
เพื่อนๆ เคยได้ยินคำว่า “อัลฟ่า” (Alpha) ในวงการลงทุนกันบ้างไหมครับ? บางทีอาจจะเคยได้ยินคนพูดถึง “กองทุนที่ให้ผลตอบแทนอัลฟ่า” หรืออาจจะเคยเห็นชื่อเหรียญดิจิทัลที่ชื่อ ALPHA แล้วก็งงๆ ว่ามันคืออะไร เกี่ยวกันไหม? วันนี้ผมในฐานะคอลัมนิสต์การเงินสายชิลล์ จะชวนทุกคนมาทำความเข้าใจคำว่า “อัลฟ่า” ในมุมต่างๆ กันครับ รับรองว่าเข้าใจง่ายเหมือนคุยกับเพื่อนเลย
ลองนึกภาพตามนะครับ สมมติว่าปีนี้ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10% คุณลงทุนในกองทุนรวมกองหนึ่ง แล้วกองทุนนั้นทำผลตอบแทนได้ 15% ไอ้ส่วนเกินมา 5% นี่แหละครับ ที่เราเรียกกันว่า “อัลฟ่า” พูดง่ายๆ อัลฟ่าคือ “ผลตอบแทนพิเศษ” ที่เก่งกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด หรือเก่งกว่าดัชนีที่เราใช้เปรียบเทียบ ถ้ากองทุนทำได้ 15% ขณะที่ตลาดได้แค่ 10% แสดงว่าผู้จัดการกองทุนมีความสามารถ (หรือโชค) ที่ทำให้ได้ “อัลฟ่าบวก” มา 5% แต่ถ้ากองทุนทำได้แค่ 8% แสดงว่าแย่กว่าตลาด ก็จะได้ “อัลฟ่าลบ” ไป 2% ครับ
ดังนั้นในโลกการลงทุน อัลฟ่า (Alpha) จึงเป็นตัวชี้วัดว่าใครเจ๋งกว่าตลาดแค่ไหน ถ้าใครหรือกองทุนไหนทำอัลฟ่าบวกได้สม่ำเสมอ ก็แสดงว่าคนนั้นมีฝีมือในการเลือกหุ้น การจับจังหวะ หรือกลยุทธ์อะไรบางอย่างที่เหนือกว่าคนทั่วไปในตลาดนั่นเองครับ
แต่คำว่า “อัลฟ่า” ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องการเงินการลงทุนแบบดั้งเดิมนะครับ ในยุคนี้ที่อะไรๆ ก็ต้องเร็ว ต้องมีประสิทธิภาพสูง คำนี้ถูกนำไปใช้ในวงกว้างขึ้น อย่างที่มีแนวคิดที่เรียกว่า “Alpha Pro” ซึ่งไม่ได้มองหาแค่อัลฟ่าในการลงทุน แต่หมายถึงการมองหา “ความเหนือกว่าค่าเฉลี่ย” หรือ “ประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม” ในทุกมิติของชีวิตและการทำงานเลยทีเดียว

เคยรู้สึกไหมครับว่าบางคนดูเหมือนจะทำอะไรได้เยอะแยะไปหมดในเวลาเท่าๆ กับเรา แถมยังดูไม่เครียดอีกต่างหาก? นี่แหละครับคือแนวคิดของ “Alpha Life” หรือชีวิตที่มีประสิทธิภาพสูงแต่ก็มีความสุขภายในด้วย มันคือการใช้เครื่องมือ เทคนิค หรือแนวคิดใหม่ๆ เพื่อให้เรา “Do more with less” (ทำน้อยลงแต่ได้ผลมากขึ้น) เช่น การจัดตารางชีวิตให้เป๊ะ การลองทำ Intermittent Fasting (การอดอาหารเป็นช่วงๆ) เพื่อสุขภาพ หรือการฝึกสติ (Mindfulness) เพื่อให้ใจนิ่งขึ้น บางคนก็ใช้แอปพลิเคชันช่วยจัดการชีวิตสารพัดอย่าง เช่น Trello, Slack, OneNote, Keep, Grammarly, LastPass เพื่อให้ชีวิตลื่นไหล ไม่ต้องมาเสียเวลาเรื่องหยุมหยิม ซึ่งทั้งหมดนี้ก็คือการสร้าง “อัลฟ่า” ให้กับชีวิตประจำวันของเรานั่นเอง
ไม่แค่ชีวิตส่วนตัวนะครับ ในโลกธุรกิจเองก็มี “Alpha Company” หรือองค์กรที่บริหารจัดการได้อย่างแข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพสูง บริษัทเหล่านี้ไม่ได้ใช้แค่ระบบเก่าๆ แบบ KPI หรือ Balanced Scorecard ที่เน้นการประเมินผลปลายทางอย่างเดียว แต่หันมาใช้หลักการบริหารสมัยใหม่ที่เน้นความยืดหยุ่น การทำงานร่วมกัน และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น Agile Development (การพัฒนาแบบคล่องตัว ทำทีละน้อยเน้นผลลัพธ์) หรือ OKRs (Objectives & Key Results – การตั้งเป้าหมายและผลลัพธ์หลักที่ชัดเจน) และการทำ Coaching (การโค้ช) เพื่อดึงศักยภาพของพนักงานออกมาสูงสุด การทำแบบนี้ก็เหมือนกับการสร้าง “อัลฟ่า” ให้กับองค์กร ทำให้บริษัทสามารถปรับตัวได้เร็ว แข่งขันได้ดีกว่าคู่แข่งที่เป็นแค่บริษัท “เบต้า” ทั่วไป
แล้วในฐานะนักลงทุนธรรมดาๆ อย่างเราล่ะ จะสร้าง “อัลฟ่า” ให้กับการลงทุนได้ยังไงในยุคที่เทคโนโลยีอย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น? ก็ต้องบอกว่าการหาอัลฟ่าในตลาดที่แข่งขันสูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายครับ เราต้องพยายามทำให้เงินของเราทำงานอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด และหนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการสร้าง “อัลฟ่า” ในระยะยาวก็คือ “ผลตอบแทนทบต้น” (Compound Interest) ที่ไอน์สไตน์เคยยกให้เป็น “สิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก” ครับ การลงทุนที่ได้ผลตอบแทนสม่ำเสมอแล้วปล่อยให้ผลตอบแทนนั้นไปสร้างผลตอบแทนต่อ จะเกิดพลังที่มหาศาลมากๆ ลองดูตัวอย่างระดับโลกอย่างปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่สร้างความมั่งคั่งมหาศาลจากการลงทุนใน Berkshire Hathaway โดยทำผลตอบแทนทบต้นได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายสิบปี นั่นคือตัวอย่างของ Alpha Investor ชั้นยอดที่ใช้พลังของการทบต้นสร้างความเหนือกว่าอย่างแท้จริง
ทีนี้วกกลับมาที่เรื่องเหรียญดิจิทัลกันบ้าง ในโลกของสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการ DeFi (Decentralized Finance – การเงินแบบกระจายศูนย์ ที่ไม่ต้องพึ่งสถาบันตัวกลางอย่างธนาคาร) ก็มีโปรเจกต์หนึ่งที่ใช้ชื่อว่า ALPHA เหมือนกันครับ อันนี้เป็นชื่อเฉพาะของตัวโปรโตคอลและเหรียญเลย ไม่ได้หมายถึงอัลฟ่าที่เป็นผลตอบแทนพิเศษโดยตรงซะทีเดียว แต่ชื่อโปรเจกต์อาจจะสื่อถึงความตั้งใจที่จะสร้างสิ่งที่ “เหนือกว่า” ในวงการ DeFi ก็เป็นได้

เหรียญ ALPHA หรือชื่อเต็มๆ คือ Alpha Finance Lab (อัลฟ่า ไฟแนนซ์ แล็บ) เป็นโปรโตคอล DeFi ที่น่าสนใจมากๆ เพราะเป็นฝีมือคนไทยนำโดยคุณทชา ปัญญาเนรมิตดี และคุณนิปุณ ปิติมานะอารี ซึ่งมีโปรไฟล์ไม่ธรรมดาเลยครับ โปรเจกต์นี้ทำงานแบบ Cross-chain (ทำงานข้ามเครือข่ายบล็อกเชนได้) รองรับทั้ง Ethereum และ Binance Smart Chain
ผลิตภัณฑ์หลักๆ ของ Alpha Finance Lab ก็จะเกี่ยวกับเรื่องการกู้ยืม (Lending) และ Yield Farming (การทำฟาร์มผลตอบแทน) พูดง่ายๆ คือเป็นแพลตฟอร์มที่ให้คนเอาเหรียญดิจิทัลมาปล่อยกู้ หรือมากู้ยืมไปทำฟาร์มเพื่อเพิ่มผลตอบแทน ที่เด่นคือมี Alpha Homora ที่เป็นแพลตฟอร์ม Yield Farming แบบมี Leverage (การใช้เงินกู้) เป็นแห่งแรกๆ ด้วยครับ โปรเจกต์นี้ยังใช้เทคโนโลยี Smart contract (สัญญาอัจฉริยะ) ที่มีความสามารถในการวิเคราะห์กลยุทธ์เพื่อสร้างผลกำไรสูงสุดและความเสี่ยงต่ำสุดได้ด้วยตัวเองอีกต่างหาก
เหรียญ ALPHA ที่เป็นชื่อเดียวกับโปรเจกต์นี้ ก็มีบทบาทสำคัญในระบบครับ ผู้ที่ถือเหรียญ ALPHA สามารถนำไป Staking (การวางเหรียญเพื่อรับรางวัล) เพื่อช่วยยืนยันธุรกรรมในระบบ หรือใช้เป็น Governance Token (เหรียญเพื่อการกำกับดูแล) มีสิทธิ์ในการออกข้อเสนอและโหวตทิศทางการพัฒนาของโปรเจกต์ในอนาคต การบริหารโครงการก็ใช้รูปแบบ Decentralized Autonomous Organization (DAO – องค์กรอัตโนมัติแบบกระจายศูนย์) ซึ่งหมายความว่าการตัดสินใจส่วนใหญ่จะมาจากชุมชนผู้ถือเหรียญนั่นเอง
สำหรับข้อมูลตลาดของเหรียญ ALPHA นั้น ตามข้อมูล ณ วันที่ 21 เมษายน 2564 (เน้นย้ำว่าเป็นข้อมูลในอดีตนะครับ ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลผันผวนสูงมาก) เหรียญ ALPHA มีอันดับมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ประมาณ 152 โดยมีมูลค่าตลาดรวมราว 345.57 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 10.82 พันล้านบาท ในตอนนั้นราคาเหรียญอยู่ที่ประมาณ 1.38 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 43.22 บาท ซึ่งถือว่าต่ำกว่าราคาสูงสุดตลอดกาล (ATH – All Time High) ที่เคยทำไว้ 2.92 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 90.46 บาท เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ปีเดียวกันไปประมาณ 52.74% ปริมาณเหรียญที่หมุนเวียนในตลาด ณ เวลานั้นอยู่ที่ 250,153,035 เหรียญ จากจำนวนเหรียญสูงสุดในอนาคตที่จะมีได้ทั้งหมด 1,000,000,000 เหรียญครับ (ย้ำอีกครั้งว่าข้อมูลนี้เป็น Snapshot แค่ ณ เวลานั้นๆ เท่านั้นนะครับ)
จะเห็นว่าคำว่า “อัลฟ่า” นั้นมีความหมายหลากหลาย ตั้งแต่ผลตอบแทนส่วนเกินในการลงทุนแบบดั้งเดิม ไปจนถึงชื่อเฉพาะของโปรเจกต์สินทรัพย์ดิจิทัลที่มีนวัตกรรม และยังขยายไปถึงแนวคิดการพัฒนาตนเอง การบริหารองค์กร เพื่อให้เราทุกคน หรือทุกสิ่งที่เราทำ มีประสิทธิภาพและสร้างผลลัพธ์ที่เหนือกว่าค่าเฉลี่ยได้
ดังนั้น ถ้าจะสรุปง่ายๆ สำหรับคนทั่วไป อัลฟ่า (Alpha) คือการที่เราพยายามทำสิ่งต่างๆ ให้ได้ผลลัพธ์ที่ “เก่งกว่า ดีกว่า เหนือกว่า” ค่าเฉลี่ยหรือมาตรฐานทั่วๆ ไป ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนให้ได้ผลตอบแทนมากกว่าตลาด การบริหารชีวิตให้มีประสิทธิภาพและมีความสุขมากขึ้น หรือการสร้างธุรกิจให้เติบโตและปรับตัวได้เร็วกว่าคู่แข่ง
สำหรับใครที่สนใจจะลอง “สร้างอัลฟ่า” ให้กับการลงทุนของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในหุ้น กองทุน หรือแม้แต่สินทรัพย์ดิจิทัลอย่างเหรียญ ALPHA หรือโปรเจกต์ DeFi อื่นๆ สิ่งสำคัญที่สุดคือการศึกษาข้อมูลให้รอบด้านครับ ทำความเข้าใจว่าสินทรัพย์ที่เราจะลงทุนคืออะไร ทำงานอย่างไร มีความเสี่ยงอะไรบ้าง อย่าเพิ่งรีบกระโดดเข้าไปเพียงเพราะเห็นว่าราคาวิ่งแรง หรือมีคนพูดถึงเยอะ
⚠️ ข้อควรจำเสมอคือ การลงทุนทุกรูปแบบมีความเสี่ยง โดยเฉพาะสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความผันผวนสูงมาก อาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดได้ครับ การแสวงหา “อัลฟ่า” ในการลงทุนนั้นต้องอาศัยทั้งความรู้ ความพยายาม และการบริหารความเสี่ยงที่ดีเยี่ยมครับ! ลองเริ่มจากการตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน ศึกษาเครื่องมือต่างๆ และประยุกต์ใช้แนวคิดการพัฒนาตัวเองแบบ Alpha Life หรือ Alpha Company มาใช้กับการบริหารการเงินส่วนบุคคลของเราดูก็ได้ครับ ขอให้ทุกคนสร้าง “อัลฟ่า” ในแบบของตัวเองได้สำเร็จนะครับ!