับความเสี่ยงที่จะขาดทุนได้นะครับ หากเงินลงทุนที่ใช้ไม่ใช่เงินเย็น หรือเป็นเงินที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน อาจจะต้องคิดให้รอบคอบเป็นพิเศษ เพราะการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความผันผวนสูงมากจนคาดเดาทิศทางได้ยาก
บางที การศึกษาเรื่องบิทคอยน์ในแง่มุมอื่น เช่น การลงทุนในเหรียญโดยตรง การทำความเข้าใจเทคโนโลยีบล็อกเชน (เทคโนโลยีเบื้องหลังคริปโทฯ) หรือการศึกษาตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อหาสินทรัพย์อื่นที่น่าสนใจ อาจจะน่าสนใจและมีความเสี่ยงที่บริหารจัดการได้ง่ายกว่าการเป็น “นักขุด” ในยุคนี้ก็เป็นได้นะครับ เพราะบางที สิ่งที่คนในกระทู้พันทิปเคยถามว่า ขุดบิทคอยน์ คือ ทางรวย อาจจะกลายเป็นบทเรียนราคาแพงสำหรับบางคนไปแล้วก็เป็นได้ครับ