เคยสงสัยไหมครับ เวลาไปตรวจสุขภาพแล้วได้ใบผลเลือดมา ตัวเลขเพียบไปหมด แต่ละตัวมันบอกอะไรเราบ้าง? วันนี้เหมือนได้เปิดคู่มือหน่วยรบพิเศษในร่างกายเราครับ โดยเฉพาะหน่วยที่ชื่อคุ้นๆ อย่าง **eos คืออะไรทางการแพทย์** กันแน่? มาดูกันแบบเข้าใจง่ายๆ สไตล์คนเล่าเรื่องการเงินนี่แหละ แค่เปลี่ยนสนามรบจากตลาดหุ้นมาเป็นสนามรบในเส้นเลือดเรา!
ลองนึกภาพตามนะครับ ร่างกายเราเนี่ยเหมือนประเทศที่มีกองทัพคอยป้องกันศัตรู ทั้งผู้บุกรุกตัวเล็กๆ อย่างเชื้อโรค หรือสารแปลกปลอมที่เข้ามา โดยกองทัพหลักๆ ที่เราจะพูดถึงวันนี้ ก็คือ **เม็ดเลือดขาว** ครับ มีหลายหน่วย หลายหน้าที่แตกต่างกันไป เหมือนมีทั้งหน่วยปราบปรามยาเสพติด หน่วยปราบจลาจล หรือหน่วยเก็บกู้ระเบิด อะไรทำนองนั้น

ในบรรดาเม็ดเลือดขาวหลายชนิด มีอยู่หน่วยหนึ่งที่ชื่อว่า **อีโอซิโนฟิล (Eosinophils)** หน่วยนี้พิเศษตรงที่เชี่ยวชาญการต่อสู้กับศัตรูตัวใหญ่หน่อย อย่างพวก **พยาธิ** ตัวร้ายที่เราอาจเจอจากการกินอาหารไม่สะอาด หรือเวลาที่เรามีอาการ **ภูมิแพ้** ไม่ว่าจะเป็นหอบหืด ผื่นคัน หรือแพ้อาหาร แพ้ยา เจ้ายูนิตอีโอซิโนฟิลนี่แหละจะรีบไปจัดการ ทำลายสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ หรือสู้กับเจ้าพยาธิตัวนั้น พวกมันถูกสร้างขึ้นมาจากไขกระดูก เหมือนเป็นฐานทัพใหญ่คอยผลิตกำลังพลออกมา
ค่าปกติของอีโอซิโนฟิลในเลือดเราเนี่ย ปกติจะมีน้อยมากๆ ครับ อยู่ที่ประมาณ 1-4% ของจำนวนเม็ดเลือดขาวทั้งหมด หรือนับเป็นจำนวนเซลล์ก็ราวๆ 150-300 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร อย่างที่นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร เคยให้ข้อมูลไว้ในเบื้องต้น แต่ถ้าตัวเลขนี้มันกระโดดสูงปรี๊ดเกิน 500 เซลล์ต่อไมโครลิตรเมื่อไหร่ โดยเฉพาะถ้าสูงกว่า 1500 เซลล์อยู่นานหลายเดือน เราจะเรียกว่าเข้าสู่ภาวะ **โรคอีโอซิโนฟิเลีย (Eosinophilia)** ซึ่งเป็นสัญญาณบอกว่าร่างกายเรากำลังสู้กับอะไรบางอย่างอยู่ครับ
สาเหตุที่ทำให้อีโอซิโนฟิลสูงเนี่ย ส่วนใหญ่หนีไม่พ้นเรื่อง **ภูมิแพ้** (หอบหืด, แพ้อาหาร, แพ้ยา) หรือ **การติดเชื้อจากพยาธิ** สองอย่างนี้พบบ่อยสุดๆ แต่ก็มีสาเหตุอื่นๆ ได้อีกนะ เช่น โรคผิวหนังบางชนิด ความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ สารพิษบางอย่าง โรคเชื้อรา เนื้องอกบางชนิด หรือโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันที่ร่างกายหันมาโจมตีตัวเอง (Collagen-vascular diseases) อย่างโรคครอห์น (Crohn’s Disease) หรือกลุ่มอาการเชิร์ก-สเตราส์ (Churg-Strauss Syndrome) ไปจนถึงมะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือมะเร็งต่อมน้ำเหลืองฮอดจ์กิน (Hodgkin Lymphoma) ก็อาจทำให้อีโอซิโนฟิลสูงได้เหมือนกันครับ

ในทางกลับกัน ถ้าค่าอีโอซิโนฟิลมัน **ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน (Eosinopenia)** ล่ะ? อันนี้ก็เป็นสัญญาณได้เหมือนกันครับ ส่วนใหญ่มักเกิดจากร่างกายกำลังอยู่ในสภาวะ **ความเครียด** สูงๆ เพราะเวลาเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติโคสเตอร์รอยด์ออกมา ซึ่งเจ้าฮอร์โมนตัวนี้มีผลกดจำนวนอีโอซิโนฟิล หรืออาจพบในคนที่มีภาวะคุชชิง ซินโดรม (Cushing Syndrome) ซึ่งเป็นโรคที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลมากเกินไป
นอกจากอีโอซิโนฟิลแล้ว ในใบผลเลือดยังมีเพื่อนร่วมหน่วยอีกหลายตัว อย่าง **ลิมโฟไซต์ (Lymphocytes)** ที่เปรียบเสมือนหน่วยข่าวกรองและหน่วยแม่นปืนของกองทัพ คอยจดจำและทำลายเชื้อโรคต่างๆ ลิมโฟไซต์ปกติมีหลายขนาด แต่บางครั้งเราอาจเจอ **ลิมโฟไซต์นอกแบบ (Atypical Lymphocytes)** หน้าตาจะใหญ่กว่าปกติมาก (ใหญ่กว่า 30 ไมโครเมตร ทั้งที่ปกติใหญ่สุดแค่ 15 ไมครอน) พวกนี้ปกติแทบไม่เจอเลยครับ ถ้าเจอเมื่อไหร่ แสดงว่าร่างกายกำลังถูกกระตุ้นอย่างหนักจากเชื้อโรคหรือสารแปลกปลอม อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อไวรัสร้ายแรงบางอย่าง เช่น ไวรัส Epstein-Barr (ที่ทำให้เกิดโรคโมโนนิวคลีโอซิส หรือโรคจูบ) ไวรัสตับอักเสบซี หรือซิฟิลิส หรืออาจพบหลังฉีดวัคซีน ฉายรังสี ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน หรือแม้กระทั่งจากความเครียดรุนแรง
อีกหน่วยที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาเม็ดเลือดขาวก็คือ **โมโนไซต์ (Monocytes)** เปรียบเสมือนหน่วยจู่โจมพิเศษหรือ “จอมเขมือบปากกว้าง” ที่คอยกลืนกินและย่อยสลายเชื้อโรคต่างๆ ที่เข้ามาในกระแสเลือด และเมื่อถึงเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อ โมโนไซต์จะปรับร่างกลายเป็น **แมคโครฟาจ (Macrophage)** ตัวใหญ่เบ้อเริ่ม ทำหน้าที่คล้ายหน่วยเก็บกู้ซาก คอยกำจัดเชื้อโรค ซากเซลล์ หรือสิ่งแปลกปลอมขนาดใหญ่ ทำงานร่วมกับหน่วยอื่นๆ อย่าง NK cells และ cytotoxic T-cells ค่าปกติของโมโนไซต์จะอยู่ที่ประมาณ 2-8% ของเม็ดเลือดขาวทั้งหมด หรือราวๆ 300-600 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร (แต่ค่าอ้างอิงที่แม่นยำที่สุดควรดูจากใบรายงานผลเลือดของห้องแล็บนั้นๆ นะครับ)
บางที การที่เซลล์เม็ดเลือดขาวบางชนิดทำงานผิดปกติ หรือมีจำนวนมากเกินไป ก็อาจนำไปสู่โรคที่ซับซ้อนได้ครับ อย่าง **โรคหอบหืดชนิดอีโอซิโนฟิล (Eosinophilic Asthma)** ที่ทางเดินหายใจมีการอักเสบและสะสมอีโอซิโนฟิลสูงมากๆ ซึ่งมักจะพบในผู้ใหญ่ช่วงอายุ 25-35 ปี หลายคนไม่เคยเป็นภูมิแพ้มาก่อนด้วยซ้ำ และโรคนี้ก็อาจจะรักษายากกว่าหอบหืดชนิดอื่นๆ

หรือโรคที่หายากและร้ายแรงอย่าง **กลุ่มอาการอีโอซิโนฟิเลีย–ไมอัลเจีย (Eosinophilia-Myalgia Syndrome – EMS)** ที่เกิดจากการอักเสบในหลายอวัยวะพร้อมกัน ทั้งปอด ผิวหนัง กล้ามเนื้อ โดยมีอีโอซิโนฟิลสะสมสูงมาก ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้
เรื่องราวของเม็ดเลือดขาวเหล่านี้ไม่ใช่แค่ตัวเลขในห้องแล็บนะครับ แต่มีความสำคัญมากๆ ในการวินิจฉัยโรค ลองดูเคสตัวอย่างจริงที่ใกล้ตัวเรามากๆ อย่างใน **ทารกแรกเกิด** ครับ
เคยมีกรณีศึกษาที่คุณหมอวินิจฉัยว่าทารกแรกเกิดมี **ภาวะหายใจลำบากร่วมกับการติดเชื้อ (Respiratory Distress Syndrome with Early-onset sepsis – EOS)** เจ้า EOS นี่คือการติดเชื้อที่เกิดขึ้นภายใน 72 ชั่วโมงแรกหลังคลอดครับ ถือว่าค่อนข้างอันตรายเพราะระบบภูมิคุ้มกันของน้องยังไม่แข็งแรงพอ
ในเคสนี้ น้องเป็นทารกชาย คลอดครบกำหนดปกติ น้ำหนักดี แต่พอคลอดออกมากลับมีอาการหายใจเร็วมาก (70 ครั้ง/นาที ทั้งที่ปกติไม่เกิน 60) หายใจลำบาก มีเสียงครืดคราดในปอด (secretion) คุณหมอเลยสงสัยว่าจะมีการติดเชื้อ
พยาบาลที่ดูแลน้องจะต้องรีบประเมินอาการอย่างละเอียดครับ เห็นเลยว่าน้องหายใจเหนื่อยหอบ หน้าอกบุ๋ม ปลายมือปลายเท้าเริ่มเขียวๆ เพราะออกซิเจนในเลือดต่ำ (วัด O2Sat ได้แค่ 90-92%) นี่คือสัญญาณชัดเจนของ **ภาวะพร่องออกซิเจน** ร่างกายของน้องพยายามดิ้นรนเต็มที่เพื่อให้ได้ออกซิเจนเพิ่มขึ้น สังเกตได้จากปีกจมูกที่บานออก และการใช้กล้ามเนื้อหน้าอกช่วยในการหายใจ
ควบคู่กันไป คุณหมอก็วินิจฉัยว่าน้องมีการติดเชื้อในร่างกาย (EOS) สัญญาณชีพก็บอกเช่นนั้น (มีไข้หน่อยๆ 37.4°C หายใจเร็ว หัวใจเต้นเร็ว 158 ครั้ง/นาที) ถึงแม้ข้อมูลที่ให้มาจะไม่ได้บอกค่าอีโอซิโนฟิลของน้อง แต่บอกว่าค่าลิมโฟไซต์ของน้องต่ำกว่าปกติ (14%) ซึ่งในทารกแรกเกิด ค่าเม็ดเลือดขาวที่ผิดปกติไป ก็เป็นสัญญาณสำคัญของการติดเชื้อได้เช่นกันครับ
บทบาทของพยาบาลในเคสนี้สำคัญมาก ในเมื่อน้องมีภาวะพร่องออกซิเจน สิ่งที่ต้องทำทันทีคือประเมินอาการหายใจลำบากเป็นระยะๆ บันทึกสัญญาณชีพและค่า O2Sat ทุก 4 ชั่วโมง จัดท่านอนให้น้อง (อาจจะหนุนไหล่เล็กน้อย) เพื่อให้ทางเดินหายใจเปิดโล่งที่สุด ที่สำคัญคือ **การให้ออกซิเจน** ซึ่งในเคสนี้ให้น้องอยู่ในตู้อบที่มีการปล่อยออกซิเจนเข้าไป (On Incubator with O2 box 5 LPM) งดให้นมทางปากเพื่อลดความเสี่ยง และให้สารน้ำทางหลอดเลือดแทน ควบคุมอุณหภูมิในตู้อบให้คงที่ ลดสิ่งรบกวนรอบข้างเพื่อให้ร่างกายของน้องได้พักผ่อนเต็มที่ และต้องติดตามผลการตรวจต่างๆ อย่างใกล้ชิด ทั้งการฟังเสียงปอด ผลก๊าซในเลือด และผลเอกซเรย์ทรวงอก เพื่อดูความคืบหน้า
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า การตรวจวิเคราะห์เม็ดเลือดขาวในเลือดของเรา แม้จะดูเป็นเพียงตัวเลขเล็กๆ น้อยๆ แต่กลับมีความหมายมหาศาลในการบอกสุขภาพร่างกาย บอกว่าระบบภูมิคุ้มกันของเรากำลังทำอะไรอยู่ กำลังสู้กับศัตรูแบบไหน หรือกำลังอยู่ในภาวะที่ผิดปกติหรือไม่
ดังนั้น ครั้งต่อไปที่คุณไปตรวจสุขภาพ หรือได้ใบผลเลือดมา อย่าเพิ่งเก็บเข้าลิ้นชักนะครับ ลองดูค่าต่างๆ เหล่านี้ แล้วปรึกษาคุณหมอให้ท่านช่วยอธิบายว่าตัวเลขพวกนี้บอกอะไรเกี่ยวกับสุขภาพของคุณบ้าง โดยเฉพาะถ้ามีค่าไหนที่ผิดปกติไป
⚠️ **ข้อควรระวัง:** ข้อมูลทั้งหมดนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้พื้นฐานเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์หรือการวินิจฉัยโรค หากคุณมีอาการผิดปกติ หรือได้รับผลเลือดที่มีค่าต่างๆ ผิดปกติ **โปรดปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเสมอ** เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง การอ่านข้อมูลทางการแพทย์ด้วยตัวเองแล้ววินิจฉัยโรคเองเป็นเรื่องที่อันตรายและไม่ควรทำเด็ดขาดครับ