สวัสดีครับ/ค่ะ นักอ่านที่รักในโลกคริปโตฯ ที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและบางครั้งก็ใจหายวาบๆ ในฐานะคอลัมนิสต์การเงินที่คลุกคลีในวงการนี้มานาน อยากจะชวนทุกคนมาย้อนดูบทเรียนสำคัญมากๆ บทหนึ่ง ที่สั่นสะเทือนตลาดคริปโตฯ ทั่วโลก เรื่องราวของโปรเจกต์ที่ชื่อว่า Terra และ เหรียญ ลูน่า ที่เคยรุ่งเรือง แต่กลับดิ่งลงอย่างไม่น่าเชื่อในเวลาอันสั้น

คุณเคยสงสัยไหมครับ/คะ ว่าในโลกที่ราคาเหรียญดิจิทัลขึ้นลงเหมือนรถไฟเหาะ จะมีเหรียญไหนที่ค่าเงินนิ่งๆ เหมือนเงินบาท หรือเงินดอลลาร์ ที่เราใช้จ่ายกันในชีวิตประจำวันได้บ้าง? ความคิดนี้แหละคือที่มาของ Stablecoin (เหรียญที่มีมูลค่าคงที่) ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาความผันผวนนี่แหละครับ เพื่อให้คริปโตฯ ถูกนำไปใช้จริงได้ง่ายขึ้น และโปรเจกต์ Terra นี่แหละ ที่พยายามจะทำ Stablecoin ที่ชื่อ UST ให้มีค่าคงที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐ โดยอาศัยกลไกที่ล้ำไปอีกขั้น ไม่ต้องมีสินทรัพย์จริงๆ มาหนุนหลังเหมือน Stablecoin ทั่วไปอย่าง USDT หรือ USDC
กลไกที่ว่านี้ซับซ้อนพอสมควรครับ เรียกว่า Algorithmic Stablecoin ลองนึกภาพง่ายๆ ว่ามันพยายามจะรักษาสมดุลของราคา UST ไว้ที่ 1 ดอลลาร์ โดยใช้ เหรียญ ลูน่า เป็นเครื่องมือหลักครับ ถ้าราคา UST พยายามจะขยับขึ้นเกิน 1 ดอลลาร์ ระบบก็จะให้คนเอา เหรียญ ลูน่า มาแลกแล้ว “ปั๊ม” (Mint) UST ออกมาใหม่ เพื่อเพิ่มปริมาณ UST ในตลาด ทำให้ราคากลับลงมาที่ 1 ดอลลาร์ ในทางกลับกัน ถ้าราคา UST จะร่วงต่ำกว่า 1 ดอลลาร์ ระบบก็จะให้คนเอา UST มาแลก แล้ว “เผา” (Burn) UST ทิ้ง พร้อมกับ “ปั๊ม” (Mint) เหรียญ ลูน่า ออกมาแทน เพื่อลดปริมาณ UST ในตลาด ทำให้ราคากลับขึ้นไปที่ 1 ดอลลาร์ ฟังดูเหมือนจะฉลาดมากๆ ใช่ไหมครับ? เหรียญ ลูน่า เลยมีบทบาทสำคัญมากๆ ทั้งเป็นเหรียญหลักของระบบ ใช้ค้ำประกัน และเป็นเครื่องมือรักษาสมดุลมูลค่าของ UST
ทีนี้อะไรที่ทำให้ระบบนี้ได้รับความนิยมมากๆ ในช่วงก่อนวิกฤต? ส่วนหนึ่งมาจาก Anchor Protocol ครับ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มบนเครือข่าย Terra ที่เสนอผลตอบแทนจากการฝาก UST สูงถึง 20% ต่อปี หรือที่เรียกว่า APY ครับ คุณพระช่วย! 20% ต่อปีเนี่ย ถือว่าสูงมากๆ เมื่อเทียบกับการฝากเงินในธนาคารทั่วไป หรือการลงทุนอื่นๆ ในตลาดการเงิน ณ ตอนนั้น ผลตอบแทนที่น่าเย้ายวนใจนี้ดึงดูดนักลงทุนจำนวนมหาศาลให้แห่กันเอาเงินมาฝากใน Anchor Protocol ด้วย UST ทำให้ความต้องการ UST พุ่งสูงขึ้น และระบบดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แต่คนส่วนใหญ่อาจจะไม่ได้เอะใจว่า ผลตอบแทนที่สูงเกินจริงแบบนี้ ปกติแล้วมักจะมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงลิ่วเช่นกัน

จนกระทั่งมาถึงเดือนพฤษภาคม ปี 2022 จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ก็มาถึงครับ เกิดอะไรขึ้นไม่ทราบแน่ชัด อาจจะมีกลุ่มคนที่วางแผนไว้ หรือเป็นแค่การตื่นตระหนกครั้งใหญ่ แต่เหตุการณ์ที่เรียกว่า “Bank run” ก็เกิดขึ้นกับ UST ครับ คือมีการเทขาย UST ในปริมาณมหาศาลพร้อมๆ กัน ทำให้ราคา UST หลุด Peg ดิ่งลงต่ำกว่า 1 ดอลลาร์อย่างรุนแรง กลไก Algorithmic ที่พึ่งพา เหรียญ ลูน่า ในการพยุงราคา ก็พยายามทำงานครับ คือระบบจะให้คนเอา UST ที่กำลังร่วง มาแลกแล้วปั๊ม เหรียญ ลูน่า ออกมาแทน เพื่อให้ราคากลับไปที่ 1 ดอลลาร์ แต่เมื่อการเทขายรุนแรงและต่อเนื่อง ระบบก็ต้องปั๊ม เหรียญ ลูน่า ออกมาจำนวนมหาศาลมากๆ เพื่อแลกกับ UST ที่ถูกเทขาย ปริมาณ เหรียญ ลูน่า ในตลาดเลยพุ่งขึ้นมหาศาลแบบควบคุมไม่ได้ จากที่มีอยู่ประมาณ 380 ล้านเหรียญ มันพุ่งพรวดไปถึง 6.5 ล้านล้านเหรียญ ภายในเวลาแค่ 3 วัน!
ลองนึกภาพว่าสินค้าที่คุณถืออยู่ จู่ๆ ก็มีปริมาณในตลาดเพิ่มขึ้นเป็นหมื่นเท่าแสนเท่าในพริบตาครับ ราคาของมันก็ต้องดิ่งเหวอย่างรวดเร็วใช่ไหมครับ? นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับ เหรียญ ลูน่า ครับ ราคาของมันที่เคยพุ่งไปถึง 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อเหรียญ ตกลงมาเหลือเพียง 0.002 ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นการลดลงถึง 99.999% ภายในวันเดียว! ในขณะที่ UST เองก็เคยร่วงลงไปต่ำสุดถึง 0.10 ดอลลาร์ หรือแค่ 10 เซ็นต์เท่านั้นเอง เหตุการณ์นี้สร้างความเสียหายให้นักลงทุนทั่วโลกคิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ! นักลงทุนจำนวนมากสูญเงินเก็บทั้งชีวิตไปในวิกฤตครั้งนี้

ผู้ที่เกี่ยวข้องกับโปรเจกต์นี้หลักๆ ก็คือบริษัท Terraform Labs ซึ่งก่อตั้งโดย โด ควอน และ แดเนียล ชิน แม้ผู้ก่อตั้งจะมีประวัติในวงการเทคโนโลยีและธุรกิจ แต่การออกแบบระบบ Algorithmic Stablecoin ที่พึ่งพา เหรียญ ลูน่า เป็นหลักโดยไม่มีสินทรัพย์สำรองที่เพียงพอเมื่อเกิดภาวะตื่นตระหนก กลายเป็นจุดเปราะบางที่นำไปสู่การล่มสลายครั้งยิ่งใหญ่ โด ควอน ผู้เป็นหน้าเป็นตาของโปรเจกต์ กลายเป็นผู้ที่ถูกตามล่าตัวจากทางการในหลายประเทศ และสุดท้ายก็ถูกจับกุมตัวในข้อหาอาชญากรรมทางการเงิน แสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบที่ผู้สร้างโปรเจกต์มีต่อระบบและนักลงทุน
บทเรียนจากวิกฤต เหรียญ ลูน่า นั้นสำคัญมากๆ ครับ มันชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงของการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีกลไกซับซ้อนและไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันแน่นหนา การพึ่งพาระบบ Algorithmic เพียงอย่างเดียวเพื่อรักษาเสถียรภาพ เป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืนเมื่อเผชิญกับแรงกดดันในตลาด นอกจากนี้ เหตุการณ์นี้ยังกระตุ้นให้หน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลกหันมาให้ความสนใจและพิจารณาการออกกฎเกณฑ์ควบคุมตลาดคริปโตฯ และ Stablecoin อย่างจริงจังมากขึ้น
หลังวิกฤต ทางทีม Terra ได้ตัดสินใจ “Hard Fork” หรือแยกเครือข่ายเดิมออกมา เครือข่ายเดิมยังคงอยู่และใช้ เหรียญ ลูน่า เดิม แต่เปลี่ยนชื่อเป็น Terra Classic (ใช้สัญลักษณ์ LUNC) ส่วนเครือข่ายใหม่ชื่อ Terra 2.0 (ใช้สัญลักษณ์ LUNA เหมือนเดิม แต่เป็นเหรียญใหม่) ซึ่งไม่มี Stablecoin แบบ Algorithmic อีกต่อไป แต่ก็ต้องยอมรับว่า ปัจจุบัน เหรียญ ลูน่า ทั้งสองเวอร์ชัน ไม่ว่าจะเป็น LUNC หรือ LUNA ใหม่ มีมูลค่าต่ำมาก และการลงทุนในเหรียญเหล่านี้ถือว่ามีความเสี่ยงสูงมากครับ
สรุปแล้ว เรื่องราวของ เหรียญ ลูน่า คืออุทาหรณ์ชิ้นใหญ่ในโลกคริปโตฯ ที่สอนให้เรารู้ว่า:
1. **ผลตอบแทนสูงมาพร้อมความเสี่ยงสูงเสมอ:** อย่าหลงไปกับตัวเลขผลตอบแทนที่ดูดีเกินจริงโดยไม่เข้าใจกลไกและความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่
2. **กลไกที่ซับซ้อนไม่ใช่ว่าจะปลอดภัยเสมอไป:** บางครั้งความเรียบง่ายที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันแน่นหนาอาจจะปลอดภัยกว่าระบบที่ดูฉลาดแต่ไม่มีอะไรหนุนหลังเพียงพอ
3. **การศึกษาข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ:** ก่อนลงทุนในสินทรัพย์ใดๆ โดยเฉพาะสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ ต้องทำความเข้าใจกลไก ผู้สร้าง และความเสี่ยงอย่างละเอียด
4. **กระจายความเสี่ยง:** อย่าทุ่มเงินทั้งหมดไปกับการลงทุนใดการลงทุนหนึ่ง
⚠️ **คำเตือนเรื่องความเสี่ยง:** การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูงมาก ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดได้ ควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน และไม่ควรนำเงินที่จำเป็นต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน หรือเงินออมทั้งหมดมาลงทุน การลงทุนใน เหรียญ ลูน่า หรือ LUNC ในปัจจุบันมีความเสี่ยงสูงยิ่งกว่า เนื่องจากความเชื่อมั่นในโปรเจกต์และกลไกเดิมได้พังทลายลงไปแล้ว
หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกคนเข้าใจเรื่องราวของ เหรียญ ลูน่า และวิกฤต Terra ได้ง่ายขึ้นนะครับ และที่สำคัญคือได้ข้อคิดดีๆ ในการก้าวเดินต่อไปในโลกของการลงทุนที่เต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทายนี้ครับ