คริปโตพลัส

ศูนย์รวมความรู้คริปโต เคล็ดลับลงทุน และอัปเดตราคาเหรียญแบบเรียลไทม์

สกุลเงินดิจิทัลและโทเคน

Compound มีอะไรบ้าง: ไขความลับคำประสม เพิ่มพูนศัพท์อังกฤษรอบตัว!

สวัสดีครับ/ค่ะ ท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน กลับมาพบกันอีกแล้วนะครับ/คะ กับคอลัมน์ที่จะพาไปเจาะลึกเรื่องราวรอบตัว ที่บางทีเราอาจมองข้ามไป เหมือนกับการลงทุนนั่นแหละครับ/ค่ะ ถ้าเรามองข้ามพื้นฐานบางอย่างไป อาจพลาดโอกาสดีๆ หรือเจอปัญหาได้

วันนี้ผม/ดิฉันไม่ได้จะมาชวนคุยเรื่องหุ้น กองทุน หรือคริปโตนะครับ/คะ แต่จะพาไป “ลงทุน” กับ “ภาษาอังกฤษ” ซึ่งเป็นเหมือนสินทรัพย์สำคัญในยุคนี้ ลองสังเกตไหมครับว่าในชีวิตประจำวัน เราเจอคำศัพท์ภาษาอังกฤษเยอะแยะไปหมดเลย บางคำก็ดูเหมือนเอาคำสองคำมารวมกัน แล้วกลายเป็นคำใหม่ที่มีความหมายเฉพาะ อย่างคำว่า “ice cream” หรือ “sunflower” เคยสงสัยไหมครับว่าคำพวกนี้มันคืออะไรกันแน่ แล้วเจ้า “compound” ที่เรากำลังจะคุยกันวันนี้ compound มีอะไรบ้าง ที่เราควรรู้?

ไอ้เจ้าคำพวกนี้แหละครับที่นักภาษาศาสตร์เขาเรียกว่า **คำประสม (Compound Words)** มันคือการนำคำตั้งแต่สองคำขึ้นไปมารวมกัน กลายเป็นคำใหม่ที่มีความหมายแตกต่างออกไป หรือมีความหมายที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นกว่าความหมายของคำแต่ละคำเดี่ยวๆ ที่เอามาผสมกันครับ คิดง่ายๆ เหมือนเราเอาวัตถุดิบสองอย่างมาผสมกันเพื่อทำอาหารจานใหม่นั่นแหละ วัตถุดิบเดิมอาจจะเป็นแค่ “น้ำแข็ง” (ice) กับ “ครีม” (cream) พอมาผสมกันปุ๊บ กลายเป็น “ไอศกรีม” ที่เราชอบกินกันซะอย่างนั้น!

แล้ววัตถุดิบ (คำ) ที่เอามาผสมกันนี่ จะเป็นคำชนิดไหนก็ได้นะครับ ไม่จำเป็นต้องเป็นคำนามเหมือนกันเสมอไป อาจจะเอาคำนามไปผสมกับคำกริยา คำวิเศษณ์ หรือแม้แต่คำบุพบทก็ได้ครับ ซึ่งการผสมคำนี่ก็มีหลายวิธีนะครับ ที่พบบ่อยๆ ก็คือการนำคำมาต่อกันดื้อๆ เลย (word compounding) หรือบางทีก็ผสมคำแบบให้มันกลืนๆ กันไปเลย (word blending) เหมือนคำว่า “staycation” ที่มาจาก “stay” กับ “vacation” กลายเป็นคำว่าการพักผ่อนอยู่บ้านนั่นแหละครับ หรือบางทีก็ยืมมาจากภาษาอื่นเลยก็มี

ทีนี้มาดูกันว่าไอ้เจ้า compound มีอะไรบ้าง ในแง่ของ “รูปแบบการเขียน” ครับ เหมือนเวลาเราจัดพอร์ตลงทุนก็มีหลายแบบใช่ไหมครับ คำประสมก็มีวิธีการเขียนหลายแบบเช่นกัน ตามข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาที่รวบรวมมาให้ดูกันวันนี้ เขาแบ่งออกเป็น 3 แบบหลักๆ ครับ คือ

แบบแรกคือ **เขียนติดกันไปเลย (Closed compound words)** ครับ แบบนี้ง่ายดี ไม่มีช่องว่าง ไม่มีเครื่องหมายอะไรคั่นเลย เหมือนเราเอาอิฐมาต่อกันแน่นๆ ครับ ตัวอย่างคำแบบนี้ที่เจอได้บ่อยๆ ก็เช่น **homework** (การบ้าน), **firefly** (หิ่งห้อย), **bedroom** (ห้องนอน), **sunflower** (ดอกทานตะวัน), **textbook** (หนังสือเรียน), **blackboard** (กระดานดำ), **moonlight** (แสงจันทร์), **seafood** (อาหารทะเล) พวกนี้ครับ เห็นคำปุ๊บ รู้เลยว่าเป็นคำใหม่ที่มีความหมายเฉพาะไปเลย ไม่ใช่คำสองคำแยกกัน

แบบที่สองคือ **เขียนแยกกัน (Open compound words)** ครับ อันนี้ดูเหมือนคำสองคำธรรมดาที่มีช่องว่างคั่น แต่จริงๆ แล้วพอเอามารวมกันมันทำหน้าที่เป็นคำเดียวที่มีความหมายเฉพาะนะครับ เหมือนกองทุนรวมที่เอาหุ้นหลายตัวมารวมกันแต่ก็ยังเห็นเป็นรายชื่อหุ้นอยู่ครับ ตัวอย่างที่คุ้นเคยก็เช่น **ice cream** (ไอศกรีม), **full moon** (พระจันทร์เต็มดวง), **taxi driver** (คนขับแท็กซี่), **post office** (ที่ทำการไปรษณีย์), **living room** (ห้องนั่งเล่น), **car park** (ที่จอดรถ), **bus stop** (ป้ายรถเมล์), **fish tank** (ตู้ปลา), **mother tongue** (ภาษาแม่), **office hours** (เวลาทำการ), **green tea** (ชาเขียว), **fast food** (อาหารจานด่วน) คำพวกนี้เวลาใช้ในประโยค มักจะทำหน้าที่เหมือนคำนามคำเดียว หรือคำคุณศัพท์คำเดียวไปเลยครับ

แบบที่สามคือ **ใช้เครื่องหมายยัติภังค์คั่น (Hyphenated compound words)** ครับ แบบนี้จะมีขีดเล็กๆ (-) มาคั่นระหว่างคำครับ ดูเหมือนจะยุ่งยากหน่อย แต่ก็มีเหตุผลในการใช้ครับ มักจะเจอในคำนามประสมบางประเภท หรือในคำคุณศัพท์ประสมที่สร้างขึ้นมาเพื่ออธิบายอะไรบางอย่างแบบเฉพาะเจาะจงครับ ตัวอย่างคำนามประสม เช่น **daughter-in-law** (ลูกสะใภ้), **merry-go-round** (ม้าหมุน), **passer-by** (ผู้สัญจรผ่าน) หรือคำที่สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นกริยาหรือคำนาม เช่น **check-in** (เช็คอิน), **take-off** (การบินขึ้น), **make-up** (เครื่องสำอาง/การแต่งหน้า), **break-through** (การพัฒนา/ความก้าวหน้า)

ส่วนคำคุณศัพท์ประสมที่ใช้ยัติภังค์ก็มีเยอะครับ ส่วนใหญ่จะใช้เมื่อเราเอาคำหลายๆ คำมารวมกันเพื่อขยายคำนามตัวเดียว เช่น **world-famous restaurant** (ร้านอาหารที่มีชื่อเสียงระดับโลก), **ten-minute delay** (ความล่าช้าสิบนาที), **seventeen-year-old girl** (เด็กผู้หญิงอายุสิบเจ็ดปี), **strong-willed child** (เด็กที่มีความตั้งใจแน่วแน่), **home-made cake** (เค้กทำเอง) พวกนี้ครับ คำที่ใช้ยัติภังค์คั่นจะทำหน้าที่เป็นหน่วยคำคุณศัพท์หน่วยเดียวครับ

ความท้าทายสำหรับคำประสมแบบเขียนติดกันและแบบใช้ยัติภังค์ก็คือ บางทีมันไม่มีกฎตายตัวร้อยเปอร์เซ็นต์ครับว่าเมื่อไหร่จะเขียนติดกัน เมื่อไหร่จะใช้ยัติภังค์ บางคำเมื่อก่อนอาจจะเขียนแยกกัน แล้วค่อยๆ กลายเป็นเขียนติดกันไป หรือบางคำใช้ยัติภังค์เฉพาะเมื่อทำหน้าที่เป็นคำคุณศัพท์ขยายคำนามเท่านั้น เหมือนกับการลงทุนในหุ้น บางทีก็ต้องอาศัยประสบการณ์ การอ่านข่าวสาร และการดูพจนานุกรมประกอบด้วยครับ

นอกจากรูปแบบการเขียนแล้ว compound มีอะไรบ้าง ในแง่ของ “โครงสร้าง” หรือชนิดของคำที่เอามาผสมกันบ้าง? โอ้โห อันนี้มีหลากหลายสูตรเลยครับ เหมือนเชฟมีวัตถุดิบเต็มตู้เย็นเลยครับ ลองดูตัวอย่างโครงสร้างหลักๆ นะครับ
* **นาม + นาม:** นี่คือสูตรเบสิกเลยครับ เอาคำนามสองคำมาต่อกัน ส่วนใหญ่คำหลังจะเป็นคำหลัก คำหน้าจะเป็นตัวขยายครับ เช่น **bedroom** (ห้องนอน), **newspaper** (หนังสือพิมพ์), **fish tank** (ตู้ปลา), **sunflower** (ดอกทานตะวัน), **football** (ฟุตบอล)
* **นาม + กริยา:** เอาคำนามมานำหน้ากริยาครับ เช่น **haircut** (การตัดผม), **sunset** (พระอาทิตย์ตก), **waterfall** (น้ำตก), **rainfall** (ปริมาณน้ำฝน)
* **กริยา + นาม:** เอาคำกริยามานำหน้าคำนามครับ ส่วนใหญ่คำกริยาจะอยู่ในรูป -ing ด้วยครับ เช่น **washing machine** (เครื่องซักผ้า), **swimming pool** (สระว่ายน้ำ), **sleeping pill** (ยานอนหลับ)
* **กริยา + กริยาวิเศษณ์/บุพบท:** เอาคำกริยามานำหน้าคำวิเศษณ์หรือบุพบท กลายเป็นคำนามใหม่ครับ เช่น **takeover** (การเข้าครอบครองกิจการ), **handout** (เอกสารแจก), **take-off** (การบินขึ้น), **make-up** (เครื่องสำอาง)
* **กริยาวิเศษณ์ + นาม:** เอาคำวิเศษณ์มานำหน้าคำนามครับ เช่น **onlooker** (ผู้ยืนดู), **bystander** (ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์แต่ไม่ได้เกี่ยวข้อง)
* **กริยาวิเศษณ์ + กริยา:** เอาคำวิเศษณ์มานำหน้ากริยา กลายเป็นคำนามใหม่ครับ เช่น **output** (ผลผลิต), **income** (รายได้), **upturn** (การดีดตัวขึ้น)
* **คุณศัพท์ + นาม:** เอาคำคุณศัพท์มานำหน้าคำนามครับ เช่น **gentleman** (สุภาพบุรุษ), **blackboard** (กระดานดำ), **greenhouse** (เรือนกระจก), **high school** (โรงเรียนมัธยมปลาย), **smartphone** (สมาร์ทโฟน), **fast food** (อาหารจานด่วน)
* **บุพบท + นาม:** เอาคำบุพบทมานำหน้าคำนามครับ เช่น **underworld** (โลกใต้ดิน), **underground** (ใต้ดิน/รถไฟฟ้าใต้ดิน), **inside** (ข้างใน), **outside** (ข้างนอก), **overpass** (สะพานลอย), **bypass** (ถนนเลี่ยงเมือง)
* **คุณศัพท์/กริยาวิเศษณ์/นาม + Participle (V.3 หรือ V.ing):** อันนี้เจอในคำคุณศัพท์ประสมบ่อยครับ เช่น **strong-willed** (ใจแข็ง/ตั้งใจแน่วแน่), **narrow-minded** (ใจแคบ), **highly esteemed** (ซึ่งได้รับการยกย่องอย่างสูง), **home-made** (ทำเอง), **good-looking** (หน้าตาดี), **far-reaching** (มีผลกระทบกว้างไกล)

จะเห็นว่าโครงสร้างมันซับซ้อนหลากหลายจริงๆ ครับ เหมือนพอร์ตลงทุนที่มีทั้งหุ้น พันธบัตร อสังหาฯ ผสมกันไปหมด แต่หลักการง่ายๆ ที่ช่วยจำได้คือ คำสุดท้ายมักจะเป็นตัวบอกว่าคำประสมนั้นเป็นคำชนิดไหน (เช่น เป็นคำนาม คำคุณศัพท์) และคำที่อยู่ข้างหน้ามักจะทำหน้าที่เป็นตัวขยายหรือให้ข้อมูลเพิ่มเติมครับ

นอกจากโครงสร้างและรูปแบบการเขียนแล้ว คำประสมก็ยังมี “หลักการเพิ่มเติม” ที่น่าสนใจอีกนะครับ เหมือนมีกฎเล็กๆ น้อยๆ ในการบริหารพอร์ตครับ
* **การทำให้เป็นพหูพจน์:** โดยทั่วไปแล้ว เวลาจะทำให้คำประสมเป็นพหูพจน์ เราจะเติม ‘s’ ที่ “คำหลัก” ครับ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นคำนามตัวแรก เช่น **daughters-in-law** (ลูกสะใภ้หลายคน มาจาก daughter-in-law), **full moons** (พระจันทร์เต็มดวงหลายดวง) แต่บางทีถ้าคำหลักมันไม่ใช่คำแรก ก็ไปเติมที่คำหลักที่อยู่ตรงกลาง หรือถ้าเป็นคำที่เขียนติดกันที่ไม่มีคำหลักชัดเจน ก็เติม ‘s’ ที่ท้ายสุดไปเลยครับ
* **การแสดงความเป็นเจ้าของ:** อันนี้ง่ายหน่อยครับ เหมือนกับการแสดงความเป็นเจ้าของคำนามทั่วไป คือเติม apostrophe s (’s) ที่ท้ายคำประสมนั้นไปเลยครับ เช่น **son-in-law’s car** (รถยนต์ของลูกเขย) แต่ถ้าคำประสมนั้นอยู่ในรูปพหูพจน์อยู่แล้ว มักจะเลี่ยงการใช้ ’s ครับ
* **การออกเสียง:** หลักการออกเสียงคำประสมที่สำคัญคือ โดยทั่วไปเราจะ “เน้นเสียง” (stress) ที่พยางค์แรกของคำประสมครับ เพื่อแยกมันออกจากวลีที่เป็นคำคุณศัพท์ขยายคำนาม ลองเปรียบเทียบดูนะครับ
* **’greenhouse** (กรีนเฮาส์ – เรือนกระจก) เน้นเสียงที่ green เป็นคำประสม
* **green ‘house** (กรีน เฮาส์ – บ้านสีเขียว) เน้นเสียงที่ house เป็นวลี คำคุณศัพท์ (green) ขยายคำนาม (house)
การเน้นเสียงต่างกัน ความหมายก็เปลี่ยนนะครับ เหมือนการเน้นน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์ต่างกัน ผลตอบแทนก็ต่างกันได้ครับ

เห็นไหมครับว่าแค่เรื่อง “คำประสม” เล็กๆ ในภาษาอังกฤษนี่ก็มีรายละเอียดเยอะแยะไปหมดเลย เหมือนโลกของการเงินที่มีผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์มากมายให้เรียนรู้เลยครับ การเข้าใจคำประสมช่วยให้เราเข้าใจความหมายของคำศัพท์ได้ลึกซึ้งขึ้น และช่วยให้เราใช้ภาษาได้อย่างถูกต้องและเป็นธรรมชาติมากขึ้นครับ

มีตัวอย่างคำประสมอีกเยอะมากในชีวิตประจำวันนะครับ เช่น **cupcake** (คัพเค้ก), **rainbow** (สายรุ้ง), **starfish** (ปลาดาว), **butterfly** (ผีเสื้อ), **raincoat** (เสื้อกันฝน), **fireman** (นักดับเพลิง), **jellyfish** (แมงกะพรุน), **seahorse** (ม้าน้ำ), **meatball** (ลูกชิ้น), **earring** (ต่างหู), **mailbox** (ตู้ไปรษณีย์), **snowman** (ตุ๊กตาหิมะ), **teapot** (กาน้ำชา), **armchair** (เก้าอี้เท้าแขน), **lipstick** (ลิปสติก), **airplane** (เครื่องบิน), **toothbrush** (แปรงสีฟัน), **watermelon** (แตงโม), **footpath** (ทางเท้า), **classroom** (ห้องเรียน) และอีกมากมายนับไม่ถ้วนครับ

สำหรับใครที่อยากเรียนรู้เพิ่มเติม หรืออยากฝึกฝนเรื่องคำศัพท์ภาษาอังกฤษและไวยากรณ์แบบสนุกๆ ก็มีแหล่งเรียนรู้และผู้ให้บริการด้านการศึกษาภาษาอังกฤษมากมายนะครับ อย่างข้อมูลที่นำมาให้ดูกันวันนี้ก็รวบรวมมาจากหลายแหล่งชั้นนำ เช่น Globish Kids, ELSA Speak, Engcouncil, Engduo Thailand, EF English Live, EngNow, Twinkl ซึ่งแต่ละที่ก็มีจุดเด่นและรูปแบบการสอนที่แตกต่างกันไปครับ

สรุปแล้ว คำประสม หรือ compound มีอะไรบ้าง? มันก็คือการรวมคำตั้งแต่สองคำขึ้นไปเพื่อสร้างคำใหม่นี่แหละครับ มีทั้งแบบเขียนติดกัน เขียนแยกกัน และแบบใช้ยัติภังค์ โครงสร้างก็หลากหลายตามชนิดของคำที่นำมาผสมกัน นอกจากนี้ยังมีหลักการเรื่องการทำเป็นพหูพจน์ การแสดงความเป็นเจ้าของ และการออกเสียงเฉพาะตัวอีกด้วย การเรียนรู้และสังเกตคำประสมเป็นเหมือนการเปิดประตูสู่คลังคำศัพท์ที่ใหญ่ขึ้น ช่วยให้เราเข้าใจภาษาอังกฤษได้ดียิ่งขึ้นครับ

เหมือนกับการลงทุนครับ การเข้าใจ “พื้นฐาน” ของสิ่งที่เรากำลังจะลงทุน ไม่ว่าจะเป็นหุ้น กองทุน หรือแม้แต่คำศัพท์ในภาษาอังกฤษ จะช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงในการเข้าใจผิด และเพิ่มโอกาสในการ “เติบโต” ในเรื่องนั้นๆ ครับ

ลองเอาหลักการเรื่องคำประสมไปลองสังเกตคำศัพท์ภาษาอังกฤษรอบตัวดูนะครับ รับรองว่าจะเจอคำเหล่านี้เยอะแยะไปหมดเลย

**⚠️ ข้อควรระวัง:** แม้ว่าจะมีหลักการทั่วไปเรื่องคำประสม แต่ก็มีข้อยกเว้นและความไม่แน่นอนอยู่บ้างครับ โดยเฉพาะเรื่องการเขียน (ติดกัน แยกกัน หรือใช้ยัติภังค์) ถ้าไม่แน่ใจ ทางที่ดีที่สุดคือการตรวจสอบจากพจนานุกรมภาษาอังกฤษที่น่าเชื่อถือครับ เหมือนกับการลงทุน ที่ก่อนตัดสินใจลงทุนอะไร ควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนเสมอครับ การใช้คำศัพท์ผิดรูปแบบอาจทำให้ความหมายคลาดเคลื่อนได้ครับ

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์และทำให้เรื่องคำประสมดูไม่น่าเบื่ออีกต่อไปนะครับ แล้วพบกันใหม่ในคอลัมน์ต่อไปครับ สวัสดีครับ/ค่ะ

LEAVE A RESPONSE