
เพื่อนสนิทอย่าง ‘น้องมีน’ ทักมาถามเมื่อเช้านี้ว่า “พี่คะ บิทคอยน์ เล่นยังไง pantip หนูเห็นคนพูดถึงเยอะมากเลย นี่มันคืออะไร แล้วหนูจะลงทุนกับมันได้จริงเหรอคะ?” คำถามนี้ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่า หลายคนคงอยากรู้เรื่องนี้เหมือนกัน เพราะชื่อของ ‘บิทคอยน์’ (Bitcoin) กับ ‘คริปโทเคอร์เรนซี’ (Cryptocurrency) ตอนนี้ดังกระหึ่มไปทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในวงการการเงินเท่านั้น แต่เริ่มแทรกซึมเข้ามาในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งจากข่าวราคาที่พุ่งพรวด ข่าวความเสียหายจากการถูกหลอก หรือแม้แต่ข่าวที่บอกว่าเราใช้บิทคอยน์ซื้อของได้แล้วในบางที่ สำหรับคนส่วนใหญ่ที่คุ้นเคยกับการฝากเงินธนาคารหรือเล่นหุ้น การมาถึงของบิทคอยน์อาจดูเป็นเรื่องไกลตัว หรือบางทีก็ซับซ้อนจนงง แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับเจ้าบิทคอยน์แบบเจาะลึก แต่เข้าใจง่าย เหมือนชวนเพื่อนมานั่งคุยกาแฟกันเลย
ก่อนอื่น มาทำความรู้จักกับพระเอกของเราอย่าง ‘บิทคอยน์’ กันก่อน เจ้าสิ่งนี้ไม่ได้เป็นธนบัตรจับต้องได้ ไม่ได้เป็นเหรียญโลหะ และก็ไม่ได้มีธนาคารกลางหรือรัฐบาลไหนเป็นคนผลิตหรือควบคุมเด็ดขาดเหมือนสกุลเงินที่เราใช้กันทุกวัน ความพิเศษของบิทคอยน์คือมันเป็น “สกุลเงินดิจิทัล” ที่ทำงานอยู่บนระบบที่เรียกว่า “บล็อกเชน” (Blockchain) ลองจินตนาการว่าบล็อกเชนคือสมุดบัญชีขนาดใหญ่ยักษ์ที่ทุกคนในเครือข่ายสามารถเข้าถึงและตรวจสอบการทำธุรกรรมได้พร้อมกัน ทำให้ทุกอย่างโปร่งใส ปลอดภัย และปลอมแปลงได้ยากมาก ๆ ครับ บิทคอยน์ถูกสร้างขึ้นมาเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลชนิดแรกของโลกในปี 2009 โดยนามแฝงว่า ‘ซาโตชิ นากาโมโตะ’ (Satoshi Nakamoto) และที่น่าสนใจคือมันมีจำนวนจำกัดแค่ 21 ล้านเหรียญทั่วโลกเท่านั้น ซึ่งความจำกัดนี้เองที่ทำให้หลายคนมองว่ามันมีคุณสมบัติคล้าย ‘ทองคำดิจิทัล’ เพราะยิ่งมีน้อย ยิ่งมีมูลค่าในระยะยาวตามหลักเศรษฐศาสตร์ง่าย ๆ คืออุปสงค์และอุปทานนั่นเองครับ ปัจจุบันบิทคอยน์ถูกนำไปใช้ประโยชน์หลากหลาย ตั้งแต่การเก็งกำไรและลงทุน ไปจนถึงการใช้ซื้อสินค้าและบริการจริง ๆ ในหลายประเทศ อย่างในไทยเองก็เริ่มมีการนำไปใช้จ่ายค่าเล่าเรียน หรือค่าสินค้าและบริการบางประเภทบ้างแล้ว แต่ในอีกด้านหนึ่ง บิทคอยน์ก็ถูกพูดถึงในแง่ลบอยู่บ้าง เช่น ถูกนำไปใช้ในการเรียกค่าไถ่จากมัลแวร์เรียกค่าไถ่ หรือ ‘แรนซัมแวร์’ (Ransomware) ซึ่งก็เป็นอีกมุมที่นักลงทุนควรทราบไว้

แล้วถ้าอยากได้บิทคอยน์มาครอบครอง ต้องทำยังไงล่ะ? หลัก ๆ แล้วมีอยู่สองวิธีใหญ่ ๆ ที่นักลงทุนส่วนใหญ่นิยมกันครับ วิธีแรกคือ “การขุดบิทคอยน์” (Bitcoin Mining) หรือในทางเทคนิคเรียกว่า ‘การพิสูจน์ด้วยการลงแรง’ (Proof of Work) ฟังดูเหมือนต้องใช้พลั่ว ใช้แรงงานใช่ไหมครับ? จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลย แต่มันคือการใช้พลังประมวลผลของคอมพิวเตอร์ที่แรงสุด ๆ มาช่วยแก้สมการทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนเพื่อยืนยันการทำธุรกรรมและสร้างบล็อกข้อมูลใหม่ ๆ ในระบบบล็อกเชน คนที่แก้สมการได้ก่อนก็จะได้รับรางวัลเป็นเหรียญบิทคอยน์ไปครอบครอง ฟังดูน่าสนใจใช่ไหมครับ แต่เดี๋ยวนี้การขุดบิทคอยน์ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะครับ เพราะการแข่งขันสูงขึ้นมาก ต้องลงทุนในอุปกรณ์เฉพาะทางราคาสูงลิ่วอย่างเครื่อง ‘เอสิค’ (ASIC) หรือการ์ดจอประสิทธิภาพสูงหลายสิบตัว มาประกอบเป็น ‘แท่นขุด’ แถมยังต้องมีต้นทุนค่าไฟฟ้ามหาศาล เพราะเครื่องพวกนี้กินไฟเยอะมาก ทำให้ผลตอบแทนที่ได้จากการขุดมีความผันผวนสูงตามราคาบิทคอยน์ที่ขึ้นลง และตาม ‘ค่าความยาก’ (Difficulty) ในการขุดที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนบางทีคำนวณแล้วแทบไม่คุ้มกับค่าไฟเลยก็มี ถ้าคิดจะขุดจริงจัง ต้องศึกษาเรื่องการคืนทุนให้ดีนะครับ หรือถ้าไม่อยากลงทุนเครื่องเอง ก็มีทางเลือกอย่างการ ‘เช่าเครื่องขุด’ (Cloud Mining) ซึ่งก็คือการเช่ากำลังประมวลผลจากฟาร์มขุดขนาดใหญ่ โดยที่เราไม่ต้องมีอุปกรณ์เองนั่นเอง
ส่วนอีกวิธีที่ง่ายและเป็นที่นิยมกว่ามากสำหรับนักลงทุนทั่วไป คือ “การเทรดบิทคอยน์” (Bitcoin Trading) หรือก็คือการซื้อ-ขายบิทคอยน์บนแพลตฟอร์มของผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล คล้าย ๆ กับการซื้อขายหุ้นนั่นแหละครับ โดยมีจุดประสงค์เพื่อเก็งกำไรจากส่วนต่างราคาที่ขึ้นลงอย่างรวดเร็ว ขั้นตอนก็ไม่ซับซ้อน เริ่มจากการสมัครสมาชิกกับแพลตฟอร์มที่ได้รับอนุญาต อย่างในไทยก็มี ‘บิทคับ’ (Bitkub) ที่คุ้นหู หรือถ้าเป็นแพลตฟอร์มต่างประเทศก็มีอย่าง ‘ไบแนนซ์’ (Binance) หรือ ‘โมเนต้า มาร์เก็ตส์’ (Moneta Markets) ที่มีตัวเลือกหลากหลาย ขั้นตอนต่อมาคือการยืนยันตัวตนตามกฎหมาย (Know Your Customer: KYC) เพื่อความปลอดภัย จากนั้นก็โอนเงินบาทเข้าไปในบัญชีเทรด แล้วก็เริ่มซื้อขายบิทคอยน์ได้เลยครับ การเทรดบิทคอยน์นี้เหมาะกับคนที่ไม่ต้องการลงทุนกับอุปกรณ์การขุดมากมาย แต่ต้องยอมรับว่าตลาดคริปโทฯ มีความผันผวนสูงมาก ๆ ซึ่งเป็นดาบสองคมที่ทั้งสร้างโอกาสทำกำไรมหาศาล และก็สามารถทำให้ขาดทุนได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน เหมือนกับคุณวรเมธ จันทร์เสน ผู้เชี่ยวชาญจากเมอร์เคิล แคปปิตอล ก็เคยแนะนำว่า “การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง ควรลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้” ซึ่งเป็นคำแนะนำที่นักลงทุนทุกคนต้องจำให้ขึ้นใจเลยครับ
พูดถึงความผันผวนแล้ว ก็อยากจะเล่าถึงประสบการณ์ที่หลายคนอาจเจอคล้าย ๆ กัน เมื่อช่วงปี 2021 ที่ราคาบิทคอยน์พุ่งขึ้นไปสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้คนจำนวนมากแห่เข้ามาลงทุน เพราะเห็นเพื่อนรวย เห็นข่าวดี ๆ เต็มไปหมด แต่หลังจากนั้นไม่นาน ราคาก็ร่วงลงอย่างรวดเร็ว ทำให้หลายคนที่ซื้อไว้ตอนราคาสูง ๆ ต้อง “ติดดอย” หรือก็คือขาดทุนหนักจนต้องถือต่อแบบไม่รู้จบ เพราะขายตอนนี้ก็เจ็บใจ หรือบางคนซื้อมาไม่นาน ราคากำลังพุ่งขึ้นนิดหน่อยก็รีบขายทำกำไรไปก่อน แล้วพอมันพุ่งขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว ก็กลายเป็น “ขายหมู” หรือเสียดายโอกาสทำกำไรก้อนใหญ่ไปอย่างน่าเสียดาย สถานการณ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าตลาดคริปโทฯ ไม่ใช่เงินที่ได้มาง่าย ๆ หรือแค่ตามกระแสแล้วจะรวยได้เลย ผู้ลงทุนจำเป็นต้องศึกษา “กลไกตลาดคริปโท” ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ไม่ใช่แค่รู้ว่า บิทคอยน์ เล่นยังไง pantip แต่ต้องรู้ว่าปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลต่อราคา ทั้งข่าวสารเศรษฐกิจโลก นโยบายของประเทศต่าง ๆ การเข้ามาของสถาบันการเงินใหญ่ ๆ หรือแม้แต่การเคลื่อนไหวของ ‘วาฬ’ (Whale) หรือนักลงทุนรายใหญ่ที่ถือบิทคอยน์จำนวนมาก ก็มีผลต่อราคาได้ทั้งนั้น การฝึกดูกราฟ การทำความเข้าใจ ‘อินดิเคเตอร์’ (Indicator) ต่าง ๆ จะช่วยให้เราอ่านแนวโน้มตลาดและตัดสินใจได้ดีขึ้น ซึ่งผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน อย่างคุณพอล ภัทรพล ก็มักจะย้ำเตือนเสมอว่า “ความรู้คือสิ่งสำคัญที่สุดในการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง”

ข่าวดีสำหรับนักลงทุนชาวไทยก็คือ ประเทศไทยเรามีกฎหมายเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลออกมาแล้วนะครับ โดยมีสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ‘ก.ล.ต.’ เป็นผู้กำกับดูแล ซึ่งหมายความว่า หากคุณเลือกซื้อขายบิทคอยน์ผ่านแพลตฟอร์มที่ได้รับอนุญาตและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. อย่างเช่น บิทคับ คุณก็จะได้รับการคุ้มครองในระดับหนึ่ง ทำให้คุณสามารถลงทุนได้อย่างสบายใจมากขึ้น ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกหลอก หรือโดนแพลตฟอร์มปิดหนีไปเฉย ๆ เหมือนในอดีต นั่นเป็นเหตุผลที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยาเองก็ยังให้ข้อมูลและคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุนในบิทคอยน์กับประชาชน เพราะเล็งเห็นถึงความสำคัญของสินทรัพย์ประเภทนี้ และความจำเป็นที่ประชาชนจะต้องทำความเข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุน เพราะปัจจุบันนี้ บิทคอยน์ก็เริ่มถูกนำไปใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างที่บอกไปว่าโรงเรียนสอนดนตรีบางแห่งในไทยก็รับชำระค่าเรียนด้วยบิทคอยน์ได้แล้ว หรือในต่างประเทศก็มีร้านค้าและบริการอีกมากมายที่รับบิทคอยน์ ทำให้เห็นว่าสินทรัพย์ดิจิทัลเหล่านี้กำลังเข้ามามีบทบาทในระบบเศรษฐกิจอย่างแท้จริง
สรุปง่าย ๆ เลยนะครับ บิทคอยน์เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่น่าสนใจ มีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูง หากเราเข้าใจกลไกตลาดและบริหารจัดการความเสี่ยงเป็น แต่มันก็มาพร้อมกับความผันผวนและความเสี่ยงที่สูงลิ่วเช่นกัน ซึ่งข้อมูลและคำถามยอดฮิตว่า บิทคอยน์ เล่นยังไง pantip มักจะสะท้อนความอยากรู้ในเบื้องต้น แต่การลงทุนจริงจังนั้นซับซ้อนกว่านั้นมาก สิ่งสำคัญที่สุดคือ ‘ความรู้’ และ ‘การเข้าใจตัวเอง’ ครับ ก่อนจะกระโดดเข้าสู่โลกคริปโทฯ อันน่าตื่นเต้นนี้ ควรเริ่มต้นจากการศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน ศึกษาแพลตฟอร์มที่จะใช้ให้ดี เลือกที่ได้รับการรับรองจากทางการไทย และที่สำคัญที่สุดคือ ‘อย่าลงทุนเกินกว่าที่ตัวเองจะรับความเสียหายได้ไหว’ หากเงินก้อนนั้นเป็นเงินเก็บฉุกเฉิน หรือเงินที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน อาจไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมกับการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงเช่นนี้ การเริ่มต้นจากเงินน้อย ๆ ที่คุณยินดีจะเสียไป หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น จะทำให้คุณเรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกับตลาดได้อย่างมั่นคงและสบายใจกว่ากันเยอะเลยครับ ขอให้สนุกกับการศึกษาโลกการลงทุนดิจิทัลนะครับ!