คริปโตพลัส

ศูนย์รวมความรู้คริปโต เคล็ดลับลงทุน และอัปเดตราคาเหรียญแบบเรียลไทม์

สกุลเงินดิจิทัลและโทเคน

USDT vs USDC: เลือกเหรียญ Stablecoin ให้ตรงใจ ปลอดภัย มั่นคง!

ช่วงนี้ข่าวคริปโทฯ มาแรงแซงทางโค้งจริงๆ นะคะ เพื่อนๆ รอบตัวหลายคนเริ่มหันมาสนใจอยากจะลองเข้ามาดูบ้าง แต่พอเริ่มศึกษาเท่านั้นแหละค่ะ โอ้โห! ศัพท์แสงอะไรเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็น Bitcoin, Ethereum, NFT, DeFi แถมยังมี Stablecoin อีกที่เป็นหัวข้อที่หลายคนถามถึงบ่อยๆ โดยเฉพาะสองตัวที่ฮิตสุดๆ ในตลาดอย่าง **usdt vs usdc** เอ๊ะ สองตัวนี้มันคืออะไร แล้วทำไมถึงสำคัญนักหนา วันนี้ในฐานะคนที่พอจะคลุกคลีกับเรื่องพวกนี้มาบ้าง จะขอเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆ สไตล์คนกันเองนะคะ

ลองนึกภาพตามนะคะ เวลาเราจะซื้อขายแลกเปลี่ยนอะไรในโลกคริปโทฯ เนี่ย ค่าเงินมันผันผวนเก่งมากๆ บางวันขึ้นแรง บางวันตกฮวบ เราจะเอา Bitcoin ไปซื้อกาแฟพรุ่งนี้ก็ไม่รู้ว่าราคาจะเปลี่ยนไปแค่ไหน หรือจะเอา Ethereum ไปจ่ายค่าบริการออนไลน์สัปดาห์หน้าก็ไม่แน่ใจว่ามันจะยังมูลค่าเท่าเดิมไหม ปัญหานี้แหละค่ะที่ทำให้เกิดสิ่งเรียกว่า Stablecoin (สเตเบิลคอยน์) ขึ้นมา พูดง่ายๆ คือมันถูกออกแบบมาให้เหมือน “เงินดิจิทัลเวอร์ชันนิ่งๆ” ที่พยายามตรึงมูลค่าตัวเองไว้ให้ใกล้เคียงกับสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูงๆ ค่ะ ที่นิยมที่สุดก็คือการตรึงค่าไว้กับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แบบ 1 ต่อ 1 เหมือนมีเงินดอลลาร์อยู่ในกระเป๋าตังค์ดิจิทัลของเรานี่แหละค่ะ ไม่ใช่แค่ดอลลาร์นะคะ บางทีก็ตรึงกับทองคำ หรือตะกร้าสกุลเงินอื่นๆ ก็มี แต่ที่ดังและเป็นที่รู้จักทั่วโลก ส่วนใหญ่ก็คือตัวที่อ้างอิงกับเงินดอลลาร์นี่แหละค่ะ

แล้ว Stablecoin มันสำคัญยังไงล่ะ? คิดดูสิคะ ถ้าเราอยากจะย้ายเงินจาก Bitcoin ไปเก็บไว้ก่อนช่วงที่ตลาดผันผวนมากๆ ถ้าไม่มี Stablecoin เราก็ต้องแปลง Bitcoin เป็นเงินบาท (เงินเฟียต) เข้าบัญชีธนาคารก่อน แล้วถ้าจะกลับมาซื้อคริปโทฯ อีกทีก็ต้องโอนเงินบาทกลับมา ซึ่งมันเสียเวลา เสียค่าธรรมเนียม และอาจจะพลาดโอกาสได้ค่ะ แต่ถ้าเรามี Stablecoin อย่าง **usdt** หรือ **usdc** เราก็แค่แปลง Bitcoin เป็น Stablecoin เหล่านี้ทันทีได้เลย มูลค่ามันก็จะนิ่งๆ เหมือนเงินดอลลาร์เก็บไว้ในโลกคริปโทฯ พอตลาดนิ่ง หรือมีโอกาสดีๆ เราก็ค่อยเอา Stablecoin นี่แหละไปซื้อคริปโทฯ ตัวอื่นต่อได้เลย สะดวก รวดเร็ว ค่าธรรมเนียมการโอนระหว่าง Stablecoin หรือระหว่าง Stablecoin กับคริปโทฯ อื่นๆ ก็มักจะต่ำกว่าการโอนเงินเฟียตเยอะเลยค่ะ นอกจากนี้ Stablecoin ยังมีบทบาทสำคัญในโลกของการเงินแบบไร้ตัวกลาง หรือ DeFi (ดีไฟแนนซ์) ด้วยนะคะ เช่น เอาไปปล่อยกู้เพื่อรับดอกเบี้ย หรือเอาไปล็อคไว้ (Staking) เพื่อรับผลตอบแทนต่างๆ ได้อีกด้วยค่ะ เป็นเหมือนสะพานเชื่อมระหว่างโลกคริปโทฯ ที่ผันผวน กับความมั่นคงที่อ้างอิงจากเงินดอลลาร์ค่ะ

ทีนี้เรามาเจาะลึกที่สองตัวเอกของเรากันบ้าง เริ่มที่รุ่นพี่ในวงการก่อนเลยนะคะ นั่นคือ **USDT** หรือชื่อเต็มๆ คือ Tether ค่ะ เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2014 นู่นนน โดยบริษัทชื่อ Tether Limited เป็นเจ้าแรกๆ เลยที่บุกเบิก Stablecoin ในตลาดคริปโทฯ ค่ะ ด้วยความที่เป็นเจ้าแรกๆ แถมยังอยู่มานาน ทำให้ **usdt** มีขนาดใหญ่ที่สุดในตลาด Stablecoin ค่ะ มูลค่าตลาด (Market Cap) นี่มหาศาลมากๆ ทำให้มีสภาพคล่อง (Liquidity) สูงสุดๆ พูดง่ายๆ คืออยากจะซื้อจะขาย **usdt** เท่าไหร่ก็หาคู่ซื้อขายได้ง่าย มีคนพร้อมจะแลกเปลี่ยนกับเราตลอดเวลาค่ะ นี่จึงเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ **usdt** เป็นที่นิยมมากๆ ในหมู่นักเทรด (Trader) ที่ต้องการความรวดเร็วในการซื้อขาย เปลี่ยนคริปโทฯ ไปมาบน Exchange (กระดานเทรด) ต่างๆ ทั่วโลก แถม **usdt** ยังรองรับบล็อกเชน (Blockchain) หลายตัวมากๆ ค่ะ ทั้ง Ethereum, TRON, Binance Smart Chain และอื่นๆ อีกเพียบ ทำให้การโอนย้ายข้ามแพลตฟอร์มค่อนข้างสะดวกค่ะ การมีประวัติยาวนานกว่าก็เป็นข้อได้เปรียบในแง่การยอมรับในวงกว้างค่ะ

แต่เหรียญย่อมมีสองด้านค่ะ สำหรับ **usdt** เรื่องที่ถูกพูดถึงและเป็นประเด็นมาตลอดก็คือเรื่อง “ความโปร่งใสของทุนสำรอง” ค่ะ Tether Limited อ้างว่า **usdt** ทุกเหรียญถูกหนุนหลังด้วยสินทรัพย์มูลค่าเท่ากับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แบบ 1 ต่อ 1 เป๊ะๆ ซึ่งสินทรัพย์สำรองนี้ประกอบไปด้วย เงินสด หลักทรัพย์ระยะสั้น และสินทรัพย์ทางการเงินอื่นๆ อีกหลากหลายประเภทค่ะ ปัญหาคือในอดีตและแม้กระทั่งปัจจุบัน ก็ยังมีความคลุมเครือว่าสินทรัพย์สำรองเหล่านั้นมันมีอยู่จริงตามที่อ้างไหม หรือมีคุณภาพดีพอที่จะรักษามูลค่า 1 ดอลลาร์ได้ตลอดรึเปล่า เคยมีประวัติโดนหน่วยงานกำกับดูแลปรับเงินในปี 2021 จากการให้ข้อมูลเรื่องทุนสำรองที่อาจทำให้เข้าใจผิดได้ค่ะ เรื่องนี้แหละที่เป็นเหมือน “เงา” ที่ตามหลอกหลอน **usdt** มาตลอด ทำให้บางคน โดยเฉพาะสถาบันใหญ่ๆ หรือนักลงทุนที่เน้นความปลอดภัยสูง อาจจะยังมีความกังวลและเลือกที่จะมองหา Stablecoin ตัวอื่นที่โปร่งใสกว่าค่ะ

มาดูรุ่นน้องที่มาแรงกันบ้าง นั่นคือ **USDC** หรือชื่อเต็มๆ คือ USD Coin ค่ะ ตัวนี้พัฒนาขึ้นมาในปี 2018 โดยบริษัทใหญ่สองบริษัทในวงการคริปโทฯ เลยค่ะ คือ Circle (บริษัท เซอร์เคิล) และ Coinbase (บริษัท คอยน์เบส) ภายใต้ความร่วมมือที่เรียกว่า Centre Consortium (เซ็นเทอร์ คอนซอร์เทียม) ถ้าถามว่า **usdc** เน้นเรื่องอะไร คำตอบคือ “ความโปร่งใส การปฏิบัติตามกฎระเบียบ และความปลอดภัย” ค่ะ จุดเด่นของ **usdc** คือเขาเคลมชัดเจนว่าแต่ละเหรียญถูกหนุนหลังด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นแบบ 1 ต่อ 1 เป๊ะๆ เหมือนกัน แต่ที่ต่างออกไปคือสินทรัพย์สำรองเหล่านี้ถูกเก็บไว้ใน “สถาบันการเงินที่ได้รับการกำกับดูแลในประเทศสหรัฐอเมริกา” ค่ะ แถมยังมีการตรวจสอบบัญชี (Audit) โดยบริษัทบัญชีอิสระเป็นประจำทุกเดือน เพื่อยืนยันว่าทุนสำรองมีอยู่จริงตามจำนวน **usdc** ที่หมุนเวียนอยู่ในตลาดค่ะ เรื่องนี้ทำให้ **usdc** ได้รับความน่าเชื่อถือในด้านความโปร่งใสมากกว่า **usdt** อย่างเห็นได้ชัดค่ะ เหมือนเราได้เห็นใบเสร็จรับรองชัดเจนว่าเงินสำรองมีอยู่ตรงไหน ยังไงบ้างค่ะ

ด้วยความที่เน้นเรื่องกฎระเบียบและความโปร่งใส ทำให้ **usdc** เติบโตเร็วมากและเป็นที่นิยมในกลุ่มธุรกิจ สถาบันการเงิน และแพลตฟอร์ม DeFi ที่ต้องการ Stablecoin ที่มีความน่าเชื่อถือสูงค่ะ การทำธุรกรรมด้วย **usdc** ก็รวดเร็วและมีค่าธรรมเนียมต่ำเช่นกัน และยังรองรับบล็อกเชนหลักๆ หลายตัวเหมือนกันค่ะ แม้ว่า **usdc** จะมีมูลค่าตลาดรวมยังน้อยกว่า **usdt** อยู่มาก แต่ปริมาณธุรกรรมในบางพื้นที่ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ถือว่าสูงมากๆ และมีการเติบโตของการยอมรับและการใช้งานที่เร็วกว่า **usdt** ในช่วงหลังๆ มานี้ค่ะ นอกจากนี้ สำหรับนักลงทุนรายย่อย การไถ่ถอน **usdc** (แปลง **usdc** กลับเป็นเงินดอลลาร์โดยตรงกับผู้ออก) ก็ทำได้ง่ายกว่า **usdt** ด้วยค่ะ เพราะ **usdc** มีข้อกำหนดขั้นต่ำในการไถ่ถอนค่อนข้างต่ำ (ประมาณ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ในขณะที่ **usdt** กำหนดขั้นต่ำสูงกว่ามาก (ประมาณ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ และมีค่าธรรมเนียมด้วย)

เอาล่ะ ทีนี้ถ้าจะเปรียบเทียบ **usdt vs usdc** แบบหมัดต่อหมัด เราลองมาดูทีละประเด็นนะคะ

**ขนาดและสภาพคล่อง:** ในเรื่องนี้ **usdt** ยังคงเป็นเบอร์หนึ่งแบบไม่เห็นฝุ่นค่ะ มูลค่าตลาดใหญ่กว่า ปริมาณการซื้อขายต่อวันสูงกว่ามากๆ เหมือนตลาดสดที่คึกคักสุดๆ มีคนซื้อขายเยอะแยะไปหมด ใครที่เน้นการเทรดบ่อยๆ ต้องการเข้าออกเร็วๆ สภาพคล่องสูงๆ เพื่อลดปัญหา Slippage (คือราคาที่เราคาดว่าจะซื้อขายได้จริงกับราคาที่เกิดขึ้นจริงในตลาดมันต่างกัน) **usdt** ก็ยังเป็นตัวเลือกที่เหนือกว่าค่ะ ในขณะที่ **usdc** ยังมีสภาพคล่องต่ำกว่าในภาพรวม แม้จะกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วค่ะ

**ความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือของทุนสำรอง:** อันนี้คือจุดที่ **usdc** กินขาดค่ะ ด้วยระบบการตรวจสอบบัญชีรายเดือนและการเปิดเผยข้อมูลทุนสำรองที่ชัดเจนกว่า ทำให้ **usdc** ได้รับความเชื่อมั่นในเรื่องนี้มากกว่า **usdt** ที่ยังมีคำถามและประเด็นในอดีตเรื่องความคลุมเครือของสินทรัพย์ที่ใช้หนุนหลังอยู่ค่ะ การที่ทุนสำรองของ **usdc** อยู่ในสถาบันการเงินที่ได้รับการกำกับดูแลในสหรัฐฯ ก็เพิ่มความน่าเชื่อถือไปอีกขั้นค่ะ

**การปฏิบัติตามกฎระเบียบ:** สืบเนื่องมาจากประเด็นความโปร่งใส **usdc** มีแนวโน้มที่จะปฏิบัติตามกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Stablecoin ได้ดีกว่า ทำให้เป็นที่ยอมรับในวงกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะจากหน่วยงานกำกับดูแลและสถาบันทางการเงินต่างๆ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยสำคัญในอนาคตเมื่อมีการออกกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนขึ้นสำหรับ Stablecoin ค่ะ **usdt** แม้จะพยายามปรับปรุงในเรื่องนี้ แต่ก็ยังมี “แผลเก่า” ที่ทำให้ถูกเพ่งเล็งอยู่ค่ะ

**ความเสถียรของการตรึงราคา (Peg):** ทั้งคู่ต่างก็มีเป้าหมายที่จะตรึงมูลค่าไว้ที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ แบบ 1:1 และส่วนใหญ่ก็ทำได้ค่ะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคย “หลุด Peg” เลยนะคะ เคยมีเหตุการณ์ที่มูลค่าของทั้ง **usdt** และ **usdc** หลุดจาก 1 ดอลลาร์ไปชั่วคราวเหมือนกันค่ะ ตัวอย่างที่ชัดเจนของ **usdc** คือตอนที่ธนาคารซิลิคอนวัลเลย์ (Silicon Valley Bank) ในสหรัฐฯ ประสบปัญหาเมื่อปี 2023 เนื่องจาก Circle มีเงินสดสำรองบางส่วนฝากไว้กับธนาคารนี้ ทำให้เกิดความกังวลและราคา **usdc** ร่วงลงไปต่ำกว่า 1 ดอลลาร์อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะฟื้นตัวกลับมาค่ะ เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าแม้จะดูปลอดภัย การผูกติดกับสถาบันการเงินก็มีความเสี่ยงในตัวเองเหมือนกันค่ะ

**ประวัติความเป็นมา:** ในแง่ความเก่าแก่ **usdt** เกิดก่อน **usdc** หลายปีค่ะ (ปี 2014 vs 2018) การมีประวัติยาวนานกว่าทำให้ **usdt** เป็นที่รู้จักและใช้งานอย่างแพร่หลายกว่าในอุตสาหกรรมคริปโทฯ มานานกว่าค่ะ

**สรุปแล้วจะเลือกใช้ตัวไหนดีระหว่าง usdt vs usdc?** ไม่มีคำตอบที่ตายตัวค่ะ ขึ้นอยู่กับว่าคุณให้ความสำคัญกับอะไรมากกว่ากัน เหมือนเราเลือกรถยนต์ค่ะ ถ้าเน้นความเร็ว แรง คล่องตัว ขับได้ทุกเส้นทางที่เต็มไปด้วยผู้คน สภาพคล่องสูงๆ ซื้อขายปุ๊บปั๊บ **usdt** ก็อาจจะตอบโจทย์คุณมากกว่าค่ะ มันเหมาะมากๆ สำหรับการเทรดระยะสั้น หรือการย้ายเงินไปมาระหว่าง Exchange ต่างๆ ที่ **usdt** มีคู่ซื้อขายเยอะแยะไปหมด

แต่ถ้าคุณเป็นคนที่เน้นความปลอดภัย ความโปร่งใส ตรวจสอบได้สบายใจ เน้นการเก็บรักษามูลค่า หรือจะนำไปใช้ในแพลตฟอร์ม DeFi ที่ต้องการความน่าเชื่อถือสูงๆ หรือคุณเป็นธุรกิจที่ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด **usdc** ก็จะโดดเด่นกว่าค่ะ เหมือนเราเลือกใช้บริการธนาคารที่มั่นคง มีการตรวจสอบบัญชีทุกเดือน บอกเราชัดเจนว่าเงินเราถูกเก็บไว้ที่ไหน **usdc** เหมาะสำหรับนักลงทุนระยะยาว หรือคนที่ต้องการความสบายใจสูงสุดค่ะ

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคุณจะเลือกใช้ **usdt** หรือ **usdc** สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่า Stablecoin ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ค่ะ อย่างที่บอกว่าเคยมีเหตุการณ์หลุด Peg มาแล้วทั้งคู่ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้อีกหากสินทรัพย์สำรองมีปัญหา หรือเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันกับสถาบันที่เกี่ยวข้องค่ะ นอกจากนี้ การที่มูลค่า Stablecoin ผูกกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ก็หมายความว่าคุณจะเผชิญกับความเสี่ยงจากค่าเงินดอลลาร์ด้วยค่ะ ถ้าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินบาท หรือสกุลเงินหลักอื่นๆ มูลค่าของ Stablecoin ในรูปเงินบาทของคุณก็จะลดลงตามไปด้วยค่ะ และที่สำคัญที่สุดคือ ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบในอนาคตค่ะ เพราะหน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลกกำลังจับตามอง Stablecoin อย่างใกล้ชิด และอาจมีการออกกฎหมายหรือข้อบังคับใหม่ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการใช้งานได้ค่ะ

ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุนหรือใช้งาน Stablecoin ไม่ว่าจะเป็น **usdt** หรือ **usdc** หรือตัวอื่นๆ ก็ตาม แนะนำให้ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด ทำความเข้าใจความเสี่ยง และประเมินว่ามันเหมาะสมกับเป้าหมายการเงินและความเสี่ยงที่คุณรับได้หรือไม่นะคะ อย่าเพิ่งเชื่อตามคนอื่นไปหมดค่ะ การทำความเข้าใจด้วยตัวเอง (DYOR – Do Your Own Research) คือหัวใจสำคัญในโลกคริปโทฯ ค่ะ ขอให้ทุกคนโชคดีกับการเดินทางในโลกการเงินดิจิทัลนะคะ!

⚠️ การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง โปรดศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

LEAVE A RESPONSE