คริปโตพลัส

ศูนย์รวมความรู้คริปโต เคล็ดลับลงทุน และอัปเดตราคาเหรียญแบบเรียลไทม์

ความรู้คริปโตและวิเคราะห์ราคา

Web 3.0 คือ: คว้าอิสระคืน ข้อมูลไม่รั่วไหล ใครๆก็รวยได้?

เพื่อนผมคนหนึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ บ่นให้ฟังว่า “เฮ้ย แก สังเกตไหมว่าเดี๋ยวนี้เราคุยเรื่องอะไรกันในแชท อีกแป๊บเดียว โฆษณาเกี่ยวกับเรื่องนั้นมันโผล่มาในเฟซบุ๊กเต็มไปหมดเลย มันรู้ได้ไงวะเนี่ย?” เชื่อว่าหลายคนคงเคยเจอประสบการณ์คล้ายๆ กันใช่ไหมครับ รู้สึกเหมือนมีใครแอบฟังเราอยู่ตลอดเวลา แถมข้อมูลส่วนตัวของเราก็เหมือนจะไม่ได้เป็นของเราจริงๆ อีกต่อไป คำถามคือ แล้วมันจะมีทางไหนที่เราจะกลับมาเป็นเจ้าของข้อมูลของตัวเองได้อย่างเต็มที่บนโลกออนไลน์บ้างไหมนะ? คำตอบอาจจะอยู่ในคำว่า “Web 3.0” ที่เราเริ่มได้ยินกันหนาหูขึ้นเรื่อยๆ วันนี้เราจะมาคุยกันแบบง่ายๆ สบายๆ สไตล์คนอยากรู้ว่า web 3.0 คือ อะไรกันแน่ แล้วมันจะมาเปลี่ยนโลกอินเทอร์เน็ตและชีวิตเราไปได้ยังไงบ้าง

ก่อนจะไปถึง Web 3.0 เราคงต้องย้อนเวลากลับไปดูกันนิดนึงว่า อินเทอร์เน็ตที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้มันมีหน้าตาเป็นมายังไงบ้าง ลองนึกภาพตามนะครับ สมัยแรกเริ่มเลย ประมาณช่วงปี 1990s ถึงต้น 2000s เราเรียกยุคนั้นว่า Web 1.0 มันเหมือนห้องสมุดออนไลน์ขนาดใหญ่เลยครับ คือมีเว็บไซต์ต่างๆ ให้เราเข้าไปอ่านข้อมูลได้อย่างเดียว เหมือนเราเดินเข้าห้องสมุดไปหยิบหนังสือมาอ่าน แต่เราแก้ไขหรือเพิ่มเติมเนื้อหาอะไรในหนังสือเล่มนั้นไม่ได้ เว็บไซต์ส่วนใหญ่เป็นแบบนิ่งๆ (Static Web) ผู้ให้บริการเป็นคนสร้างเนื้อหา ส่วนเราเป็นแค่ผู้รับสารเท่านั้น การโต้ตอบแทบไม่มีเลย จำได้ไหมครับ เว็บไซต์ยุคแรกๆ ที่เราเข้าไปดูข้อมูลสินค้า หรืออ่านข่าวสารต่างๆ นั่นแหละครับคือ Web 1.0

พอมาถึงช่วงประมาณปี 2005 จนถึงปัจจุบัน เราก็ก้าวเข้าสู่ยุค Web 2.0 หรือยุคที่เรียกว่า “โซเชียลเว็บ” (Social Web) ยุคนี้อินเทอร์เน็ตเปลี่ยนไปเยอะเลยครับ มันไม่ใช่แค่การสื่อสารทางเดียวอีกต่อไป แต่กลายเป็นพื้นที่ที่เราทุกคนสามารถสร้างสรรค์เนื้อหา แบ่งปันเรื่องราว แสดงความคิดเห็น โต้ตอบกับคนอื่นๆ ได้อย่างอิสระ เกิดเป็นแพลตฟอร์มสังคมออนไลน์ที่เราคุ้นเคยกันดี ไม่ว่าจะเป็น Facebook, YouTube, Twitter, Instagram หรือ Wikipedia ที่เราเข้าไปแก้ไขข้อมูลได้ ทุกคนกลายเป็นทั้งผู้สร้างและผู้เสพคอนเทนต์ในเวลาเดียวกัน มันเหมือนงานปาร์ตี้ขนาดใหญ่ที่ทุกคนเข้ามาพูดคุย แลกเปลี่ยนกันอย่างสนุกสนาน แต่… ปัญหามันก็เริ่มเกิดตรงนี้แหละครับ ในงานปาร์ตี้นี้ แม้เราจะสนุกแค่ไหน แต่เจ้าของบ้าน (คือแพลตฟอร์มต่างๆ) กลับเป็นคนควบคุมทุกอย่าง ทั้งข้อมูลที่เราโพสต์ กิจกรรมที่เราทำ หรือแม้กระทั่งการนำข้อมูลของเราไปใช้ประโยชน์ทางธุรกิจ โดยที่เราอาจจะไม่รู้ตัวหรือไม่ได้รับความยินยอมอย่างแท้จริง นี่คือข้อจำกัดใหญ่ของ Web 2.0 ที่ทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำถามถึงความเป็นส่วนตัวและความเป็นเจ้าของข้อมูลที่แท้จริง

แล้ว web 3.0 คือ อะไรล่ะ? มันก็คือวิวัฒนาการขั้นต่อไปของอินเทอร์เน็ตที่กำลังก่อตัวขึ้นนี่แหละครับ แม้จะยังไม่เกิดขึ้นเต็มรูปแบบ แต่แนวคิดหลักของมันคือการสร้างอินเทอร์เน็ตที่ “ฉลาดขึ้น” และ “กระจายอำนาจมากขึ้น” ลองจินตนาการถึงอินเทอร์เน็ตที่ไม่ใช่แค่เชื่อมต่อผู้คน แต่ยังสามารถเข้าใจความหมายและบริบทของข้อมูลต่างๆ ได้ใกล้เคียงกับมนุษย์ ทำงานได้อัตโนมัติมากขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือ มันคืนอำนาจการควบคุมข้อมูลกลับมาสู่มือผู้ใช้งานอย่างเราๆ หัวใจสำคัญที่ทำให้แนวคิดนี้เป็นไปได้ก็คือเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI), บล็อกเชน (Blockchain), และ บิ๊กดาต้า (Big Data)

ทีนี้มาดูกันว่าคุณสมบัติเด่นๆ ของ Web 3.0 ที่เขาพูดถึงกันมีอะไรบ้าง อย่างแรกคือ การกระจายศูนย์ (Decentralization) อันนี้เป็นหัวใจหลักเลยครับ แทนที่ข้อมูลทุกอย่างจะถูกเก็บไว้บนเซิร์ฟเวอร์ของบริษัทใดบริษัทหนึ่งเหมือนใน Web 2.0 (เช่น ข้อมูล Facebook ก็อยู่กับ Meta, ข้อมูล Google Search ก็อยู่กับ Google) ใน Web 3.0 ข้อมูลจะถูกกระจายไปเก็บไว้ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่องทั่วโลก โดยใช้เทคโนโลยีอย่าง บล็อกเชน (Blockchain) ซึ่งเป็นเหมือนสมุดบัญชีดิจิทัลที่ทุกคนในเครือข่ายมีสำเนาและช่วยกันตรวจสอบความถูกต้อง ทำให้ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งสามารถควบคุมหรือแก้ไขข้อมูลได้ตามอำเภอใจ ผลก็คือ เราในฐานะผู้ใช้งาน จะสามารถควบคุมข้อมูลส่วนตัวของเราได้มากขึ้น ตัดสินใจได้เองว่าจะให้ใครเข้าถึงข้อมูลของเราได้บ้าง และอาจจะได้รับผลตอบแทนจากการให้ข้อมูลนั้นด้วยซ้ำ แทนที่จะให้แพลตฟอร์มเอาไปใช้ฟรีๆ เหมือนทุกวันนี้

คุณสมบัติที่สองคือ เว็บเชิงความหมาย (Semantic Web) ลองนึกภาพว่าปัจจุบัน เวลาเราค้นหาอะไรใน Google เรามักจะได้ผลลัพธ์เป็นลิงก์เว็บไซต์จำนวนมากที่เราต้องไปคลิกอ่านเอง แต่ใน Web 3.0 อินเทอร์เน็ตจะมีความสามารถในการ “เข้าใจ” ความหมายและความสัมพันธ์ของข้อมูลต่างๆ ได้ดีขึ้น มันจะสามารถวิเคราะห์บริบทและให้คำตอบที่ตรงประเด็นกับที่เราต้องการได้เลย เหมือนเราคุยกับผู้ช่วยส่วนตัวที่ฉลาดมากๆ ตัวอย่างเช่น แทนที่จะแค่หาคำว่า “ร้านอาหารไทย ใกล้ฉัน เปิดตอนนี้ ราคาไม่แพง” แล้วได้ลิงก์มาเป็นสิบๆ เว็บ Web 3.0 อาจจะประมวลผลแล้วตอบกลับมาเป็นชื่อร้านพร้อมเมนูแนะนำและรีวิวที่ตรงกับเงื่อนไขของเราที่สุดได้เลย ซึ่งเบื้องหลังความฉลาดนี้ก็คือเทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ (AI) นั่นเองครับ AI ใน Web 3.0 จะสามารถอ่าน ตีความ และเข้าใจข้อมูล รวมถึงอารมณ์ความรู้สึกที่แฝงอยู่ในข้อความหรือรูปภาพได้ ทำให้การบริการต่างๆ บนโลกออนไลน์มีความเฉพาะเจาะจงกับผู้ใช้แต่ละคน และมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด

อีกคุณสมบัติคือ ความครอบคลุม (Ubiquity) หมายถึงอินเทอร์เน็ตจะเข้าถึงได้จากทุกที่ ทุกเวลา และจากอุปกรณ์ที่หลากหลายมากขึ้น ไม่ใช่แค่คอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟน แต่อาจรวมถึงอุปกรณ์ IoT (Internet of Things) ต่างๆ ในบ้าน รถยนต์ หรือแม้กระทั่งเสื้อผ้าที่เราใส่ การเชื่อมต่อจะรวดเร็วและครอบคลุมพื้นที่กว้างขวาง ทำให้ประสบการณ์ออนไลน์ของเราต่อเนื่องและไร้รอยต่อยิ่งขึ้น

หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วไอ้เทคโนโลยี บล็อกเชน (Blockchain) ที่พูดถึงบ่อยๆ มันมาเกี่ยวอะไรกับ web 3.0 คือ? ต้องบอกว่า บล็อกเชน (Blockchain) นี่แหละครับที่เป็นเหมือนกระดูกสันหลัง หรือโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของ Web 3.0 เลย เพราะคุณสมบัติเรื่องการกระจายศูนย์ (Decentralization) ความปลอดภัย และความโปร่งใสที่ Web 3.0 ต้องการนั้น บล็อกเชน (Blockchain) สามารถตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี มันคือเทคโนโลยีที่บันทึกข้อมูลแบบกระจายศูนย์ ทุกคนในเครือข่ายมีสำเนาข้อมูลชุดเดียวกัน การจะแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลต้องได้รับความเห็นชอบจากส่วนใหญ่ในเครือข่าย ทำให้ปลอมแปลงได้ยากมาก และทุกธุรกรรมที่เกิดขึ้นก็สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้

ด้วยความสามารถของ บล็อกเชน (Blockchain) นี่เอง ที่ทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เป็นส่วนสำคัญของระบบนิเวศ Web 3.0 ขึ้นมามากมาย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ:

* การเงินแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Finance หรือ DeFi): ลองนึกภาพระบบการเงินที่เราสามารถกู้ยืม, ฝาก, หรือแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลได้โดยตรงระหว่างกัน โดยไม่ต้องผ่านตัวกลางอย่างธนาคารหรือสถาบันการเงินแบบเดิมๆ ลดขั้นตอน ลดค่าธรรมเนียม และเปิดโอกาสให้คนเข้าถึงบริการทางการเงินได้มากขึ้น ทั้งหมดนี้ทำงานผ่านโปรแกรมที่เรียกว่า สัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) ซึ่งเป็นโค้ดคอมพิวเตอร์ที่ทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อเงื่อนไขที่กำหนดไว้บรรลุผล
* โทเค็นที่ไม่สามารถทดแทนกันได้ (Non-Fungible Token หรือ NFT): มันคือสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีลักษณะเฉพาะตัว ไม่สามารถทดแทนกันได้ เหมือนโฉนดที่ดินดิจิทัลที่ใช้ยืนยันความเป็นเจ้าของสินทรัพย์ต่างๆ บนโลกออนไลน์ได้ ไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะ, ไอเทมในเกม, เพลง, หรือแม้กระทั่งทวีต NFT กำลังสร้างรูปแบบเศรษฐกิจใหม่ที่ศิลปินและผู้สร้างสรรค์สามารถขายผลงานและรับผลตอบแทนได้โดยตรง

ฟังดูแล้ว Web 3.0 เหมือนจะมีแต่ข้อดีใช่ไหมครับ? มันช่วยแก้ปัญหาเรื่องความเป็นส่วนตัวและการผูกขาดอำนาจของแพลตฟอร์มใหญ่ๆ ในยุค Web 2.0 ทำให้ผู้ใช้งานอย่างเรามีอำนาจต่อรองและควบคุมข้อมูลตัวเองได้มากขึ้น สร้างความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสด้วย บล็อกเชน (Blockchain) ลดบทบาทของตัวกลางที่ไม่จำเป็น และเปิดประตูสู่โอกาสทางนวัตกรรมและเศรษฐกิจใหม่ๆ อีกมหาศาล

แต่เดี๋ยวก่อน! เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ Web 3.0 เองก็มีความท้าทายและข้อจำกัดอยู่เหมือนกันครับ อย่างแรกเลยคือ ความซับซ้อนทางเทคนิค เทคโนโลยีพื้นฐานอย่าง บล็อกเชน (Blockchain) หรือ คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ยังค่อนข้างใหม่และซับซ้อนสำหรับคนทั่วไป การจะใช้งานหรือทำความเข้าใจมันต้องอาศัยความรู้ทางเทคนิคในระดับหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการนำไปใช้อย่างแพร่หลายในช่วงแรก

ประการที่สองคือ ความเร็วในการทำธุรกรรม เครือข่าย บล็อกเชน (Blockchain) บางประเภท โดยเฉพาะรุ่นแรกๆ อาจจะยังมีความเร็วในการประมวลผลธุรกรรมที่ช้ากว่าระบบรวมศูนย์แบบเดิมๆ อยู่บ้าง แม้ว่าจะมีเทคโนโลยีใหม่ๆ พยายามเข้ามาแก้ปัญหานี้ แต่ก็ยังเป็นประเด็นที่ต้องพัฒนาต่อไป

ประการที่สามคือ ความผันผวนของราคา สินทรัพย์ดิจิทัลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Web 3.0 เช่น คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) หรือ NFT มีความผันผวนของราคาสูงมาก การลงทุนในสินทรัพย์เหล่านี้จึงมีความเสี่ยงสูงตามไปด้วย เหมือนกับที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนมักจะเตือนเสมอว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน

และประการสุดท้ายคือ กฎระเบียบและข้อกฎหมาย เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่ค่อนข้างใหม่ กฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ ที่จะเข้ามากำกับดูแล Web 3.0, DeFi, หรือ NFT ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและมีความไม่แน่นอนสูงในหลายประเทศ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนาและการยอมรับในวงกว้างได้

แล้วเราในฐานะผู้ใช้งานทั่วไป หรือแม้แต่นักลงทุน ควรจะมองเรื่อง web 3.0 คือ อย่างไรดี? ผมคิดว่าสิ่งสำคัญคือการเปิดใจเรียนรู้และทำความเข้าใจแนวคิดพื้นฐานของมันก่อนครับ Web 3.0 ไม่ใช่แค่กระแสแฟชั่น แต่มันคือทิศทางของเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตในอนาคตที่มีศักยภาพจะเปลี่ยนแปลงวิธีที่เราใช้ชีวิต ทำงาน และทำธุรกรรมบนโลกออนไลน์ไปอย่างสิ้นเชิง มันอาจจะยังไม่สมบูรณ์แบบ ยังมีจุดที่ต้องพัฒนาอีกมาก แต่แนวคิดเรื่องการกระจายอำนาจ การคืนความเป็นเจ้าของข้อมูลให้ผู้ใช้ และการสร้างความโปร่งใส เป็นสิ่งที่น่าสนใจและน่าจับตามองอย่างยิ่ง

สำหรับใครที่สนใจจะเข้าไปมีส่วนร่วมในโลกของ Web 3.0 ไม่ว่าจะในฐานะผู้ใช้งาน ผู้สร้าง หรือนักลงทุน อาจจะต้องเริ่มต้นจากการศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมให้เข้าใจอย่างถ่องแท้เสียก่อน ลองเข้าไปใช้งานแอปพลิเคชันกระจายศูนย์ (dApps) บางตัว หรือศึกษาเกี่ยวกับ DeFi และ NFT อย่างระมัดระวัง

⚠️ หากคิดจะลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลที่เกี่ยวข้องกับ Web 3.0 ต้องตระหนักเสมอว่ามีความเสี่ยงสูงและราคาผันผวนมาก ควรลงทุนด้วยเงินเย็นที่พร้อมจะสูญเสียได้ และควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดถี่ถ้วน หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ อย่าเพิ่งกระโดดเข้าไปตามกระแสเพียงเพราะกลัวจะตกรถไฟนะครับ การทำความเข้าใจพื้นฐานและประเมินความเสี่ยงอย่างรอบคอบคือสิ่งสำคัญที่สุดในการรับมือกับคลื่นลูกใหม่ที่ชื่อว่า Web 3.0 นี้ครับ

LEAVE A RESPONSE