Bitcoin Halving วันไหน? ไขลับบิตคอยน์พุ่งทะยาน รับ ETF & จับตา Supply Shock!

คุณเคยรู้สึกไหมครับว่าโลกการเงินยุคนี้มีอะไรใหม่ๆ มาให้เราตื่นเต้นอยู่เสมอ? ไม่นานมานี้ เพื่อนผม “คุณสมชาย” ที่ปกติจะงงๆ กับเรื่องดิจิทัล ยังต้องเดินมาถามผมเลยว่า “เฮ้ย! บิตคอยน์นี่มันจะขึ้นไปอีกเหรอ เห็นในข่าวเขาบอกว่าจะมี ‘ฮาล์ฟวิ่ง’ อะไรเนี่ย `halving bitcoin วันไหน` ล่ะ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับราคาที่พุ่งเอาๆ แบบนี้?”
คำถามของคุณสมชายนี่แหละครับ ที่ตรงใจผมเป๊ะ! เพราะช่วงนี้กระแสของ “บิตคอยน์ ฮาล์ฟวิ่ง” (Bitcoin Halving) กำลังเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ในหมู่นักลงทุนคริปโทฯ ไม่ว่าจะหน้าเก่าหรือหน้าใหม่ ต่างก็จับตารอคอยปรากฏการณ์สำคัญนี้กันอย่างใจจดใจจ่อ วันนี้ในฐานะคอลัมนิสต์การเงิน ผมจะพาคุณผู้อ่านทุกท่านไปถอดรหัสลับของบิตคอยน์ ฮาล์ฟวิ่ง ว่ามันคืออะไร มีกลไกทำงานอย่างไร และจะส่งผลต่อกระเป๋าเงินของเรามากน้อยแค่ไหน พร้อมไขข้อข้องใจว่า `halving bitcoin วันไหน` กันแน่!
—
**ถอดรหัสลับ: “ฮาล์ฟวิ่ง” คืออะไร ทำไมต้องมี?**
ก่อนจะไปถึงเรื่อง `halving bitcoin วันไหน` เรามาทำความเข้าใจพื้นฐานกันก่อนครับ บิตคอยน์ไม่ได้ถูกควบคุมโดยรัฐบาลหรือธนาคารกลางใดๆ แต่ทำงานบนเทคโนโลยีที่เรียกว่า “บล็อกเชน” (Blockchain) ซึ่งเปรียบเสมือนสมุดบัญชีแยกประเภทขนาดยักษ์ที่กระจายอยู่บนคอมพิวเตอร์นับล้านเครื่องทั่วโลก ข้อมูลทุกรายการถูกบันทึกและตรวจสอบความถูกต้องร่วมกันตลอดเวลา ทำให้มันปลอดภัยและโปร่งใส
การเพิ่มข้อมูลชุดใหม่ หรือที่เรียกว่า “บล็อก” เข้าไปในบล็อกเชนนั้น ต้องผ่านกระบวนการที่เรียกว่า “การขุด” (Mining) ซึ่งก็คือการที่คอมพิวเตอร์ในเครือข่ายจะแข่งขันกันแก้สมการคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน ผู้ที่แก้สมการได้คนแรกจะได้รับ “รางวัลจากการขุด” เป็นบิตคอยน์ใหม่ที่เพิ่งถูกสร้างขึ้นมา
ทีนี้มาถึงหัวใจของเรื่องคือ “ฮาล์ฟวิ่ง” (Halving) หรือบางคนก็เรียกว่า “การลดรางวัลบล็อกลงครึ่งหนึ่ง” ครับ มันคือปรากฏการณ์ที่รางวัลจากการขุดบิตคอยน์จะถูกลดลง “ครึ่งหนึ่ง” โดยอัตโนมัติ ตามที่ถูกกำหนดไว้ในชุดคำสั่งของบิตคอยน์ตั้งแต่แรกเริ่มเป๊ะๆ โดยผู้สร้างนามว่า ซาโตชิ นากาโมโตะ (Satoshi Nakamoto) กลไกนี้จะเกิดขึ้นทุกๆ 210,000 บล็อก หรือคิดเป็นเวลาโดยประมาณคือทุกๆ 4 ปี (เพราะแต่ละบล็อกใช้เวลาสร้างประมาณ 10 นาที)
เป้าหมายสำคัญของกลไกนี้คืออะไรน่ะเหรอครับ? ง่ายๆ เลยครับ คือการ “ควบคุมอุปทาน” หรือปริมาณของบิตคอยน์ให้มีจำนวนจำกัด ไม่สามารถผลิตเพิ่มได้เรื่อยๆ เหมือนเงินกระดาษทั่วไป บิตคอยน์ถูกออกแบบมาให้มีจำนวนสูงสุดเพียง 21 ล้านเหรียญเท่านั้น เปรียบได้กับทองคำหรือเพชรที่มีอยู่จำกัดในโลก ยิ่งหายากก็ยิ่งมีค่าใช่ไหมล่ะครับ การฮาล์ฟวิ่งจึงเหมือนการค่อยๆ ชะลอการผลิตบิตคอยน์ใหม่ๆ เข้าสู่ระบบ ทำให้มันเป็นสินทรัพย์ที่ “ขาดแคลน” มากขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลา และช่วยป้องกันปัญหา “เงินเฟ้อ” ของบิตคอยน์ในระยะยาวนั่นเอง

—
**ย้อนดูสถิติ: ฮาล์ฟวิ่งสามครั้งที่ผ่านมา เกิดอะไรขึ้นกับราคาบ้าง?**
คุณสมชายเคยถามผมว่า “แล้วไอ้ฮาล์ฟวิ่งนี่มันเคยเกิดขึ้นมากี่ครั้งแล้วล่ะ?” คำตอบคือเคยเกิดขึ้นมาแล้ว 3 ครั้ง และแต่ละครั้งก็สร้างความสั่นสะเทือนให้กับตลาดคริปโทฯ ไม่น้อยเลยทีเดียวครับ ลองมาดูกันว่าประวัติศาสตร์ซ้ำรอยหรือไม่:
* **ฮาล์ฟวิ่งครั้งที่ 1 (28 พฤศจิกายน 2555):** รางวัลจากการขุดลดลงจาก 50 บิตคอยน์ เหลือ 25 บิตคอยน์ ตอนนั้นราคาบิตคอยน์อยู่ที่ประมาณ 12 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 400 บาท) เท่านั้นเองครับ แต่รู้ไหมครับว่าภายในหนึ่งปีหลังฮาล์ฟวิ่ง ราคาพุ่งทะยานราวกับจรวดถึง **+8,069%** ไปแตะระดับสูงสุดที่ประมาณ 1,175 ดอลลาร์สหรัฐฯ เลยทีเดียว! ใครที่ซื้อตอนนั้นนี่เหมือนถูกหวยรางวัลใหญ่เลยครับ
* **ฮาล์ฟวิ่งครั้งที่ 2 (9 กรกฎาคม 2559):** รางวัลลดจาก 25 บิตคอยน์ เหลือ 12.5 บิตคอยน์ ณ วันนั้นราคาอยู่ที่ประมาณ 651 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 23,000 บาท) แม้จะไม่พุ่งหวือหวาเท่าครั้งแรก แต่ภายในหนึ่งปีหลังจากนั้น ราคาบิตคอยน์ก็ยังคงปรับตัวขึ้นอย่างน่าประทับใจถึง **+284%** และทำจุดสูงสุดที่ประมาณ 19,717 ดอลลาร์สหรัฐฯ
* **ฮาล์ฟวิ่งครั้งที่ 3 (11 พฤษภาคม 2563):** รางวัลลดจาก 12.5 บิตคอยน์ เหลือ 6.25 บิตคอยน์ ราคา ณ วันนั้นอยู่ที่ประมาณ 8,618 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 300,000 บาท) รอบนี้ก็ยังไม่ทำให้ผิดหวังครับ ภายในหนึ่งปี บิตคอยน์สามารถพุ่งขึ้นไปได้ถึง **+538%** ไปทำจุดสูงสุดตลอดกาล (All-Time High) ที่ประมาณ 69,045 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 2.4 ล้านบาท)
เห็นตัวเลขแล้วตาลุกวาวกันเลยใช่ไหมครับ? นี่แหละคือเหตุผลที่ทำให้ปรากฏการณ์ฮาล์ฟวิ่งเป็นที่จับตา เพราะสถิติในอดีตมัน “สวย” ซะเหลือเกิน! แต่เดี๋ยวก่อนครับ! ไม่ใช่ทุกอย่างจะสวยงามเหมือนเทพนิยายเสมอไป เราต้องไม่ลืมว่า “ผลลัพธ์ในอดีตไม่ได้รับประกันผลในอนาคต” เสมอไปนะครับ
—
**`halving bitcoin วันไหน` กันแน่? และอะไรที่ทำให้รอบนี้ “ไม่เหมือนเดิม”?**
มาถึงคำถามสำคัญของคุณสมชายครับ นั่นก็คือ `halving bitcoin วันไหน` กันแน่? สำหรับฮาล์ฟวิ่งครั้งที่ 4 นี้ คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในช่วงวันที่ **19-20 เมษายน 2567** นี้แหละครับ รางวัลจากการขุดบิตคอยน์จะถูกลดลงจาก 6.25 บิตคอยน์ เหลือเพียง 3.125 บิตคอยน์เท่านั้น นั่นหมายความว่าบิตคอยน์ใหม่จะเข้าสู่ระบบน้อยลงไปอีกครึ่งหนึ่ง

แต่รอบนี้มัน “พิเศษ” กว่าทุกครั้งที่ผ่านมาครับ! ทำไมนะหรือ? เพราะมันมีปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของตลาดคริปโทฯ อย่างมหาศาล นั่นก็คือ “การอนุมัติกองทุน Bitcoin ETF” (Exchange Traded Fund หรือกองทุนอีทีเอฟบิตคอยน์) ในประเทศสหรัฐอเมริกาช่วงต้นปี 2567 ที่ผ่านมานี่เองครับ
คุณอาจจะสงสัยว่าอีทีเอฟมันเกี่ยวอะไรกับการที่ `halving bitcoin วันไหน`? การที่ ก.ล.ต. สหรัฐฯ อนุมัติกองทุนอีทีเอฟบิตคอยน์ ทำให้สถาบันการเงินขนาดใหญ่ นักลงทุนสถาบัน รวมถึงนักลงทุนรายย่อยทั่วไป สามารถเข้ามาลงทุนในบิตคอยน์ได้ง่ายขึ้นผ่านช่องทางที่คุ้นเคย โดยไม่ต้องยุ่งยากกับการจัดการคริปโทฯ ด้วยตัวเอง ผลลัพธ์คือมีเม็ดเงินมหาศาลจากสถาบันไหลเข้ามาในตลาดอย่างไม่เคยมีมาก่อนครับ ปัจจุบันมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนบิตคอยน์อีทีเอฟรวมกันแล้วสูงกว่า 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กองทุน iShares Bitcoin Trust (IBIT) ของ BlackRock (แบล็คร็อก) เพียงกองเดียวก็ถือครองบิตคอยน์ไปแล้วเกือบ 200,000 บิตคอยน์! นี่คือ “อุปสงค์” (Demand) ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด สวนทางกับ “อุปทาน” (Supply) ของบิตคอยน์ใหม่ที่กำลังจะลดลงจากฮาล์ฟวิ่งครับ
**แล้วราคาจะเป็นยังไงต่อล่ะ?**
เมื่ออุปทานลดลง แต่อุปสงค์พุ่งสูงขึ้นตามกลไกเศรษฐศาสตร์แล้ว ราคาก็ย่อมมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นใช่ไหมครับ? นักวิเคราะห์หลายท่านก็มองไปในทิศทางนั้นครับ
* **คุณปาฟ ฮันดัล** (Pav Hundal) จาก Swyftx คาดการณ์ว่าราคาบิตคอยน์จะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 100% หลังฮาล์ฟวิ่งไปแตะระดับ 120,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
* **คุณเฮนริก แอนเดอร์สสัน** (Henrik Andersson) จาก Apollo Crypto และ **คุณแคโรไลน์ โบว์เลอร์** (Caroline Bowler) จาก BTC Markets มองไกลกว่านั้นว่าอาจไปถึง 200,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
* และที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือ **คุณแอนโทนี สคารามุชชี** (Anthony Scaramucci) อดีตผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารของทำเนียบขาว และ **คุณทิม เดรเปอร์** (Tim Draper) นักลงทุนระดับตำนาน ต่างคาดการณ์ว่าบิตคอยน์อาจพุ่งไปถึง 170,000 – 250,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 5.5 – 9 ล้านบาทเลยทีเดียว! โดยอาจเกิด “ภาวะ Supply Shock” คือปริมาณบิตคอยน์ในตลาดสำหรับซื้อขายลดลงอย่างมาก ทำให้ราคาเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงและรวดเร็ว
แต่ก็มีมุมมองอีกด้านที่น่าสนใจเช่นกันครับ นั่นคือเสียงท้วงติงว่า “ราคาอาจได้สะท้อนผลกระทบไปแล้ว” หรืออาจเกิดปรากฏการณ์ “Sell on Fact” คือเมื่อเหตุการณ์ฮาล์ฟวิ่งเกิดขึ้นจริง ราคาอาจจะลดลงเสียด้วยซ้ำ! ทำไมน่ะเหรอครับ? เพราะรอบนี้แตกต่างจากรอบก่อนๆ ตรงที่บิตคอยน์สามารถทำจุดสูงสุดตลอดกาล (All-Time High) ไปได้ตั้งแต่ก่อนที่ฮาล์ฟวิ่งจะมาถึงเสียอีก เหมือนทุกคนรู้ข่าวดีล่วงหน้าไปแล้วนั่นเองครับ
สำหรับเหล่านักขุดบิตคอยน์ การลดลงของรางวัลจากการขุดย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลกำไรครับ โดยเฉพาะบริษัทขุดบิตคอยน์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ นักวิเคราะห์จาก Cantor Fitzgerald (แคนเตอร์ ฟิตซ์เจอรัลด์) ระบุว่า บริษัทเหล่านี้จำเป็นต้องให้ราคาบิตคอยน์ยืนอยู่เหนือระดับ 40,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อให้การดำเนินงานยังคงทำกำไรได้ในระยะยาว หากราคาต่ำกว่านั้น อาจจะต้องเผชิญความท้าทายอย่างหนัก
—
**บทสรุปและคำแนะนำสำหรับนักลงทุน: อย่า “โลภ” จนมองข้าม “ความเสี่ยง”**
ไม่ว่าจะ `halving bitcoin วันไหน` หรือจะเกิดอะไรขึ้นกับราคาหลังฮาล์ฟวิ่งก็ตาม ปรากฏการณ์ Bitcoin Halving เป็นกลไกที่สำคัญที่สุดที่แสดงให้เห็นถึง “นโยบายการเงินตามธรรมชาติ” ของบิตคอยน์ ที่ถูกฝังอยู่ในรหัสมาตั้งแต่แรกเริ่ม เพื่อสร้างความขาดแคลนและรักษามูลค่าในระยะยาว ซึ่งนี่คือหัวใจสำคัญที่ทำให้บิตคอยน์แตกต่างจากสกุลเงินทั่วไป และได้รับการยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ ในฐานะ “ทองคำดิจิทัล” หรือสินทรัพย์ปลอดภัยในยุคใหม่ เห็นได้จากทั้งการยอมรับของบริษัทเอกชนอย่าง Tesla (เทสลา), MicroStrategy (ไมโครสตราเทจี) รวมถึงการเข้ามาของสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่
อย่างไรก็ตาม ผมขอเน้นย้ำเรื่อง “ความเสี่ยง” ให้ฟังชัดๆ เลยนะครับ แม้สถิติในอดีตจะดูสวยหรูแค่ไหน แต่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมีความผันผวนสูงมาก ราคาอาจพุ่งขึ้นแรง หรือร่วงลงแรงก็เป็นไปได้ทั้งนั้นครับ
**คำแนะนำสำหรับนักลงทุน:**
1. **ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด:** อย่าเชื่อเพียงกระแสหรือคำบอกเล่า ควรทำความเข้าใจในสินทรัพย์ที่คุณจะลงทุนอย่างถ่องแท้
2. **ลงทุนด้วย “เงินเย็น” เท่านั้น:** นี่คือเงินที่คุณสามารถเสียได้โดยไม่กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ห้ามนำเงินร้อน เงินกู้ หรือเงินที่จำเป็นต้องใช้มาลงทุนเด็ดขาด!
3. **บริหารความเสี่ยง:** กำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) และจุดทำกำไร (Take Profit) ที่ชัดเจน อย่าปล่อยให้ความโลภครอบงำ
4. **กระจายความเสี่ยง:** อย่าทุ่มเงินทั้งหมดไปที่สินทรัพย์เดียว
5. **อย่าตื่นตระหนก:** ตลาดคริปโทฯ มีข่าวลือและความผันผวนสูง การตัดสินใจด้วยอารมณ์มักนำไปสู่การขาดทุน
บิตคอยน์ ฮาล์ฟวิ่ง อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ หรืออาจเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งในหลายๆ ปัจจัยที่ขับเคลื่อนตลาดก็ได้ครับ สิ่งสำคัญที่สุดคือการเตรียมตัวให้พร้อม มีสติ และลงทุนอย่างมีวิจารณญาณ เพราะโลกการเงินดิจิทัลนั้นน่าตื่นเต้นเสมอครับ แต่ก็เต็มไปด้วยความท้าทายเช่นกัน!