สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามคอลัมน์การเงินของผม วันนี้เราจะมาคุยเรื่องที่กำลังร้อนแรงในโลกดิจิทัล ที่หลายคนอาจจะเคยได้ยินมาบ้าง หรือบางคนก็ยังงงๆ ว่ามันคืออะไรกันแน่ครับ
ช่วงนี้เพื่อนสนิทอย่างคุณสมชายมักจะโทรมาปรึกษาผมบ่อยๆ เรื่องสินทรัพย์ดิจิทัล แกเล่าว่าเห็นข่าวว่ามีเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะมาพลิกโฉมโลกอินเทอร์เน็ต จากที่เราคุ้นเคยกับการจ่ายเงินค่าธรรมเนียมแพงๆ หรือรอการยืนยันธุรกรรมนานๆ ในโลกออนไลน์ แกสงสัยว่าจะมีอะไรมาช่วยให้เรื่องเหล่านี้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น และถูกลงได้บ้างไหม? คำถามของแกทำให้ผมนึกถึงแพลตฟอร์มบล็อกเชนตัวหนึ่งที่ถูกจับตามองมานาน นั่นก็คือ EOS (อีโอเอส) ครับ หลายคนอาจจะสงสัยว่า eos คืออะไร และมันเข้ามามีบทบาทในชีวิตเราได้อย่างไรในยุคที่ทุกอย่างต้องเร็วและฟรี?

ลองจินตนาการดูนะครับว่าอินเทอร์เน็ตที่เราใช้ทุกวันนี้ เหมือนถนนสี่เลนที่รถวิ่งกันอออัด เวลาจะส่งข้อมูลหรือทำธุรกรรมอะไรก็เหมือนรถติดไฟแดง ต้องรอ กว่าจะถึงปลายทางก็ใช้เวลานาน แถมบางทีก็มีค่าผ่านทางจุกจิกอีกต่างหาก แต่ถ้ามีถนนซูเปอร์ไฮเวย์ขนาดหลายร้อยเลน ที่รถวิ่งได้เร็วปรี๊ด ไม่มีค่าทางด่วน คุณอยากจะใช้เส้นไหนครับ? EOS (อีโอเอส) นี่แหละครับ คือหนึ่งในผู้พัฒนาที่มุ่งมั่นจะสร้างถนนซูเปอร์ไฮเวย์ในโลกดิจิทัลให้เราได้ใช้กัน แพลตฟอร์มบล็อกเชน (Blockchain) ตัวนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเป็น “ระบบปฏิบัติการกระจายศูนย์” (Decentralized Operating System) สำหรับแอปพลิเคชันกระจายศูนย์ (DApps) และสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contracts) โดยมีเป้าหมายหลักคือการรองรับการประมวลผลธุรกรรมจำนวนมหาศาลด้วยความเร็วสูงถึงหลักล้านธุรกรรมต่อวินาที และที่สำคัญคือ “ไม่มีค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม” โดยตรงเลยครับ!
ประวัติของ EOS (อีโอเอส) ก็ไม่ธรรมดาครับ แพลตฟอร์มนี้ก่อตั้งโดยสองผู้ทรงอิทธิพลในวงการอย่าง Dan Larimer (แดน ลาริเมอร์) ซึ่งเป็นผู้สร้าง Bitshares (บิตแชร์ส) และ Steemit (สตีมมิต) มาก่อน และ Brendan Blumer (เบรนดัน บลูเมอร์) ซีอีโอของ Block.one (บล็อกวัน) พวกเขาได้ระดมทุนแบบ ICO (Initial Coin Offering – การระดมทุนเหรียญเริ่มต้น) เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีเต็มๆ ระหว่างปี พ.ศ. 2560 ถึง 2561 และทำสถิติระดมทุนได้สูงเป็นประวัติการณ์กว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งบางแหล่งข้อมูลก็ระบุว่าสูงถึง 4.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว นี่ไม่ใช่แค่การระดมทุน แต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของตลาดที่มีต่อศักยภาพของเทคโนโลยี EOSIO (อีโอเอสไอโอ) ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของแพลตฟอร์มนี้ ที่ถูกสร้างมาเพื่อความเร็วและประสิทธิภาพสูงโดยเฉพาะ
หลายคนคงเคยได้ยินชื่อ Ethereum (อีเธอเรียม) มาก่อนใช่ไหมครับ? แพลตฟอร์มบล็อกเชนที่ได้รับความนิยมอย่างสูงและเป็นผู้บุกเบิกเรื่อง DApps (แอปพลิเคชันกระจายศูนย์) และ Smart Contracts (สัญญาอัจฉริยะ) แต่ถ้าลองเทียบ EOS (อีโอเอส) กับ Ethereum (อีเธอเรียม) ดูแล้ว เราจะเห็นความแตกต่างที่น่าสนใจมากครับ ลองนึกภาพว่าถ้า Ethereum (อีเธอเรียม) คือรถสปอร์ตสุดหรูที่วิ่งได้เร็วประมาณ 30 ธุรกรรมต่อวินาที และใช้เวลาสร้างบล็อก 10-15 วินาทีต่อบล็อก แถมยังมีค่าแก๊ส (ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม) ที่อาจจะแพงหูฉี่ในช่วงที่เครือข่ายหนาแน่น แต่ EOS (อีโอเอส) ล่ะครับ? ตามทฤษฎีแล้วมันถูกออกแบบให้ประมวลผลได้ถึงหลายล้านธุรกรรมต่อวินาที หรืออย่างน้อยก็ 3,000 ธุรกรรมต่อวินาทีตามที่ระบุในตารางเปรียบเทียบ และในการทดสอบจริงก็ยังทำได้ถึง 650 ธุรกรรมต่อวินาที ซึ่งเทียบเท่าหรือบางทีก็เร็วกว่าระบบการชำระเงินขนาดใหญ่อย่าง Visa (วีซ่า) ที่ทำได้ประมาณ 1,667 ธุรกรรมต่อวินาทีเสียอีก แถมยังสร้างบล็อกได้เร็วสุดๆ เพียง 0.5 วินาทีต่อบล็อกเท่านั้น นั่นหมายความว่าธุรกรรมของคุณจะได้รับการยืนยันภายในเวลาเฉลี่ยเพียง 1.5 วินาที! จุดเด่นที่ทำให้ EOS (อีโอเอส) ทำความเร็วได้ขนาดนี้มาจากกลไกฉันทามติที่เรียกว่า Delegated Proof-of-Stake (DPoS – กลไกฉันทามติแบบมอบฉันทะ) ซึ่งจะกล่าวถึงต่อไปครับ ที่สำคัญคือ EOS (อีโอเอส) ไม่มีค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมโดยตรง ผู้ใช้งานเพียงแค่ต้อง “Stake” (สเตก) หรือล็อกเหรียญ EOS (อีโอเอส) ของตัวเองไว้ เพื่อใช้เป็นทรัพยากรของเครือข่าย เช่น ซีพียู (CPU), แรม (RAM) และเน็ตเวิร์ก (NET) คล้ายกับการจองแบนด์วิดท์อินเทอร์เน็ตนั่นเองครับ อีกข้อที่น่าสนใจคือ EOS (อีโอเอส) ใช้ภาษาโปรแกรม C++ (ซีพลัสพลัส) สำหรับการพัฒนา Smart Contracts (สัญญาอัจฉริยะ) ซึ่งเป็นภาษาที่นักพัฒนาหลายคนคุ้นเคย ทำให้การพัฒนาง่ายกว่าภาษา Solidity (โซลิดิตี้) ของ Ethereum (อีเธอเรียม) และด้วยกลไก DPoS (ดีพอส) ทำให้ EOS (อีโอเอส) ใช้พลังงานน้อยกว่า Proof-of-Work (PoW – กลไกฉันทามติแบบพิสูจน์การทำงาน) ของ Ethereum (อีเธอเรียม) ถึงประมาณ 8,000 เท่า เรียกได้ว่าประหยัดพลังงานสุดๆ เลยล่ะครับ

กลไก Delegated Proof-of-Stake (DPoS – กลไกฉันทามติแบบมอบฉันทะ) ของ EOS (อีโอเอส) ทำงานอย่างไรน่ะหรือครับ? ลองนึกภาพการเลือกตั้งทั่วไปครับ ผู้ถือเหรียญ EOS (อีโอเอส) ทุกคนมีสิทธิ์ “ลงคะแนนเสียง” เพื่อเลือก “Block Producers” (BP – ผู้ผลิตบล็อก) จำนวน 21 ราย ซึ่งก็คือกลุ่มคนหรือองค์กรที่มีหน้าที่ตรวจสอบและสร้างบล็อกใหม่ให้กับเครือข่ายนั่นเองครับ เปรียบเสมือนสภาผู้แทนราษฎรของโลกบล็อกเชน ที่ได้รับมอบอำนาจจากประชาชนผู้ถือเหรียญ การมีผู้ผลิตบล็อกที่ได้รับเลือกจำนวนจำกัดนี้ ทำให้การทำงานของเครือข่ายรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงมากครับ นอกจากความเร็วแล้ว แพลตฟอร์ม EOS (อีโอเอส) ยังมีความยืดหยุ่นสูงอีกด้วยครับ ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น การโจมตีทางไซเบอร์ เครือข่ายสามารถตัดสินใจ “หยุดธุรกรรมชั่วคราว” เพื่อป้องกันความเสียหายได้ ซึ่งต่างจากบล็อกเชนส่วนใหญ่ที่มักจะหยุดไม่ได้เลย นอกจากนี้ การปกครองแพลตฟอร์มยังเป็นแบบประชาธิปไตยกระจายศูนย์ (Decentralized Democracy) ที่ผู้ถือเหรียญมีส่วนร่วมในการตัดสินใจสำคัญๆ รวมถึงการอัปเกรดโปรโตคอลด้วยนะครับ ไม่ใช่แค่การ Stake (สเตก) เหรียญเพื่อใช้ทรัพยากรแล้วจบไป แต่ยังได้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการเครือข่ายอีกด้วย
ในแง่ของสถานะตลาดและอนาคต แม้ว่า EOS (อีโอเอส) จะยังเป็นโครงการที่ค่อนข้างใหม่เมื่อเทียบกับ Ethereum (อีเธอเรียม) แต่ศักยภาพของมันก็ได้รับการยอมรับในระดับสากลครับ ที่น่าสนใจคือ หน่วยงานด้าน IT (ไอที) ของรัฐบาลจีนเคยจัดอันดับให้ EOS (อีโอเอส) เป็นอันดับหนึ่งในด้านเทคโนโลยี การใช้งานจริง และความสร้างสรรค์หลายเดือนติดต่อกัน เหนือกว่าแม้กระทั่ง Bitcoin (บิตคอยน์) และ Ethereum (อีเธอเรียม) เสียอีกครับ นี่แสดงให้เห็นว่าแม้แต่หน่วยงานรัฐที่มักจะระมัดระวังเรื่องคริปโทเคอร์เรนซี ก็ยังมองเห็นถึงนวัตกรรมและประโยชน์ของ EOS (อีโอเอส) ที่มีเป้าหมายในการเป็นระบบปฏิบัติการบล็อกเชนที่ใช้งานง่ายและมีประสิทธิภาพสูงสำหรับนักพัฒนาและผู้ใช้งานทั่วไป แม้จะมีคู่แข่งที่น่ากลัวอย่าง NEO (นีโอ), QTUM (คิวทัม) และ ADA (เอด้า) ที่กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ EOS (อีโอเอส) ก็ยังคงเป็นหนึ่งในผู้เล่นสำคัญที่นักวิเคราะห์หลายคนมองว่ามีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว อย่างไรก็ตาม ข้อมูลมูลค่าและราคาของเหรียญ EOS (อีโอเอส) ก็มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาครับ อย่างเช่นในช่วงเดือนเมษายน พ.ศ. 2561 ราคาเคยขึ้นไปสูงสุดถึง 22.89 ดอลลาร์สหรัฐ และมีมูลค่าตลาดรวมสูงถึง 2,326 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ราคาสินทรัพย์ดิจิทัลมีความผันผวนสูงมาก นักลงทุนจึงควรศึกษาข้อมูลและติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิด

สรุปแล้ว eos คืออะไร มันคือแพลตฟอร์มบล็อกเชนที่ออกแบบมาเพื่อความเร็ว ประสิทธิภาพ และการใช้งานที่ง่ายดาย โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ DApps (แอปพลิเคชันกระจายศูนย์) ยุคใหม่ ที่สามารถรองรับผู้ใช้งานจำนวนมากได้โดยไม่มีปัญหาเรื่องค่าธรรมเนียมหรือความล่าช้า ด้วยกลไก DPoS (ดีพอส) ที่แตกต่างจากบล็อกเชนส่วนใหญ่ในตลาด ทำให้ EOS (อีโอเอส) โดดเด่นในเรื่องความเร็วและการประหยัดพลังงาน
ก่อนจากกัน ผมขอฝากข้อคิดสำหรับการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลรวมถึง EOS (อีโอเอส) ไว้ด้วยนะครับ:
1. **ศึกษาข้อมูลให้ลึกซึ้ง (Do Your Own Research):** อย่าเพิ่งเชื่อข่าวลือหรือตามกระแสครับ ทำความเข้าใจในเทคโนโลยี กลไกการทำงาน และทีมงานที่อยู่เบื้องหลังโครงการนั้นๆ ให้ดีเสียก่อน
2. **เข้าใจความเสี่ยง (Understand the Risks):** ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมีความผันผวนสูงมาก ราคาอาจขึ้นลงได้ในเวลาอันรวดเร็ว ควรลงทุนในจำนวนเงินที่ “สามารถสูญเสียได้” โดยไม่กระทบต่อชีวิตประจำวัน
3. **กระจายความเสี่ยง (Diversify):** ไม่ควรนำเงินทั้งหมดไปลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลตัวใดตัวหนึ่ง ควรแบ่งสัดส่วนการลงทุนและกระจายความเสี่ยงไปในสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ ด้วย เช่น หุ้น อสังหาริมทรัพย์ หรือกองทุน
4. **จับตาคู่แข่งและการพัฒนา (Watch Competitors and Development):** เทคโนโลยีบล็อกเชนมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แพลตฟอร์มคู่แข่งต่างๆ ก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การติดตามข่าวสารและความคืบหน้าของโครงการเป็นสิ่งสำคัญครับ
เหมือนแพลตฟอร์มเทรดที่ให้บริการหลากหลายอย่าง Moneta Markets (โมเนต้า มาร์เก็ตส์) ที่มีเครื่องมือและข้อมูลให้ศึกษามากมาย สิ่งสำคัญคือการเลือกแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์ความต้องการและสไตล์การลงทุนของเรานะครับ และหากคุณเป็นนักลงทุนที่มีสภาพคล่อง (Liquidity – สภาพคล่อง) ไม่สูงนัก ผมขอแนะนำให้ประเมินสถานการณ์ทางการเงินของตัวเองอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอครับ เพราะการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น ยังมีความเสี่ยงสูง และเหมาะสำหรับผู้ที่เข้าใจในธรรมชาติของมันเป็นอย่างดีครับ ขอให้ทุกท่านโชคดีกับการลงทุนครับ